กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 19-11-2024, 17:32
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 500
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 24,996 ครั้ง ใน 988 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๗


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 19-11-2024, 23:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,377
ได้ให้อนุโมทนา: 157,932
ได้รับอนุโมทนา 4,479,215 ครั้ง ใน 35,986 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ เป็นการสอบธรรมสนามหลวง ระดับนักธรรมชั้นโทและนักธรรมชั้นเอก ประจำปี ๒๕๖๗ วันที่สาม

การสอบนักธรรมนั้น ถ้าหากว่าตั้งแต่ดั้งเดิมมา นักธรรมชั้นตรีเป็นเครื่องคุ้มตัวของผู้ที่เข้ามาอุปสมบท ก็คือทำให้พระใหม่รู้ว่าพระวินัยคือศีลของพระทั้ง ๒๒๗ ข้อนั้นมีอะไรบ้าง จะได้ประพฤติปฏิบัติได้ถูกต้อง

ต่อมาในระดับนักธรรมชั้นโทนั้นเป็นการสอบของบุคคลที่อยู่ในระดับ "คู่สวด" ก็คือพร้อมที่จะเป็นอาจารย์พี่เลี้ยงให้กับพระใหม่ ซึ่งสมัยก่อนนั้นกำหนดว่าต้องพรรษาพ้น ๕ ไปแล้ว การสอบนั้นก็จะมีให้เขียนคำสวดอนุสาวนาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสวดนาค การสวดกฐิน เหล่านี้เป็นต้น

ครั้นไปถึงระดับนักธรรมชั้นเอกนั้น เป็นภูมิรู้ของบุคคลที่จะต้องเป็นพระอุปัชฌาย์ เนื่องเพราะว่ามีทั้งเรื่องของสีมา ก็คือหลักการสมมติเขตเพื่อทำสังฆกรรม เรื่องของ สมบัติ วิบัติ ต่าง ๆ ที่ทำให้กุลบุตรผู้นั้นบวชได้หรือว่าไม่ได้ แล้วก็ยังมีวิชาธรรมวิจารณ์ เพื่อให้มีความแตกฉานลึกซึ้งในข้อธรรมต่าง ๆ จะได้เอาไว้ประยุกต์ใช้ในการสั่งสอนญาติโยมทั้งหลาย

แม้ว่าในปัจจุบันนี้ ความสำคัญของนักธรรมดูเหมือนจะลดน้อยถอยลง สมัยที่กระผม/อาตมภาพจบนักธรรมชั้นเอกนั้น ยุคนั้นยังสามารถที่จะเดินยืดได้ทั่วประเทศด้วยความภาคภูมิใจ ต่อมาก็จำเป็นที่จะต้องมีมหาเปรียญอย่างน้อยสัก ๓ - ๔ ประโยคกำกับต่อท้ายไปถึงจะศักดิ์สิทธิ์ ในยุคปัจจุบันนี้ก็ต้องมีพุทธศาสตรบัณฑิตบ้าง พุทธศาสตรมหาบัณฑิตบ้าง พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตบ้าง ต่อท้ายเข้าไปอีก

แสดงว่า
ในเรื่องของความรู้นั้น ไม่ว่าจะทั้งทางโลกและทางธรรม พระภิกษุสามเณรของเรามีการศึกษาก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่ด้วยเหตุที่ว่าการศึกษานั้นเป็นเพียงแผนที่ ก็คือเป็นเพียงการปริยัติ ศึกษาความรู้เฉย ๆ ไม่ได้นำมาปฏิบัติเสียส่วนใหญ่ จึงไม่บังเกิดผลคือปฏิเวธ ให้ญาติโยมทั้งหลายได้ชื่นใจ จึงมีสารพัดเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นทั่วไปหมด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-11-2024 เมื่อ 01:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 20-11-2024, 00:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,377
ได้ให้อนุโมทนา: 157,932
ได้รับอนุโมทนา 4,479,215 ครั้ง ใน 35,986 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โดยเฉพาะการศึกษาของพระภิกษุสงฆ์ในปัจจุบันนี้ พระสงฆ์ที่จบปริญญาเอกรุ่นของกระผม/อาตมภาพนั้นราคาสูงมาก โดยเฉพาะกระผม/อาตมภาพเองนั้น จบปริญญาเอกเป็นรูปที่ ๓ ของจังหวัดกาญจนบุรี

รูปแรกก็คือท่านพระครูสิริกาญจนาภิรักษ์, ดร. เจ้าคณะอำเภอบ่อพลอย เจ้าอาวาสวัดทุ่งมะสัง ท่านจบเปรียญธรรม ๕ ประโยคและปริญญาเอกจากประเทศอินเดียเป็นรูปแรก

รูปที่ ๒ ก็คือท่านเจ้าคุณพระเมธีปริยัติวิบูล, ดร. ตอนนั้นท่านเป็นพระมหาศิริ สิริธโร ป.ธ. ๙ จบปริญญาเอกจากประเทศอินเดียเป็นรูปที่ ๒

รูปที่ ๓ ของจังหวัดกาญจนบุรีก็คือกระผม/อาตมภาพเอง พระครูวิลาศกาญจนธรรม ที่มีคำว่า ดร. ห้อยท้ายอย่างโก้หร่านมาหลายปี

แต่ว่าในปัจจุบันนี้ คณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรีอย่างเดียว มีพระสงฆ์จบปริญญาเอกเกิน ๒๐ รูปเข้าไปแล้ว แม้กระทั่งเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอต่าง ๆ ก็จบปริญญาเอกกันหลายต่อหลายรูปด้วยกัน ในเมื่อมีการจบระดับปริญญาเอกมาก จึงทำให้คุณค่าดูเหมือนจะน้อยลง เนื่องเพราะว่าเริ่ม "เฟ้อ" แล้ว

แต่ว่าในเรื่องของการจบการศึกษาสูง ๆ นั้น ถ้าขาดการปฏิบัติเข้ามาประกอบด้วย โอกาสที่จะทำให้เรามีความมั่นคงในพระพุทธศาสนา รู้จักละอายชั่วกลัวบาป รักศีลของตนเอง ก็
ไม่สามารถที่จะมีขึ้นได้ เพราะว่ากำลังใจของเรายังเป็นปุถุชนล้วน ๆ จึงทำให้แม้แต่ในขณะนี้ เรื่องราวต่าง ๆ ในวงการสงฆ์ก็ไม่ได้แผ่วลงเลย พูดง่าย ๆ ว่าส่วนใหญ่อยู่ในระหว่างการสอบ แต่ว่าส่วนน้อยก็ยังคงสร้างเรื่องสร้างราวให้เป็นที่เดือดร้อนของคณะสงฆ์กันทั่วไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-11-2024 เมื่อ 08:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 20-11-2024, 00:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,377
ได้ให้อนุโมทนา: 157,932
ได้รับอนุโมทนา 4,479,215 ครั้ง ใน 35,986 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เริ่มตั้งแต่ช่วงประมาณ ๑ เดือนที่ผ่านมา ก็มีเรื่องของ "สาวน้อยขี้อวดกับนักบวชสายเปย์" ประมาณว่าขอเงิน ๒ แสนโอนให้ ๒ ล้าน พาเอาเพื่อนฝูงของกระผม/อาตมภาพก็คือท่านเจ้าคุณสุริยัน (พระวชิรญาณวิศิษฏ์ วิ.) เดือดร้อนไปด้วย เพราะว่าบุคคลผู้นั้นเป็นพระปลัด รองเจ้าอาวาสวัดป่าวังน้ำเย็น..!

แล้วก็ยังมาโดนซ้ำด้วยดาบสอง ก็คือบรรดาผู้สื่อข่าวไปเพ่งเล็งเกี่ยวกับวัดที่ทอดกฐินแล้วได้เงินเป็นร้อยล้าน หลายต่อหลายคนก็ออกมาโวยวายว่า "ไปทำบุญทำไมกับวัดมากมายขนาดนั้น ทำไมไม่ไปช่วยเด็กกำพร้า ? ทำไมไม่ไปสร้างโรงพยาบาล ?" กระผม/อาตมภาพอยากจะตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า "ก็เพราะเขาอยากทอดกฐิน ไม่ได้อยากสร้างโรงพยาบาล หรือไม่ได้อยากช่วยเด็กกำพร้า" เป็นต้น

เรื่องนี้ไม่ควรจะเป็นเรื่อง แต่เมื่อบรรดาผู้สื่อข่าวไปขุดคุ้ยขึ้นมา แล้วทั้งสองวัดที่โดนขุดก็คือท่านเจ้าคุณสุริยันกับพระปลัดเอกลักษณ์ ปญฺญาคโม เจ้าอาวาสวัดพุทธพรหมยาน ซึ่งจะว่าไปแล้วก็รู้จักมักคุ้นกันดีทั้ง ๒ รูป ขนาดบรรดาเพื่อนพระสังฆาธิการหลายรูปก็มาสะกิดว่า "ลูกศิษย์ทอดกฐินทีหนึ่งได้เป็นร้อยล้าน รู้สึกอย่างไรบ้าง ?" กระผม/อาตมภาพก็บอกว่า "ท่านยังมีเรี่ยวแรงอยู่ เพิ่งจะอายุ ๔๐ ต้น ๆ ก็ให้ท่านทำงานของท่านไป ผมแก่แล้วก็ชะลองานของตนเองลงบ้าง เพราะว่าสภาพสังขารไม่ไหวแล้ว" คนอื่นฟังแล้วก็ยังงง ๆ ว่า "ลูกศิษย์มีเงินขนาดนั้น ทำไมลูกพี่ไม่รู้จักไปขอแบ่งมาบ้าง ?"

กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ขำ เนื่องเพราะท่านทั้งหลายเหล่านี้คงไม่เข้าใจคำว่า "โทษย้ายเจดีย์" ก็คือการที่บุคคลตั้งเจตนาจะทำบุญทำกุศลประเภทนี้ แล้วนักบวชเอาไปทำอีกประเภทหนึ่ง ข้างล่างเขาปรับโทษเท่ากับย้ายเจดีย์ อันเป็นที่เคารพศรัทธาของบุคคลส่วนใหญ่ โทษไม่ต้องกล่าวเลยว่าหนักขนาดไหน แต่เมื่อมาพูดเรื่องแบบนี้ หลายท่านก็จะว่า "เพ้อเจ้อ" เพราะว่าไม่มีปรากฏอยู่ในตำรา

โดยเฉพาะกระผม/อาตมภาพได้รับนิมนต์ให้ไปปลุกเสกรูปเหรียญรุ่นแรกของท่านเจ้าคุณสุริยันต์ในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ นี้ แต่ว่าติดงานของพระครูโก้ (พระครูสังฆรักษ์ฬัสวัชร์ ฐิตสีโล) เจ้าสำนักปฏิบัติธรรมอนันต์บูรพารามไปแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านเจ้าคุณสุริยันก็ต้องทำหน้าเซ็งในอารมณ์ เพราะว่าครูบาอาจารย์ที่ตั้งใจนิมนต์กลับมาไม่ได้ เรื่องที่ไม่ควรจะเป็นเรื่องกลายเป็นเรื่องขึ้นมา บุคคลที่เกี่ยวข้องก็โดนโยงให้มั่วไปหมด..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-11-2024 เมื่อ 01:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 20-11-2024, 00:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,377
ได้ให้อนุโมทนา: 157,932
ได้รับอนุโมทนา 4,479,215 ครั้ง ใน 35,986 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เท่านั้นก็ยังไม่พอ ถัดมาก็ยังมี "หลวงพี่ฟ้องพระครูเจ้าคณะตำบล" ซึ่งเกิดอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บ แล้วก็มอบอำนาจให้หลวงพี่ท่านไปติดต่อกับบริษัทประกัน จนกระทั่งได้เงินชดเชยมา ๑ ล้านบาทแล้วจะได้ถอนฟ้อง

แต่ปรากฏว่าหลวงพี่ท่านไม่ยอมถอนฟ้องให้ในฐานะผู้รับมอบอำนาจ เนื่องเพราะคาดว่าจะได้รับเงินส่วนแบ่งจากท่านพระครูเจ้าคณะตำบลมาจำนวนหนึ่ง แต่ว่าท่านพระครูเจ้าคณะตำบลผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ อาจจะต้องใช้เงินในการรักษาตัวเอง จึงไม่ได้แบ่งให้ ทำให้ทุกอย่างยืดเยื้อคาราคาซัง กลายเป็นคดีซ้อนคดีไป คณะสงฆ์ของเราจึงกลายเป็นที่เพ่งเล็งต่อไปตามเคย..!

ต่อมาก็ยังมีเรื่องราวของ "ท่านปีนเสา" ตลอดจนกระทั่งบุคคลที่ได้ฉายาว่า "เปรตเดินดิน" ที่โดนจับสึกไปแล้วก็ยังอุตส่าห์มาเดินลากขา ห่มชุดขาว ขอบิณฑบาตต่ออีก ทำให้กระผม/อาตมภาพเข้าใจว่า คำว่าปทปรมบุคคลกับคำว่าทุมมังกุบุคคลในบาลีนั้นมีสภาพเช่นนี้เอง..!

หลังจากนั้นหลวงพี่น้ำฝน (พระครูปลัดสิทธิวัฒน์) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ประธานพระวินยาธิการคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ซึ่งทำงานด้านโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ร่วมกับกระผม/อาตมภาพ ก็ได้บุกไปถล่มแหล่งมั่วสุมที่บริเวณบึงชำอ้อ จังหวัดปทุมธานี ที่มีนักบวชแหกคอกไปมั่วสุมกันอยู่ แล้วก็ออกไปบิณฑบาต ชนิดที่ยืนคาที่อยู่ที่เดียว รับแล้วรับอีก จนกลายเป็นที่ระอาใจของญาติโยม เพราะว่ามีการเอาไปแลกเปลี่ยนหมุนเวียนเป็นเงินกลับมา และได้ข่าวว่ายังมีการมั่วสุมกับยาเสพติดอีกด้วย..!

หลวงพี่น้ำฝนบุกเข้าไปตรวจเจออยู่ ๑๔ รูปด้วยกัน เมื่อตรวจสอบแล้ว ผู้ที่ไม่มีหนังสือสุทธิ ไม่มีสังกัดและปัสสาวะเป็นสีม่วง ไม่ว่าจะเหตุใดเหตุหนึ่งในเหตุทั้งหลายเหล่านี้ ก็สั่งสึกเสียตรงนั้นไป ๑๑ รูปด้วยกัน วงการผ้าเหลืองของเราแทนที่จะสะอาดขึ้น ผู้คนกลับมองว่า "นักบวชปัจจุบันนี้เป็นอย่างนี้ไปหมด..!"

เรื่องยังไม่ทันจะจบก็มีข่าว "เจ้าอาวาสใช้ตะพดทุบรถจนกระทั่งกระจกแตก" ทางเจ้าของรถอ้างว่า "แค่เข้ามากลับรถเท่านั้น" แต่หลวงตาเจ้าอาวาสยืนยันว่า "มาจอดแช่ ทั้ง ๆ ที่บอกแล้วว่าห้ามจอด" อีกฝ่ายหนึ่งยืนยันว่า "แค่เข้ามากลับรถ" หลวงตาบอกว่า "ถ้าแค่เข้ามากลับรถ พระแก่อย่างอาตมาก็ไม่สามารถที่จะไล่ตามไปทุบกระจกได้" เมื่อต่างฝ่ายต่างเถียงกัน ท้ายที่สุดหลวงตาเจ้าอาวาสก็ยอมเสียค่าปรับในฐานะทำลายทรัพย์สินคนอื่น แต่ว่าภาพพจน์คณะสงฆ์พังบรรลัยไปเรียบร้อยแล้ว..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-11-2024 เมื่อ 01:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 20-11-2024, 00:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,377
ได้ให้อนุโมทนา: 157,932
ได้รับอนุโมทนา 4,479,215 ครั้ง ใน 35,986 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ต่อจากนั้นอีกเพียงวันเดียวก็กลายเป็นข่าวใหญ่ว่า "เจ้าอาวาสวัดดังในจังหวัดกาญจนบุรี ปรี๊ดแตกในเรื่องการเก็บค่าที่จอดรถ" ทำเอาพระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. (ปัญญา วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ. ๙) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ต้องมานั่งกุมขมับ บ่นกับกระผม/อาตมภาพว่า "เรื่องแค่นี้ก็จัดการไม่เป็น แล้วแถมอยู่ต่อหน้านักข่าวก็เก็บอารมณ์ไม่ได้อีกต่างหาก เสียทีที่ตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสจริง ๆ" ก็แปลว่าภาพพจน์ของคณะสงฆ์พังบรรลัยไปเรียบร้อยอีกเช่นกัน..!

วันนี้ก็มีข่าว "พระทะเลาะกับแม่ชีเรื่องค่าไฟ" ไม่ว่าจะเป็นตู้เย็น จะเป็นตู้แช่ และไฟฟ้าต่าง ๆ ใช้อย่างครื้นเครงเต็มที่ แต่ไม่มีช่วยจ่ายเลย เรื่องนี้กระผม/อาตมภาพให้พระสงฆ์ในวัดท่าขนุนจัดการกันเอง ก็คือเก็บค่าไฟรูปละ ๑๐๐ บาท ถ้าหากว่าใครอยู่กุฏิส่วนตัว อย่างเช่นกุฏิแม่ชีในแดนสงบ ก็เก็บคนละ ๓๐๐ บาท เรื่องนี้เป็นคำสั่งเจ้าอาวาสเอง แล้วกระผม/อาตมภาพก็ถวายเบี้ยเลี้ยงให้รูปละ ๒๐๐ บาท สรุปก็คือเงินเจ้าอาวาสนั่นแหละที่ชักกลับมาครึ่งหนึ่งเพื่อเป็นค่าไฟ..!

ในส่วนของแม่ชีนั้นก็ถวายปัจจัยให้รูปละ ๑,๐๐๐ บาท ใครมีกุฏิส่วนตัวที่จะอยู่อย่างสบายเป็นเอกเทศหน่อยก็จ่ายคืนมา ๓๐๐ บาท เนื่องเพราะว่าบิลล่าสุดที่ผ่านมา ค่าไฟวัดท่าขนุนอยู่ที่ ๖๙,๓๐๐ กว่าบาท ได้ยินแล้วจะเป็นลมตาย..! แม่ชีชื่น ศรีสองแคว หัวหน้าแม่ชีวัดท่าขนุนมาบอกว่า "หนูขอเบิกหลวงพ่อแค่ ๕๐,๐๐๐ บาท..!"

กระผม/อาตมภาพได้ยินแล้วจะเป็นลม..! "แค่ ๕๐,๐๐๐ บาท..!" แสดงว่าเงินในตู้สังฆทาน ค่าน้ำ ค่าไฟที่ญาติโยมหยอดทำบุญเอาไว้ มีแค่หมื่นกว่าบาทต่อเดือนเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงเป็นเรื่องที่แต่ละวัดต้องบริหารจัดการให้ดี ถ้าไม่มีข้อตกลงกันที่ชัดเจนไว้ตั้งแต่แรก เดี๋ยวก็จะเกิดปัญหาทะเลาะกันอย่างวัดแห่งนี้ แล้วภาพพจน์คณะสงฆ์ก็จะพังบรรลัยยิ่งขึ้น..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-11-2024 เมื่อ 01:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 20-11-2024, 00:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,377
ได้ให้อนุโมทนา: 157,932
ได้รับอนุโมทนา 4,479,215 ครั้ง ใน 35,986 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีข่าว "ลัทธิประหลาดฝึกเด็กตาทิพย์อีก" ซึ่งเรื่องพวกนี้อ่อนไหวต่อกระแสสังคมอยู่แล้ว จนกลายเป็นว่าต่อให้คุณทำผิดหรือว่าทำถูกก็ตาม ก็จะกลายเป็นผิดในสายตาของสังคมข้างนอกไปหมด..!

แล้ววิธีการฝึกทิพจักขุญาณ ซึ่งกระผม/อาตมภาพศึกษามาก็คือ จะต้องฝึกจากอาโลกกสิณ ก็คือฝึกจากแสงสว่าง หรือว่าดวงแก้วลูกแก้วอย่างหนึ่ง ฝึกจากโอทาตกสิณ ก็คือกสิณสีขาวอย่างหนึ่ง หรือว่าฝึกจากเตโชกสิณ ก็คือกสิณไฟอย่างหนึ่ง

แต่นี่ท่านไปปิดตาแล้วก็ให้เด็กเดาตัวอักษรหรือว่าตัวเลขบนกระดาษ แบบที่นักมายากลเขาทำกัน เรื่องพวกนี้ทำไปคนก็สงสัยเสียเปล่า ๆ เพราะว่าแหกคอกนอกตำรา ไม่มีมาทั้งในพระไตรปิฎก หรือว่าอรรถกถา ปกรณ์วิเสสใด ๆ ทั้งสิ้น..!

กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ถอนใจว่า
ขณะที่พระภิกษุสามเณรส่วนหนึ่งพยายามที่จะศึกษาปฏิบัติ รักษาตนอยู่ในกรอบของนักบวชที่ดีของพระพุทธศาสนา แต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าไม่ใช่อยากดังจนหน้ามืด ก็อยากหาแสง ตลอดจนกระทั่งไม่รู้ว่าการประพฤติปฏิบัติเป็นพระภิกษุสามเณรที่ดีอย่างไร จึงได้สร้างปัญหาให้กับคณะสงฆ์จนกระทั่งภาพพจน์ต่ำเตี้ยเรี่ยดินอยู่ทุกวัน กลายเป็นภาระใหญ่ที่กระผม/อาตมภาพจะต้องประคับประคองพระภิกษุสามเณรในสังกัดของตนเอง ให้ประพฤติปฏิบัติเข้มข้นยิ่งขึ้น เพื่อรักษาศรัทธาญาติโยมเอาไว้

ก็ต้องบอกว่าขอบคุณท่านทั้งหลายที่ทำตัวเป็น "นักบวชเน่า" ให้คนอื่นเขาเห็นอย่างชัดเจน ถ้าหากว่าญาติโยมมีสติดีพอ ก็จะเห็นว่านักบวชที่ดีนั้นยังมีอยู่ แล้วก็หันมาเคารพนับถือยึดถือบุคคลที่ดี เป็นที่พึ่งที่ระลึกของท่านในฐานะสังฆานุสติและเป็นเนื้อนาบุญต่อไป

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๑๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-11-2024 เมื่อ 01:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:07



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว