#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๗
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงวันศุกร์ที่ ๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ ตอนนี้พวกเราส่วนหนึ่งได้เข้าไปอบรมก่อนสอบนักธรรมชั้นโทและชั้นเอกที่วัดไชยชุมพลชนะสงคราม (พระอารามหลวง) หรือวัดใต้ ส่วนที่เหลือใครมีภาระรับผิดชอบอะไรมาก่อน แล้วเพื่อนฝูงไม่อยู่ก็ช่วยทำหน้าที่แทนเขาไปด้วย
ส่วนบรรดานาคทั้ง ๕ ท่าน ถ้าหากว่าซักซ้อมการขานนาค ให้ใช้ความเพียรพยายามให้เต็มที่ เพราะว่าเมื่อตั้งใจมาแล้วก็ไม่อยากที่จะให้หลุดวงโคจรไป เพียงแต่ว่าพวกเราต้องเข้าใจว่า การขานนาคคือการที่เราไปร้องขอในท่ามกลางสงฆ์ว่า ให้ช่วยพิจารณายกเราขึ้นเป็นอุปสัมบันในพระพุทธศาสนาด้วย ในเมื่อเป็นการร้องขอก็ต้องว่าเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นสอนให้ แล้วขณะเดียวกันเมื่อร้องขอต่อสงฆ์ทั้งโบสถ์ ต้องเสียงดังฟังชัดให้ทุกรูปได้ยินเหมือนกันหมด ไม่ใช่กระซิบกันอยู่แค่ ๒ คนกับพระอุปัชฌาย์..! สำหรับวันนี้ช่วงเช้า กระผม/อาตมภาพไปรับรางวัลคนดีศรีวิปัสสนาธุระ ของสถาบันวิปัสสนาธุระ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จากประวัติที่เขาอ่านให้ทราบ ก็เพิ่งจะรู้ว่าตนเองมอบเงินสนับสนุนการทำงานของส่วนวางแผนและพัฒนาการอบรมสถาบันวิปัสสนาธุระ เดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท ต่อเนื่องกันมา ๓ ปีแล้ว..! ต้องบอกว่าเป็นความตั้งใจที่อยากจะให้งานทางด้านปฏิบัติธรรม ของมหาวิทยาลัยที่ได้ชื่อว่ามีนิสิตมากที่สุด เป็นไปด้วยความสะดวก ไม่ได้คิดว่าเมื่อถึงเวลาแล้วเขาจะมีรางวัลให้ด้วย ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมวัชรธีราจารย์, ศ., ดร. (สมจินต์ สมฺมาปญฺโญ, ป.ธ. ๙) องค์อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เจอหน้าท่านก็ถามว่า "ท่านพระครูออกมาแต่มืดเลยหรือ ?" เนื่องเพราะว่าถ้าวิ่งจากวัดท่าขนุนไป มจร.วังน้อย จะใช้เวลา ๕ ชั่วโมง กราบเรียนท่านไปว่า "กระผมกลับมาจากศรีลังกา แล้วมีงานต่อเนื่อง ยังไม่ได้กลับวัด รอรับรางวัลก่อนแล้วถึงจะกลับขอรับ" เมื่อรับรางวัลเสร็จก็รีบวิ่งกลับมาจังหวัดกาญจนบุรี เพราะว่าวันนี้คณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิเป็นเจ้าภาพ ถวายภัตตาหารเพลแก่ผู้เข้าอบรมนักธรรมชั้นโทและชั้นเอกก่อนสอบ แต่ดูแล้วอย่างไรก็มาไม่ทัน จึงได้แวะเข้าไปที่สนามอบรมแห่งที่ ๒ ที่วัดพระแท่นดงรัง วรวิหาร นำปัจจัยไปถวายพระเดชพระคุณพระราชวิสุทธาภรณ์ (ทองดำ อิฏฺฐาสโภ ป.ธ. ๖) รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ประธานสนามอบรมแห่งที่ ๒ หลวงพ่อเจ้าคุณท่านก็เลยประกาศให้ญาติโยมรู้ว่า "นี่แหละคือหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน ซึ่งเสกเหรียญให้กับพระมหาธวัชชัย กลฺยาโณ ป.ธ. ๙ เจ้าคณะอำเภอพนมทวน แล้วมีคนเอาไปทดลองยิงเท่าไรก็ยิงไม่ออก..!" กระผม/อาตมภาพสงสัยจึงได้กราบเรียนถามว่า "เรื่องอะไรกันครับ ?" ท่านเล่าให้ฟังว่า วัตถุมงคลรุ่นที่กระผม/อาตมภาพไปเสกให้ที่วัดพังตรุ มีลูกศิษย์ของหลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอบ้านโป่งสงสัยว่าดีแค่ไหน ? ก็เลยเอาไปทดลองยิงดู ปรากฏว่ายิงเท่าไรก็ยิงไม่ออก จึงกราบเรียนท่านไปว่า "พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านเคยบอกว่า การเอาพระเครื่องไปทดลองเป็นการปรามาสพระรัตรตรัย มีโทษมากนะครับ" หลวงพ่อเจ้าคุณทองดำท่านบอกว่า "ก่อนทดลองเขากราบขอขมาพระแล้ว" ก็เป็นอันว่าเจ๊ากันพอดี..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-02-2025 เมื่อ 17:54 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
ความจริงวัตถุมงคลรุ่นนั้น ท้าวเวสสุวรรณท่านเป็นผู้นำกระผม/อาตมภาพไปเสกเอง..! แล้วท่านก็ยืนเฝ้าอยู่ข้างประตูโบสถ์ตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ยังสงสัยว่ามีอะไรพิเศษหรือเปล่า ? แต่ไม่เห็นท่านพูดอะไร เพราะว่าโดยปกติแล้วการเสกวัตถุมงคลนั้น หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านแนะนำว่า ให้เอามหาลาภ มหานิยมนำหน้า เพื่อความสะดวกในการทำมาหากินของญาติโยม พวกคงกระพันมหาอุดซุกเอาไว้ข้างในก็พอ เอาไว้ใช้ตอนจำเป็น
กราบเรียนถามท่านว่า "ทำไมไม่สามารถที่จะใช้คงกระพันมหาอุดนำหน้าครับ ?" ท่านบอกว่า "พวกแกกำลังใจเกินคน ถ้าได้ของที่ยิงไม่ออกจริง ๆ ไป ก็จะกลายเป็นโจรกันหมด..!" แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ทำไมวัตถุมงคลรุ่นนั้นถึงได้พิเศษ ทางวัดท่าขนุนได้รับมาส่วนหนึ่ง จากการที่ท่านอาจารย์พระมหาธวัชชัย ถวายให้กับพระเกจิอาจารย์ผู้เข้าเสกในพิธี ก็ไม่เห็นพวกเราจะสนใจบูชาสักเท่าไร เพราะว่าไม่ใช่ของวัดท่าขนุนโดยตรง คนที่ได้ไปก็ถือว่าโชคดี ได้ของดีราคาถูกไป ใครที่บอกว่า "พุทธคุณในวัตถุมงคลไม่มี" ให้ไปถามลูกศิษย์หลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอบ้านโป่งดูก็แล้วกันว่ามีหรือไม่ ? เรื่องพวกนี้เราไม่เสียเวลาไปเถียงกัน เพราะว่าประสบการณ์มีมากมาย ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า ทหาร ตำรวจ อาสาสมัครทหารพราน ที่ลงไปทำงานอยู่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นเป็นอย่างไร สมัยที่กระผม/อาตมภาพอยู่ชายแดน เขาใช้คำพูดว่า "ทหาร ๑ กองร้อย พระเครื่องไปด้วย ๑ กองพล" ถ้าไม่มีพุทธคุณจริง ก็คงจะไม่มีใครเขาพกไปมากมายขนาดนั้น เสียอยู่อย่างเดียวว่า ถึงเวลามีประสบการณ์แล้ว แยกไม่ออกว่าหลวงพ่อรูปไหนช่วย..!? นั่นเป็นปัญหาของท่านไปก็แล้วกัน คราวนี้ในเรื่องของวัตถุมงคล ท่านทั้งหลายที่ปฏิบัติธรรมอยู่ กระผม/อาตมภาพได้แนะนำให้อยู่ตลอดเวลาแล้วว่า การปลุกตัวเอง เสกตัวเอง หรือเสกวัตถุมงคล ก็คือการกำหนดใจขอบารมีพระท่านครอบลงไป ต้องการจุดกว้างใหญ่แค่ไหนก็กำหนดใจเอาตามอัธยาศัย เพราะว่าถ้าซักซ้อมจนคล่องตัวแล้ว เราสามารถที่จะครอบโลกทั้งโลกไว้ภายในพริบตาเดียวเท่านั้น แล้วทางสายหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงท่านแนะนำมา ก็เหมาะกับคนขี้เกียจอย่างกระผม/อาตมภาพมาก ก็คือกราบขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปเสกเอง..! กระผม/อาตมภาพเสกวัตถุมงคลร่วมกับหลวงพ่อเสงี่ยม (พระครูพิศาลวิริยกิจ - เสงี่ยม สุธมฺโม) วัดบ้านทวน เห็นท่านใช้กำลังใจตัวเอง ถึงเวลาก็ส่งกำลังใจพุ่งมาเป็นระลอก ๆ ความรู้สึกเหมือนอย่างกับชกกระสอบทราย ก็คือกระแทกมาปั้ก ๆ ๆ ๆ เลย หรือไม่ก็หลวงปู่ชุบ (พระครูอดุลพิริยานุวัตร - ชุบ ปญฺญาวุโธ) วัดวังกระแจะ ของท่านนี่กว่าจะเสกเสร็จ เหนื่อยสาหัส เพราะว่าเรียนอะไรมาท่านก็ใส่ลงไปหมด แล้วบางทีก็เรียงลำดับก่อนหลังไม่ถูก ใส่มหาลาภเข้าไปแล้วปิดด้วยมหาอุด แล้วมหาลาภจะโผล่ออกมาได้อย่างไร ? บางทีกระผม/อาตมภาพก็ต้องเสียเวลาไปนั่งแก้ นั่งจัด นั่งเรียงใหม่ เพราะถือว่าเขานิมนต์เราไปร่วมพิธีแล้ว ก็ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด แต่ถ้าหากว่าบางแห่งท่านนิมนต์พระเถระผู้ใหญ่ไป บางทีกระผม/อาตมภาพก็วางเฉยเหมือนกัน ก็คือท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในวงการสงฆ์ ถ้าหากว่าทำเป็นก็ทำไป ถ้าทำไม่เป็น กระผม/อาตมภาพก็มิบังอาจ เพราะว่าเราเด็กเกินไปที่จะไปทำอะไรตัดหน้าผู้ใหญ่ขนาดนั้น ถ้าหากว่าการเสกของที่ไหนนิมนต์พระเถระผู้ใหญ่มาก ๆ ไป บางทีกระผม/อาตมภาพก็ต้องวางอุเบกขา แล้วแต่เวรแต่กรรมเหมือนกัน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-11-2024 เมื่อ 02:40 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
เรื่องของการเสกวัตถุมงคลนั้นจะต้องมีการตั้งธาตุ ปลุกธาตุ ใส่อาการ ๓๒ เพราะเขาเชื่อว่าทำให้วัตถุมงคลนั้นเหมือนกับมีชีวิต แล้วบางแห่งพระมหานาคท่านก็ยังสวดญัติอีก เหมือนอย่างกับสวดนาคนี่แหละ เพียงแต่ท่านใช้คำว่า "พุทธรูปานิจะ สังฆรูปานิจะ วัตถุมังคะลานิจะ" ไม่ได้ใช้ชื่อของนาคแบบพวกเรา ก็แล้วแต่ความเชื่อมั่นของใครของมัน
แต่ว่าถ้าพวกเราซักซ้อมกำลังใจเอาไว้เสมอ สิ่งที่เราจะได้มากที่สุดก็คือ ใกล้ชิดกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ยึดพระองค์ท่านเป็นหลัก อย่างที่กระผม/อาตมภาพสละสมเด็จองค์ปฐมวัดท่าซุง รุ่น ๒ เลี่ยมทองประดับเพชร ถวายบูชาพระบรมสารีริกธาตุเขี้ยวแก้วไป มีคนถามว่า "ใจถึงขนาดนั้นเลยหรือ ของใช้ติดตัวมานานขนาดนี้ ?" ก็เลยตอบไปว่า "เคยมีของที่ใช้ติดตัวมานานกว่านี้ แต่ก็สละไปแล้ว..!" เนื่องเพราะว่าวัตถุมงคลเป็นเครื่องโยงใจให้เรานึกถึงพระ นึกถึงความดี ถ้าเราสามารถนึกถึงพระ นึกถึงความดีได้ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพกวัตถุมงคล แต่เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านเห็น ท่านก็เมตตาตักเตือน ท่านบอกว่า "แกมีโอกาสเผลอได้ แต่วัตถุมงคล ถึงเวลาพระท่านขอให้พรหมเทวดาช่วยสงเคราะห์ พรหมเทวดาท่านมีความเป็นทิพย์ ท่านไม่เผลอ" ตอนที่เราใช้แค่กำลังตัวเอง ถ้าเผลอปล่อยให้วาระกรรมแทรกเข้ามา ก็อาจจะเจออะไรหนัก ๆ เข้าไปได้..! แล้วท่านก็ยกตัวอย่างหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ว่าแค่ถอดอังสะที่ใส่วัตถุมงคลแขวนไว้กับประตูห้องน้ำ เพื่อที่จะสรงน้ำเท่านั้น โดนเขา "บังฟัน" ล้มทั้งยืน..! ถ้าไม่ได้ "ก๋งจาบ" มาช่วยรักษาให้ก็มีหวังมรณภาพตอนนั้นเลย..! แล้วท่านก็ถามว่า "แกคิดว่าแกเก่งกว่าหลวงพ่อปานหรือ ?" กระผม/อาตมภาพก็เลยเริ่มพกวัตถุมงคลตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แล้วด้วยความที่ไม่มั่นใจว่า อย่างไรเราก็เก่งสู้หลวงปู่หลวงพ่อไม่ได้ ก็เลยพกจนเยอะไปเลย เพียงแต่ว่าบางทีถ้าเผลอพกเดินผ่านเครื่องเอ็กซเรย์ของสนามบิน ก็ไม่ดังอีกต่างหาก..! ตอนที่ตลกที่สุดก็คือสนามบินประเทศเนปาล ชื่อสนามบินถ้าจำไม่ผิดชื่อ "สนามบินตรีภูวัน" ไปทอดกฐินปลดหนี้ที่นั่น เดินผ่านเครื่องแล้วร้อง เจ้าหน้าที่ขอให้แสดงว่ามีอะไรที่เป็นโลหะบ้าง ? กระผม/อาตมภาพก็ล้วงเอาทั้งพระเครื่องเลี่ยมทอง ทั้งเลี่ยมเงิน ทั้งตะกรุด ออกมาเป็นถาดเลย..! เจ้าหน้าที่เขาถือเดินผ่านเครื่อง ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง ถือไปทั้งถาดไม่ดัง..! แต่พอตัวกระผม/อาตมภาพเดินผ่านก็ดังอีก..! ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเพราะฟันที่ครอบโลหะไว้หรือเปล่า ? แต่ปรากฏเจ้าหน้าที่เขาคลำที่กระเป๋าอังสะ แล้วไปเจอยาอม ๒ เม็ด ที่พระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ผศ., ดร. ตอนนั้นยังเป็นพระมหาจรูญโรจน์อยู่ ถวายไว้ให้อมแก้เจ็บคอ เพราะว่าเนปาลมีแต่ฝุ่นเยอะมาก พอเขาหยิบไป กรีดผ่านเครื่องตรวจ มีเสียงร้องดังลั่นเลย..! กระผม/อาตมภาพก็ยังนั่งหัวเราะ ทั้งคณะพอรู้ก็นั่งหัวเราะ แต่ไอ้ที่หัวเราะไม่ออกก็คือทำไมเจ้าหน้าที่ไม่สงสัยเลยว่า "โลหะทั้งถาดที่ยกเข้ายกออกแล้วไม่ดังนั่นเป็นเพราะอะไร ?" ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่อัศจรรย์ แล้วก็ยิ่งอัศจรรย์ก็คือน่าจะมีการ "บัง" ไม่ให้เจ้าหน้าที่เขาสงสัยอีกด้วย ไม่อย่างนั้นคงต้องตอบปัญหากันยาวมาก สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-11-2024 เมื่อ 02:48 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|