กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 16-11-2024, 19:56
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 500
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 24,997 ครั้ง ใน 988 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๗


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 17-11-2024, 00:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,258 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงวันเสาร์ที่ ๑๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ เมื่อเช้าพระใหม่ของเราออกบิณฑบาตแล้วขออนุญาตไปฉันยาก่อน ได้ยินว่าเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจอยู่ กระผม/อาตมภาพก็สงสัยอยู่ว่า "ยาหนักขนาดพกติดตัวไม่ได้เลยหรือ ?" อะไรที่จำเป็นกับตัวเอง ถ้าติดตัวไปได้ก็ต้องติดตัวไป

หลายท่านที่เคยสังเกต จะเห็นว่ากระผม/อาตมภาพถ้าเดินทางไปต่างประเทศ ก็จะมีกระเป๋าเดินทางที่หิ้วขึ้นเครื่องแค่ใบเดียว ไม่เคยใช้เยอะกว่านั้น ยกเว้นว่าไปที่หนาวจัดมาก ๆ ก็จะมีกระเป๋าอีกใบหนึ่งเอาไว้ใส่เครื่องกันหนาวเท่านั้น ไม่เช่นนั้นแล้วก็กระเป๋าใบเดียว น้ำหนักอย่างเก่งก็หนัก ๔ - ๕ กิโลกรัมเท่านั้น แต่รับประกันว่ามีข้าวของทุกอย่างครบถ้วน คนอื่นอยู่ได้กี่เดือน อาตมภาพก็อยู่ได้เท่านั้น..!

ความจริงเรื่องนี้ได้มาจากการออกธุดงค์ การเดินธุดงค์นั้นยิ่งเดินนานเท่าไรร่างกายก็จะยิ่งล้า พอไปถึงท้าย ๆ นี่ ขนาดไม้ขีดกล่องเดียวยังอยากจะโยนทิ้ง..! ก็คือทุกอย่างกลายเป็นเพิ่มน้ำหนักให้กับเราทั้งหมด ถ้าใครไม่เคยกินมื้อเดียว แถมข้าวปลาอาหารยังเลือกไม่ได้ แล้วก็เดินหนักทั้งวัน วันหนึ่ง ๗ - ๘ ชั่วโมงบ้าง ๑๐ ชั่วโมงบ้างตลอดทั้งเดือน ก็จะรู้เองว่าร่างกายของเรากรอบขนาดไหน ?!

เรื่องนี้ต้องไปถามไอ้ทิด ๒ คน ก็คือทิดตู่ (นายชาญชัย อาจิระวัฒน์ - อดีตพระชาญชัย จารุธมฺโม) กับทิดป๊อป (นายกิตติพงษ์ โหตระแสงไกวัล - อดีตพระกิตติพงษ์ ปญฺญาสาโร) ไปพม่ามาด้วยกัน ถึงเวลาพ่อประคุณสองคนก็จ้ำอ้าว ๆ อยู่ข้างหน้าโน่น ยังหนุ่มอยู่..อายุเพิ่งจะ ๒๐ กว่า ส่วนอาตมภาพคนแก่แล้ว ตอนนั้นประมาณ
พรรษา ๑๕ ได้ เดินตามหลังไป บอกว่า "ใจเย็น ๆ ไม่ต้องรีบ แรงหนุ่มมักจะสู้เดินนานไม่ได้" ไม่ฟังหรอก..โกยอ้าวอยู่ข้างหน้าโน่น อาตมภาพก็เดินตามไปเรื่อย

พอผ่านไปสักชั่วโมงหนึ่ง "อ้าว..รูป..!" ไปพม่าก็ซื้อของฝากกลับมาเต็มย่าม รูปหลวงพ่อพระมหาอานทูกานตา รูปใหญ่ใส่กรอบ เป็นพระสำคัญที่เมืองเมเมี้ยว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรัฐฉาน แต่ว่าโดนพม่าตัดมาอยู่กับมัณฑะเลย์ เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นผิ่นอูลวิน ไปอีกหน่อยหนึ่ง "อ้าว..ลูกประคำ..!" อะไรหนักกูทิ้งหมด..! อาตมภาพก็เดินเก็บไปเรื่อย

ก็เลยกลายเป็นบทเรียนว่าเอาไปแต่ของที่จำเป็นจริง ๆ ที่ผ่านมาไปศรีลังกา มีโยมหลายคนขนข้าวของไปถวายที่นั่น อาตมาไม่รับสักรายเลย..! ถ้าอยากถวายขนไปถวายที่วัดท่าขนุน ไม่ใช่ให้กูแบกกลับ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-11-2024 เมื่อ 00:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 17-11-2024, 00:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,258 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่จำเป็นสำหรับเราก็จะมีน้อยลงไปเรื่อย การธุดงค์ครั้งท้าย ๆ ก็แทบจะไม่มีอะไรเลย แรก ๆ ก็ทั้งกลด ทั้งบาตร ทั้งกระติกน้ำ แล้วกระติกน้ำก็ต้องขนาด ๒ ลิตรครึ่ง..สะใจ เป็นคนฉันน้ำเยอะ ไป ๆ มา ๆ ท้าย ๆ นะหรือ ? น้ำขวด ๓๐๐ ซีซี แค่นั้นแหละ..พอแล้ว ไปหาเพิ่มเอาข้างหน้า

เจอพระธุดงค์อยู่ในป่า ท่านมากัน ๔ รูป ห่มดองพาดสังฆาฏิเต็มชุด แบกกลด สะพายบาตร ถือกาน้ำ เหมือนหลุดจากรูปถ่ายมาเลย เห็นพวกอาตมภาพมีแต่สบงกับอังสะ แล้วก็ย่ามใบเดียว บาตรอยู่ในย่าม
เจอกันกลางป่า ท่านแปลกใจมาก ท่านถามว่า "นี่พวกท่านจะไปไหนกัน ?" ก็เลยตอบไปว่า "อ๋อ..มาธุดงค์เหมือนกับท่านนั่นแหละครับ แล้วผมมั่นใจว่าอยู่ได้นานกว่าท่านด้วย..!"

บรรดาท่านที่ห่มดอง พาดสังฆาฏิ แบกกลด สะพายบาตร ถือกาน้ำ ไปยึดรูปแบบ ๒ อย่างด้วยกัน อย่างแรกก็คือรูปหล่อพระสีวลี ท่านจะมาทรงนั้น อีกอย่างหนึ่งก็คือครูบาอาจารย์ ท่านธุดงค์ไปถึงจุดมุ่งหมายของท่านแล้ว ท่านก็สรงน้ำสรงท่า ห่มดอง พาดสังฆาฏิ เตรียมสวดมนต์ทำวัตร ไอ้ลูกศิษย์อยากได้รูปครูบาอาจารย์เป็นที่ระลึก ก็ขอให้ท่านสะพายย่าม แบกกลด สะพายบาตร ถือกาน้ำถ่ายรูป ไอ้พวกนี้เห็นก็ทำตามแบบที่เห็นนั้น ปล่อยท่านไปเถอะ..!

ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายอ่านพระไตรปิฎกจะเห็นว่า แม้กระทั่งเวลาพระท่านออกบิณฑบาต พระไตรปิฎกจะระบุไว้ชัดเลยว่า "มีมือถือบาตรและจีวร เมื่อเข้าไปถึงเขตเมืองมนุษย์แล้ว..ฯลฯ" เขาใช้อย่างนั้นเลยนะ เมืองมนุษย์แยกให้ชัด ๆ ว่าต่างจากเขตของผี..! ไอ้เรื่องนี้ก็น่าเล่าให้ฟังมาก เอาทีละอย่างแล้วกัน "..ฯลฯ ก็ห่มคลุม ซ่อนบาตรไว้ใต้จีวร ออกโคจรบิณฑบาต.."

เขาถามว่าทำไมถึงต้องถือจีวรไป ? ป่าไหนป่านั้นหนามทั้งนั้น
แหละ..ป่าธรรมชาติ ถ้าห่มไปเดี๋ยวจีวรโดนหนามเกี่ยวขาดหมด เพราะฉะนั้น..พวกที่แต่งเต็มยศ คาดว่าป่านนี้คงได้บทเรียนไปเยอะแล้ว..! แต่เชื่อเถอะ..ไม่เปลี่ยนรูปแบบหรอก เพราะมั่นใจว่า "ทำแบบนี้ถึงจะถูก..!"

ดังนั้น..ในเรื่องที่จำเป็นสำหรับชีวิตของเราก็แทบไม่มีอะไรเลย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค มีแค่นี้เอง พวกเราก็หนักแค่เรื่องอาหารเรื่องเดียว แต่ถ้าสำหรับพระแล้ว มีก็ฉัน ไม่มีก็ไม่ฉัน..แค่นั้นเอง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-11-2024 เมื่อ 00:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 17-11-2024, 01:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,258 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

บรรดารุ่นน้องจากวัดท่าซุงได้ยินหลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ (พระราชภาวนาโกศล วิ.) ตอนนั้นยังเป็นพระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณอยู่ ท่านบอกว่า "ถ้าพวกคุณอยากธุดงค์แบบมีเสือมีช้าง ให้ไปหาอาจารย์เล็กนะ" ไอ้รุ่นน้องก็มากันเลย

ขอนินทาหน่อย อาตมภาพก็ถามพวกท่านว่า "จะฉันไหม ?" ท่านบอกว่า "แล้วแต่หลวงพี่ครับ" "ถ้าแล้วแต่ผมก็ไม่ต้องฉันหรอก..ไปกันเถอะ..!" เก็บข้าวของเล็กน้อยใส่บาตรได้ก็พาเดินเลย พอวันที่ ๒ เท่านั้นแหละหน้าเหี่ยวมาเชียว "หลวงพี่ครับ ไม่ไหวแล้ว ขอกลับเถอะครับ" ไม่ได้กินแค่ ๒ วันจะตายแล้ว..! ตั้งแต่นั้นมาเขาลือกันให้หึ่งเลยว่า "อาจารย์เล็กพารุ่นน้องไปอยู่ด้วยธรรมปีติ..!" ตั้งแต่นั้นมา ไม่มีพระวัดท่าซุงมาขอธุดงค์ด้วยอีกเลย..!

ไอ้ที่เมื่อครู่กล่าวอยู่คำหนึ่งว่า "เมืองมนุษย์" โดยเฉพาะสมัยยุคต้น ๆ จะบอกว่าต้นกัปก็นานเกินไปนะ คน สัตว์ ผี เปรต อสุรกายอยู่ปนกันหมด ความจริงทุกวันนี้เขาก็อยู่ปนกัน เพียงแต่ว่าสภาพจิตที่สัมผัสได้เหมือนมนุษย์ยุคต้นกัปมันไม่ค่อยมีแล้ว ฝึกกันแทบเป็นแทบตายกว่าที่จะได้สักคนหนึ่ง..!

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พอถึงเวลาเจอกัน เขาก็จะถาม อย่างเช่นว่า "ท่านเป็นคนหรือเปล่า ?" ถ้าภาษาโบราณ ๆ แถวบ้านเราก็ "เจ้าเป็นไทบ้านใด๋ ?" ไอ้คำว่า "ไท" นี่แปลว่า "คน" นะ คือป้องกันว่าไอ้เจ้านี่จะเป็นผีหรือเปล่า ? ถามกันให้ชัดก่อน ไปไกลเกินไปหรือเปล่า ? เกิดไม่ทันยังไม่พอ ตามไม่ทันอีกต่างหาก..ใช่ไหม ?

เวลาอยู่ในป่า หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านสอนว่าอย่าขี้สงสัย เพราะว่าหลวงพ่อเองขี้สงสัยจนอดข้าวมา ๓ วันมาแล้ว ก็คือพอเช้าเดินออกบิณฑบาต อยู่ในป่าลึกแท้ ๆ มีเด็กมาใส่บาตร ด้วยความที่ปากคัน หลวงพ่อรูปหนึ่งก็ถามว่า "อีหนู..บ้านอยู่ไหน ?" เด็กนั่นหัวเราะ..แล้วเดินลับหายหลังต้นไม้ไป หายไป ๓ วันไม่มาใส่บาตรอีกเลย..อดกันหน้าแห้ง..!

พอคืนวันที่ ๓ เห็นหลวงปู่ปานมา ท่านบอกว่า "รุกขเทวดาเขามาใส่บาตรยังทะลึ่งไปถามเขาอีก เราต้องการอะไร ? ต้องการข้าว เขาให้ข้าวก็พอแล้ว ไม่ต้องเสือกไปรู้เรื่องคนอื่น พรุ่งนี้เขาจะมาใส่บาตรอีก แล้วอย่าถามอีกนะ..ถ้าถามอดแน่..!"
พอรุ่งขึ้นเขามาใส่บาตรใหม่ หลวงพ่อ ๓ รูปก้มหน้าดูบาตรอย่างสำรวมสุด ๆ หน้ายังไม่มองเลย กลัวอดข้าว

อาตมภาพเวลาเดินธุดงค์ในบางช่วง ช่วงแรก ๆ คนขอตามกันเยอะ มาระยะหลังเขาไม่ตามด้วยหรอก ด้วยสาเหตุที่ว่า ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือชอบเดิน เดินแบบมาตรฐานคือวันละ ๔๐ กิโลเมตร นี่ปกติ ๆ เลยนะ ถ้าเร่ง ๆ ทุ่งใหญ่ ๙๓ กิโลเมตร วันเดียวเดินทะลุเลย..! คนอื่นเขาตามกันไม่ไหว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-11-2024 เมื่อ 00:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 17-11-2024, 01:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,258 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ประการที่ ๒ ก็คือไปกับอาตมภาพมีสิทธิ์อดตาย บางทีเดินไปนี่ ๑๐ กว่าวันไม่เจอบ้านคนเลย มีแต่ป่าใหญ่ไพรทึบทั้งนั้น แรก ๆ ก็พออาศัยน้ำตาลโน่นนิด ไอ้นี่หน่อย ช็อกโกแล็ตชิ้นหนึ่ง หรือท็อฟฟี่ ๒ เม็ด อยู่ไปได้ ๑ วัน เพราะว่ามีพกมาบ้าง วันท้าย ๆ ไม่เหลืออะไรเลย นอกจากน้ำในลำธาร ไปกรองเอาก็แล้วกัน..!

ผ่านไปหลายวันชักไส้แขวน เดิน ๆ ไป มีแม่ค้าส้มตำหาบผ่านมา "จะเชื่อดีไหมนี่ ? นี่กูอยู่กลางป่านะ..!" มีแต่รอยเท้าเสือรอยเท้าช้าง "นิมนต์เจ้าค่ะ" เอ้า..นิมนต์ก็นิมนต์..กำลังหิว เขาก็ทำส้มตำถวาย ก้มหน้าก้มตาฉัน หน้ากูยังไม่มองเลย..กลัวอด..! พอฉันเสร็จ อวยชัยให้พร ยถาฯ สัพพีฯ เสร็จ เขาลุกขึ้นแบกหาบเดิน อาตมภาพก็มองตามไป

พวกเราเคยเห็นคนเขาหาบของใช่ไหม ? จะมีกระจาดใบใหญ่อยู่ ด้านหนึ่งก็คือเครื่องมือเครื่องไม้ในการตำส้มตำนั่นแหละ ครกกะบากสากกะเบือเครื่องปรุงอะไร อีกด้านหนึ่งมีมะละกออยู่ลูกหนึ่ง ลูกใหญ่เต็มกระจาดพอดีเลย ใหญ่กว่าขันใส่เงินใบนี้อีก มะละกอโคตรพ่อโคตรแม่มัน เอามาจากไหนลูกใหญ่ขนาดนั้น..!? ไม่กล้าถาม..กลัวว่าครั้งหน้าเขาจะไม่เลี้ยง แล้วหลังจากนั้นก็มั่นใจว่า "ถ้าอดนี่อดไม่นานหรอก เดี๋ยวก็มีคนมาเลี้ยง เพียงแต่อย่าขี้สงสัยเท่านั้น"

ดังนั้น..ไปไหนก็เลยไม่ขนของไปเยอะ ไปหาเอาข้างหน้า ถ้าบุญไม่ดีพอก็อดเอา ไอ้รุ่นน้องท่านทนไม่พอ ถ้าทนได้ ๓ วันได้กินแน่เลย วันที่ ๒ ท่านขอกลับแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยท่านไปเถอะ เอ้า..เดี๋ยวพวกเราทำวัตรค่ำรอบ ๒ กัน คุยมากไปไม่ดี..เรื่องพวกนี้คนเขาว่าฟุ้งซ่าน..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๑๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-11-2024 เมื่อ 00:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:06



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว