กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 02-04-2010, 00:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,399
ได้ให้อนุโมทนา: 157,996
ได้รับอนุโมทนา 4,479,749 ครั้ง ใน 36,008 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๓

ขยับนั่งในท่าที่สบายของเรา เริ่มกำหนดลมหายใจพร้อมคำภาวนาหรือภาพพระของเรา เพื่อสร้างความมั่นคงผ่องใสให้แก่ดวงจิต

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ เป็นการเจริญกรรมฐานวันสุดท้ายของเดือนมีนาคม ณ บ้านอนุสาวรีย์แห่งนี้

เมื่อครู่ได้กล่าวถึงว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงฝากพุทธศาสนาเอาไว้กับพุทธบริษัททั้ง ๔ ญาติโยมทั้งหลาย ก็คือ ฝ่ายของอุบาสกบริษัท และฝ่ายของอุบาสิกาบริษัท

การที่เราจะยังพระพุทธศาสนาให้เจริญนั้น ก็คือการที่เราจำเป็นต้องศึกษา ไม่ว่าจะเป็นด้านปริยัติ ด้านปฏิบัติ หรือด้านของปฏิเวธ ให้เข้าใจลึกซึ้งอย่างแท้จริงและทำจนเกิดผล เมื่อผลนั้นเกิดแล้ว สามารถนำไปสั่งสอนคนอื่นต่อได้ด้วย

ผลที่ควรจะเกิดขึ้นนั้น ควรจะเกิดในด้านใดบ้าง ? พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า ให้ศึกษาในเรื่องของ อธิศีล อธิจิต และอธิปัญญา

ในเรื่องของอธิศีลนั้น ให้พวกเราทั้งหลายรักษาศีลตามสภาพของตน จะเป็นศีล ๕ กรรมบถ ๑๐ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ก็ให้เป็นไปตามสภาพ แต่มีข้อแม้ว่า ให้ตั้งกำลังใจให้มั่นคงถึงระดับที่ว่า ตัวตายดีกว่ายอมให้ศีลขาด เมื่อรักษาศีลทุกสิกขาบทได้โดยเด็ดขาด ก็อย่ายุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นเขาละเมิดศีล ตลอดจนเห็นผู้อื่นละเมิดศีลเราก็ไม่ยินดีด้วย ถ้าทำดังนี้ได้ก็ได้ชื่อว่า เราได้ปฏิบัติในอธิศีลส่วนหนึ่ง

แต่ถ้าจะให้เป็นอธิศีลอย่างแท้จริง ก็ให้เรากำหนดพิจารณาในเรื่องของศีลในแต่ละวัน ว่ามีข้อบกพร่องตรงไหนบ้าง ? ที่จะต้องระมัดระวังแก้ไข และประคับประคองรักษาไว้ไม่ให้ขาดอีก ให้ใช้ลมหายใจเข้าออก ควบกับการพิจารณาในศีลของตน

และถ้ามีปัญญาเห็นว่าการรักษาศีลนั้น ถึงแม้เราตั้งใจรักษาเพียงไรก็ตาม สภาพร่างกายนี้ก็เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง และสลายไปในที่สุด ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนให้ยึดถือมั่นหมายได้อย่างแท้จริง ถ้าอย่างนี้ท่านทั้งหลายก็สามารถที่จะถอนกำลังใจของตน ที่พอใจในร่างกายนี้ พอใจในโลกนี้ออกเสียได้ เมื่อถอนกำลังใจออกเสียได้ ก็สามารถที่จะหลุดพ้นออกจากวัฏสงสารเข้าสู่พระนิพพาน ก็ได้ชื่อว่าท่านได้ปฏิบัติในอธิศีล คือ เป็นศีลอย่างยิ่งที่แท้จริง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 05-04-2010 เมื่อ 16:27
สมาชิก 56 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 02-04-2010, 01:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,399
ได้ให้อนุโมทนา: 157,996
ได้รับอนุโมทนา 4,479,749 ครั้ง ใน 36,008 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในส่วนของอธิจิตนั้น พระพุทธเจ้าสอนให้เราทรงฌานในระดับใดระดับหนึ่งให้ได้ จะเป็นฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ของรูปฌานก็ดี จะเป็นฌานในอากาสานัญจายตนะ ในวิญญาณัญจายตนะ ในอากิญจัญญายตนะ หรือในเนวสัญญานาสัญญายตนะของอรูปฌานก็ดี ขั้นใดขั้นหนึ่ง ให้ทรงตัวคล่องแคล่ว ต้องการจะเข้าฌานเมื่อไรก็เข้าได้ ถ้าทำดังนี้ได้ ก็เท่ากับว่าท่านได้เจริญในเรื่องของอธิจิต ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้

ในส่วนของอธิปัญญา คือ ปัญญาอันยิ่งนั้น ก็เป็นไปตามลำดับกำลังใจที่ก้าวล่วงไปสู่มรรคผลของเรา ถ้าเป็นกำลังใจของพระโสดาบัน ก็จะมีความรู้สึกว่าเราต้องตายอยู่เสมอ รู้ตัวว่าเราต้องตายอย่างแน่นอน ก็จะกำหนดกำลังใจว่า ถ้าเราตายเมื่อไร เราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว กำลังใจของพระสกิทาคามีก็ใกล้เคียงกัน เพียงแต่ว่าในเรื่องของรัก โลภ โกรธ บรรเทาเบาบางลงไปมาก

ในกำลังใจของพระอนาคามีนั้น จะเห็นร่างกายนี้มีความสกปรกโสโครกเป็นปกติ ไม่มีความยินดี ไม่มีความปรารถนาในร่างกายของเรา หรือร่างกายของบุคคลอื่น ร่างกายของสัตว์ เป็นต้น เป็นผู้ที่มีความรังเกียจร่างกายอย่างแท้จริง

ส่วนในกำลังใจสุดท้ายนั้น เห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง โดยที่กำลังใจมีความเชื่อมั่นเพราะรู้แจ้งเห็นจริงแบบนั้น จึงหนักแน่นไม่คลอนแคลน ไม่เคยเห็นความดีของขันธ์ ๕ ไม่เคยเห็นความดีในโลกนี้ ปรารถนาที่จะหลุดพ้นไปจากร่างกายนี้ ปรารถนาจะหลุดพ้นจากโลกนี้โดยส่วนเดียว ถ้าอย่างนี้จะเป็นกำลังใจสูงสุด ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพึงปรารถนาไว้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 04-04-2010 เมื่อ 22:36
สมาชิก 53 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 02-04-2010, 01:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,399
ได้ให้อนุโมทนา: 157,996
ได้รับอนุโมทนา 4,479,749 ครั้ง ใน 36,008 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าท่านทั้งหลายได้ปฏิบัติในอธิศีลสิกขา ในอธิจิตสิกขา และในอธิปัญญาสิกขา ดังที่กล่าวมาแล้ว ก็ได้ชื่อว่า ท่านสร้างประโยชน์ให้เกิดแก่ตน เรียกเป็นภาษาบาลีว่า อัตตัตถะ เป็นประโยชน์แก่ตนโดยเฉพาะ

เมื่อสร้างประโยชน์แก่ตนในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญานี้ได้โดยคล่องแคล่ว มีความมั่นใจว่าไม่ผิดพลาดแล้ว เราก็นำไปสอนผู้อื่นต่อ เมื่อผู้อื่นสามารถที่จะปฏิบัติได้ อย่างที่เราเคยปฏิบัติมาและนำไปบอกกล่าวเขานั้น ก็ได้ชื่อว่าท่านทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นโดยสมบูรณ์ เรียกเป็นภาษาบาลีว่า ปรัตถะ การยังประโยชน์ให้ผู้อื่นโดยสมบูรณ์พร้อม

เมื่อท่านยังประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นให้สมบูรณ์พร้อม ก็ชื่อว่าท่านปฏิบัติใน อุภยัตถะ คือ ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายได้อย่างดียิ่ง สมกับที่เป็นบริษัท ๔ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงวางอนาคตของพระศาสนาไว้ในอุ้งมือของพวกเรา

ด้วยความที่พระองค์เชื่อมั่นว่า พุทธบริษัทของพระองค์นั้น สามารถที่จะประคับประคองพระพุทธศาสนานี้ ให้เจริญเติบโตมั่นคงต่อไปได้ สามารถที่จะหมุนพระธรรมจักรนี้ เพื่อนำพระธรรมของพระองค์ท่านแผ่ขยายกว้างไกลออกไปได้

เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีความมั่นใจในพุทธบริษัท ๔ ของพระองค์ เราที่เป็น ๑ ในพุทธบริษัททั้ง ๔ ก็พึงทุ่มเทในการปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของศีล ของสมาธิ ของปัญญาก็ตาม ทุ่มเทกันชนิดแลกด้วยชีวิต ถ้าหากว่าไม่สำเร็จก็ให้ตายไปเลย ถ้าท่านทั้งหลายสามารถทำดังนี้ได้ ก็เชื่อได้ว่า ความสำเร็จอยู่ไม่ห่างจากท่านมากนัก

เมื่อทำได้แล้ว ก็ชื่อว่าท่านเป็นผู้ค้ำจุนในพระศาสนา เนื่องเพราะว่ามีตัวเองเป็นหลักยึดได้ ไม่เป็นภาระแก่บุคคลอื่น แล้วขณะเดียวกัน ก็ยังสามารถที่จะยืนหยัดให้ผู้อื่นยึดเกาะได้อีกต่างหาก ถ้าเป็นดังนี้..พุทธศาสนาของเราก็จะเจริญมั่นคงสืบต่อไปได้โดยสมบูรณ์

ท่านทั้งหลายจึงไม่ควรที่จะลืมลมหายใจเข้าออก ไม่ควรที่จะลืมภาพพระหรือพระนิพพาน ให้เอากำลังใจเกาะภาพพระให้เป็นปกติ ให้เอากำลังใจเกาะพระนิพพานเป็นปกติ โดยแบ่งกำลังใจส่วนหนึ่งอยู่กับลมหายใจเข้าออกของเรา ให้ซักซ้อมเอาไว้อย่างนี้บ่อย ๆ จนเกิดความคล่องตัว นึกเมื่อใดพระนิพพานก็อยู่แค่ศีรษะเรานี่เอง นึกเมื่อใดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ประทับอยู่เหนือศีรษะของเรานี่เอง นึกเมื่อใดพระนิพพานก็อยู่แค่นี้เอง แปลว่าเราไม่ได้ห่างจากพระนิพพานไปไหนเลย

พระนิพพานอยู่แค่เอื้อมมือถึง แต่ส่วนใหญ่แล้วเราไขว่คว้าไปไกลเกินศีรษะตนเอง ไกลเกินเอื้อมของตนเอง จึงควานหาพระนิพพานไม่เจอเสียที


ลำดับถัดต่อจากนี้ ก็ให้ทุกคนกำหนดดูลมหายใจเข้าออกของตน พร้อมกับภาพพระหรือคำภาวนา หรือจะพิจารณาให้เห็นสภาพที่แท้จริงในร่างกายของเรา ว่ามีความตายเป็นปกติอย่างไร มีความสกปรกเป็นปกติอย่างไร ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอย่างไร ให้ภาวนาและพิจารณาไปตามความเหมาะสม จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันอาทิตย์ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๓
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 11-04-2010 เมื่อ 12:28
สมาชิก 56 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:49



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว