กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 27-07-2024, 19:42
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,946
ได้ให้อนุโมทนา: 225,209
ได้รับอนุโมทนา 800,461 ครั้ง ใน 39,365 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๗


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 27-07-2024, 23:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เราทั้งหลายที่มาบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติในรุ่นนี้ ถ้าไม่รู้จักปฏิบัติและรักษากำลังใจด้วยตนเองก็จะได้ประโยชน์น้อยมาก

เนื่องเพราะว่าเมื่อเช้ากระผม/อาตมภาพก็ติดงานอุปสมบทหมู่เฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเจริญพระชนมายุ ๗๒ พรรษา พรุ่งนี้ช่วงเช้าก็ยังมีพิธีถวายพระพร ในโอกาสที่โอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเจริญพระชนมายุ ๗๒ พรรษา ณ ที่ว่าการอำเภอทองผาภูมิ ตอน ๑๐ โมงก็ยังมีการเจริญพระพุทธมนต์ย่ำฆ้อง กลอง ระฆัง และของเราก็จะมีการแสดงพระธรรมเทศนาวชิโรปมกถา ช่วงค่ำก็ยังมีการเจริญพระพุทธมนต์หลังทำวัตรค่ำตามมติมหาเถรสมาคม จะเหลือเวลาปฏิบัติธรรมจริง ๆ ของเราไม่มากเลย

ทุกท่านต้องเข้าใจว่าเราเดินทางมาไกลก็เพื่อหวังประโยชน์ แต่พอมาถึงแล้วเห็นว่าทางวัดมีกิจกรรม แทนที่เราจะรักษากำลังใจของตนเองไว้ ก็ปล่อยให้ลอยตามกิจกรรมนั้นไป ดีไม่ดีก็จะพาให้ขาดทุนไปด้วย บางท่านบางคนพอผิดที่ผิดทาง กลางคืนนอนไม่หลับ แทนที่จะเร่งการภาวนาให้มาก กลับไปนั่งเขี่ยโทรศัพท์ กระผม/อาตมภาพถึงได้กล่าวว่า พวกเราปฏิบัติธรรมเหมือนกับ "แก้บน" คือสักแต่ให้พ้น ๆ ไป แล้วก็อยากถามว่า "ถ้าเป็นอย่างนั้นจะมาทำอะไรกัน ?"

การปฏิบัติธรรมของเรานั้นจุดหนึ่งที่ทุกคนต้องการมากที่สุด ก็คือมีสติ รู้ตัวอยู่ทั้งตื่นและหลับ เนื่องเพราะว่าบุคคลปกติทั่ว ๆ ไป แม้ว่าเวลาตื่นอยู่จะระมัดระวังรักษากำลังใจแค่ไหนก็ตาม เมื่อตอนที่เราหลับก็มักจะขาดสติ ปล่อยให้ รัก โลภ โกรธ หลง กินใจของเราในตอนนั้น สิ่งที่เราปฏิบัติธรรมได้ในช่วงที่ตื่นอยู่จึงพังไม่เหลือเลย..!

อย่างที่เคยยกตัวอย่างว่า เวลากลางวัน แม้แต่มดตัวเดียวเราก็ระมัดระวังไม่ให้เหยียบ แต่พอนอนหลับ ฝันว่าฆ่าเขาเป็นกองทัพเลย..! เวลากลางวันแม้แต่เพศตรงข้ามก็ยังไม่กล้ามองตรง ๆ กลางคืนปล้ำลูกชาวบ้านเขาไปแล้ว..! นั่นคือความที่เราขาดสติ เมื่อถึงเวลาสภาพจิตก็แสดงออกตาม รัก โลภ โกรธ หลง ที่เรามีอยู่

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เราจึงต้องเร่งปฏิบัติภาวนาให้มากเข้าไว้ แต่ว่าหลายท่านพอทำไปถึงระดับนั้น จิตมีสภาพตื่นกลับไปเครียดแทน เพราะคิดว่าตัวเองไม่ได้นอน ความจริงร่างกายของเรานอนอยู่ ได้รับการพักผ่อนที่พอเพียงแล้ว แต่สภาพจิตที่ตื่นเพื่อระมัดระวังไม่ให้กิเลสกินใจของเรา ทางด้านพระจึงต้องออกธุดงค์ เพื่ออาศัยสถานที่และอันตรายต่าง ๆ ที่เข้ามา ทำให้สภาพจิตมีความตื่นอยู่เนื่องเพราะความกลัวภัย จะได้รู้เท่าทันกิเลสในยามที่ตื่นอยู่ตลอดเวลา แต่พอท่านตื่นอยู่จากการปฏิบัติกลับอยากจะหลับ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-04-2025 เมื่อ 00:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 27-07-2024, 23:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าหากว่าเราดูในพระสูตรหนึ่งที่มีอยู่ ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นอัปปสุปติสูตร อยู่ในฉักกนิบาต อังคุตตรนิกาย พระสุตตันตปิฎก พระพุทธเจ้ากล่าวถึงบุคคลผู้นอนไม่หลับ มีอยู่ ๕ ประเภทด้วยกัน

ประเภทที่ ๑ ก็คือ หญิงผู้ครุ่นคิดถึงชาย

ประเภทที่ ๒ ก็คือ ชายผู้ครุ่นคิดถึงหญิง เรื่องนี้เป็นที่รู้กัน โดยเฉพาะใครที่เป็นวัยรุ่น บางทีคิดได้ทั้งวันทั้งคืน ไม่รู้จักหลับจักนอน

ประเภทที่ ๓ ก็คือ โจรร้ายผู้ประสงค์ต่อทรัพย์ แหกขี้ตาตื่นอยู่ก็เพื่อหวังที่จะชิงทรัพย์คนอื่นเขา..!

ประเภทที่ ๔ คือพระราชาผู้ขยันเสด็จออกประกอบพระราชภารกิจ ถ้าท่านทั้งหลายศึกษาในพระราชประวัติในหลวงรัชกาล ๙ จะเห็นว่า แม้ตี ๑ ตี ๒ พระองค์ท่านก็ยังคงไม่ได้บรรทม สั่งการสั่งงานต่าง ๆ อยู่เสมอ จนกระทั่งหลายท่านที่ได้รับคำสั่งทางวิทยุ ก็ยังสงสัยว่าใช่ในหลวงจริงหรือเปล่า ?

ประเภทสุดท้าย ก็คือ ผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร รีบเร่งลุกขึ้นมาปฏิบัติภาวนาเพื่อความหลุดพ้น ของเราน่าจะไม่มีสักประเภทเดียว..!

ดังนั้น..บุคคลที่นอนไม่หลับพึงทราบว่าท่านโชคดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาไปหายามากิน ตั้งใจไปเลยว่า "นอนไม่หลับได้แหละดี เราจะภาวนาให้มากเลย" รับประกันหายใจเข้า "พุท" ไม่ทันหายใจออก "โธ" ก็ตัดหลับไปแล้ว เพราะว่ากิเลสมักจะกลัวเราดี อะไรที่ทำแล้วเราดีแปลว่าจะสร้างความลำบากให้กับกิเลส เขาก็หาทางตัดแข้งตัดขาเราอยู่ตลอดเวลา เดินไม่ถึงจุดหมายเสียที..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-07-2024 เมื่อ 02:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 27-07-2024, 23:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก็แปลว่าสิ่งที่เราทำมานั้นยังไม่เพียงพอต่อการที่จะเข้าถึงมรรคถึงผล เนื่องเพราะว่าสภาพจิตยังตื่นรู้ไม่เพียงพอ แล้วจะไปใช้ปัญญาในการพิจารณาตัดกิเลสอย่างไร ? เพราะว่าถึงเวลา ถีนมิทธะ คือความง่วงเหงาหาวนอน ก็มากดทับสภาพจิตของเราจนมืดบอดไปหมด แม้แต่กิเลสหน้าตาเหมือนเรายังไม่รู้เลย..! ก็คือมักจะมองไปว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราแล้วไม่ดีไม่งามนั้น เป็นความผิดของคนอื่นเสมอ..!

ทำอย่างไรที่เราจะพิจารณาหาความผิดของตนเองให้ได้ เหมือนอย่างกับในพระบาลีที่ว่า อัตตนา โจทยัตตานัง ก็คือ ต้องกล่าวโทษโจทก์ตนเองอยู่เสมอ อย่าให้ไปตกอยู่ในภาษิตโบราณที่ว่า "ผิดคนอื่นมองเห็นเป็นภูเขา ผิดของเรามองเห็นเท่าเส้นขน ตดคนอื่นเหม็นเบื่อเหลือจะทน ตดของตนถึงเหม็นไม่เป็นไร"

ถ้าเรายังมัวแต่ให้อภัยตนเองอยู่ตลอดเวลา ก็ต้องให้อภัยแบบคนมีปัญญา ก็คือไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิด เพียงแต่ว่าบุคคลผู้มีปัญญานั้นคือผิดแล้วต้องแก้ไข เหมือนกับนักกีฬา เมื่อถึงเวลาเราแพ้คู่แข่ง ก็ต้องกลับมาวิเคราะห์ดูว่า เราแพ้เพราะอะไร ? แล้วพยายามแก้ไขปิดจุดอ่อนของตน สร้างจุดแข็งให้เหนือกว่าคู่แข่งขึ้นมา ไม่เช่นนั้นแล้วการปฏิบัติธรรมของเรา ต่อให้ปีแล้วปีเล่า กระผม/อาตมภาพต่อให้ชาติแล้วชาติเล่าด้วย..! ถ้าหากว่าพิจารณาหาข้อบกพร่องของตัวเองไม่ได้ เราก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขอะไรได้

กระผม/อาตมภาพเองนั้น บางขณะบางเวลา โดนครูบาอาจารย์ท่านดุด่าว่ากล่าว พิจารณาตั้งแต่ต้นยันปลายแล้วว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แล้วทำไมถึงโดนด่า ? ท้ายที่สุดก็สรุปลงได้ว่า
"เอ็งผิดตั้งแต่เกิดแล้ว ถ้าไม่เกิดมาก็ไม่ต้องโดนด่าแบบนี้..!"

ปรากฏว่า
ทันทีที่คิดตก หลวงพ่อท่านก็ให้ครูบาอาจารย์โทรมาแจ้งว่า "ท่านย่าสั่งให้ด่า" ท่านย่าบอกว่า "เจ้านี่มันรู้ตัวเร็ว ถ้าด่าไปแล้วมันจะระมัดระวัง คนอื่นก็จะเล่นงานมันไม่ได้" เพราะฉะนั้น..ถ้าหาความผิดตัวเองไม่เจอ อนุญาตให้นำไปใช้ ก็คือ "มึงผิดตั้งแต่เกิดมาแล้ว" ดีไม่ดีก็ผิดตั้งแต่ก่อนเกิดมาหลายชาติแล้วด้วย..!

ไม่เช่นนั้นแล้วเราก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขข้อบกพร่อง แล้วก็ทำตัวเองให้เจริญขึ้น ให้ก้าวหน้าขึ้น แล้วก็อาจจะโดนรุ่นน้องมองเหยียดว่า "พี่ปฏิบัติธรรมภาษาอะไร ? หลายสิบปีแล้วไม่มีอะไรดีขึ้นเลย..!" แม้กระทั่งตัวเองก็ยังอาจจะสงสัยตัวเองว่า "นี่เราทำอะไรผิดหรือเปล่า ? ทำไมปีแล้วปีเล่าเราไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-07-2024 เมื่อ 02:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 27-07-2024, 23:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สาเหตุส่วนใหญ่ก็คือ นอกจากเราจะหาข้อผิดพลาดของตนเองเพื่อแก้ไขไม่ได้แล้ว การปฏิบัติธรรมของเรา เรายังปฏิบัติแค่ตอนอยู่ในบัลลังก์เท่านั้น ไม่ว่าจะนั่ง หรือยืน หรือเดิน พอถึงเวลาพระวิปัสสนาจารย์นำอุทิศส่วนกุศลเสร็จสรรพ ปัดตูดลุกขึ้นได้กูก็ทิ้งกองไว้ตรงนั้นหมด..! ไม่มีการรักษากำลังใจของตนเองให้อยู่กับเราเลย

เหมือนอย่างกับว่าการปฏิบัติธรรมเป็นการว่ายทวนน้ำ พอถึงเวลาเลิก เราก็ทิ้งปล่อยลอยตามน้ำไปเป็นปลาหมอคางดำ พอถึงเวลาปฏิบัติธรรมใหม่ก็ว่ายกลับมาใหม่ ขยันเป็นบ้า..! ทำงานทุกวันแต่หาผลงานไม่ได้เลย เพราะว่าถึงเวลาก็ลอยไปไกล วันไหนเหนื่อย ว่ายกลับมาได้ไม่เท่าเดิมก็ขาดทุนอีกต่างหาก

นักปฏิบัติธรรมที่ดีจึงต้องปฏิบัติธรรมอยู่ทุกอิริยาบถ ทุกเวลา ทุกนาที ตอนนั่งนิ่ง ๆ อยู่ทำได้ดีเท่าไร เมื่อไปปฏิบัติหน้าที่อื่นต้องรักษาอารมณ์ใจนั้นให้ได้ด้วย ใหม่ ๆ นาที ๒ นาทีก็พังหมดแล้ว..! ก็เหลืออยู่แค่ว่าเราจะมีความเพียรพยามยามประคับประคองสักเท่าไร ถ้าความเพียรสูงก็เพิ่มระยะเวลามากขึ้นได้ กลายเป็น ๕ นาที ๑๐ นาที ๑๕ นาที ครึ่งชั่วโมง ๑ ชั่วโมง ฯลฯ

สภาพจิตที่ทรงอารมณ์ภาวนาได้นั้นจะปราศจากกิเลสชั่วคราว เราจะมีแต่ความเบาความสบาย สติก็แหลมคม ปัญญาก็ว่องไว
ก็จะต้องรีบเร่งพยายามหาทางประคับประคองเอาไว้ให้ได้ เพราะว่าอารมณ์ใจนี้มีแต่ส่วนดีเท่านั้น จนกระทั่งได้นานเป็นเดือนเป็นปี ปัญญาท่านก็จะยิ่งแก่กล้า เห็นกระทั่งความไม่เที่ยงในการปฏิบัติธรรม กำลังใจของเราก็จะเกิดเบื่อหน่าย ถอนจากการยึดการเกาะออกมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งไม่ยึดเกาะอะไร ก็สามารถที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุ สามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๒๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-04-2025 เมื่อ 00:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:59



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว