กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 17-07-2024, 02:02
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,946
ได้ให้อนุโมทนา: 225,209
ได้รับอนุโมทนา 800,461 ครั้ง ใน 39,365 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default บรรยายธรรมในหัวข้อ ปกิณกธรรม ออกอากาศช่อง MCU TV ในรายการเสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรม



บรรยายธรรมออนไลน์ ในหัวข้อ "ปกิณกธรรม"
ออกอากาศช่อง MCU TV ในรายการ "เสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรม"

โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน

ณ สำนักงานเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน หมู่ที่ ๑ ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
วันอาทิตย์ที่ ๑๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เวลา ๑๙.๐๐ น.
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-07-2024 เมื่อ 06:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 18-07-2024, 23:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กราบถวายความเคารพพระเดชพระคุณพระพรหมวัชรธีราจารย์, ศ.ดร. (สมจินต์ สมฺมาปญฺโญ, ป.ธ. ๙) องค์อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กราบขอโอกาสพระเถรานุเถระผู้เข้าร่วมรายการเสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรมช่วงนี้ทุกรูป และขอเจริญพรญาติโยมทุกท่านที่ชมและฟังรายการเสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรมวันอาทิตย์นี้ในทุกช่องทาง

กระผม/อาตมภาพ พระครูวิลาศกาญจนธรรม เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน รองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ วันนี้รับหน้าที่ในการบรรยายถวายความรู้ในหัวข้อปกิณกธรรม ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลกที่ว่าสิ่งที่ตั้งใจจะพูด จะบอก จะกล่าวนั้น สอดคล้องกับสิ่งที่ท่านพระปลัดสรวิชญ์ อภิปญฺโญ ผศ.ดร. เอ่ยมาเกือบทั้งหมด..!

ก่อนอื่นขอแนะนำต่อบรรดาท่านผู้เข้าร่วมรายการทั้งหมดก่อนว่า วัดท่าขนุนนั้น ตั้งแต่กระผม/อาตมภาพเป็นรองเจ้าอาวาสเมื่อปี ๒๕๔๖ ก็พยายามที่จะพัฒนาวัดในทฤษฎีความร่วมมือระหว่างบ้าน วัด โรงเรียนและส่วนราชการ ที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า "บวร" จนกระทั่งมาเป็นเจ้าอาวาสเต็มตัวในปี ๒๕๕๑ ก็ดำเนินการต่อเนื่องมาโดยตลอด

ได้ตั้งวัดท่าขนุนขึ้นเป็นสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดกาญจนบุรี แห่งที่ ๒๓ (วัดท่าขนุน) ในปี ๒๕๕๑ ดำเนินการในการจัดปฏิบัติธรรมมาจนถึงปี ๒๕๕๓ ก็ได้รับรางวัลสำนักปฏิบัติธรรมดีเด่นเฉลิมพระเกียรติ ในปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ทรงเจริญพระชนมายุ ๘๓ พรรษา

ครั้นมาปี ๒๕๖๐ ได้รับการขอร้องจากทางด้านสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรี ให้ดำเนินโครงการชุมชนคุณธรรมโดยมีวัดเป็นศูนย์กลาง จึงได้ประชุมชาวบ้านปรึกษาหารือกันว่า ในสิ่งที่เราจะทำนั้น สิ่งหนึ่งประการใดที่ญาติโยมเห็นว่าเป็นข้อบกพร่อง ข้อผิดพลาด ข้อเสียหายของชุมชนแล้วจะแก้ไข สิ่งหนึ่งประการใดที่เป็นความดีความงามของทุกคนรวมกัน แล้วเราควรที่จะกระทำ เมื่อตกลงกันแล้วก็ได้ลงเป็นปฏิญญาชุมชน ในระหว่างบ้าน วัด โรงเรียน และส่วนราชการ ว่าเราจะกระทำสิ่งทั้งหลายเหล่านี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-07-2024 เมื่อ 00:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 18-07-2024, 23:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อดำเนินการไป ปรากฏว่า ปี ๒๕๖๑ เราได้รับคัดเลือกเป็นชุมชนคุณธรรมต้นแบบ

ปี ๒๕๖๒ ได้รับคัดเลือกเป็นชุมชนคุณธรรมต้นแบบโดดเด่น

ปี ๒๕๖๓ ได้รับเลือกเป็น ๑ ใน ๑๐๐ สุดยอดชุมชนคุณธรรมของประเทศ

ปี ๒๕๖๔ ได้รับเลือกเป็น ๑ ใน ๓๐ สุดยอดชุมชนคุณธรรมของประเทศ

ปี ๒๕๖๕ ได้รับเลือกเป็น ๑ ใน ๒๐ สุดยอดชุมชนคุณธรรมของประเทศ

พอมาปี ๒๕๖๖ ก็ได้รับเลือกเป็น ๑ ใน ๑๐ สุดยอดชุมชนคุณธรรมของประเทศ
ตามโครงการของทางกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งเพิ่งจะได้ทำการเปิดตัวไปเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๗ ที่ผ่านมานี่เอง

คราวนี้ในสิ่งที่ทำให้พวกเราทั้งหลายสามารถที่จะผลักดันตนเองจนมีความก้าวหน้าขึ้นมาตามลำดับนั้น จะว่าไปแล้วก็อาศัยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ก็คืออิทธิบาท ๔ อย่างหนึ่ง

ขณะเดียวกันอีกส่วนหนึ่งก็คือ ทางด้านอำเภอทองผาภูมิที่กระผม/อาตมภาพอยู่นั้น มีชนต่างด้าว หรือที่เรียกกันว่าชาติพันธุ์อยู่เยอะมากเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น มอญ ทวาย พม่า กะเหรี่ยง ม้ง เย้า ลีซอ ตลอดจนกระทั่งไทยพื้นถิ่นและไทยอีสาน

ในวัฒนธรรมที่แตกต่างกันนี้ แม้ว่าจะมีความหลากหลายในวัฒนธรรมเป็นที่น่าสนใจ แต่ถ้าเราไม่สามารถเชื่อมเข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ก็จะมีประโยชน์น้อย จึงได้
อาศัยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาของเราเป็นตัวเชื่อม โดยเฉพาะในส่วนของศีลธรรม ก็คือมีหลักของศีล ๕

ขณะเดียวกันก็มีสังคหวัตถุ ๔ ก็คือมีการให้ทาน การพูดจาแนะนำในสิ่งที่ดีต่อกัน กระทำประโยชน์ต่อผู้อื่นโดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน และท้ายที่สุด ก็คือสิ่งที่เราทำทั้งหลายนั้นให้เป็นไปตามแนวทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ความสำเร็จที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่ความสามารถของกระผม/อาตมภาพแต่เพียงผู้เดียว หากแต่ว่าเป็นความเห็นร่วมกันทั้งหมดของประชาชนในชุมชน ส่วนราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นี่คือความเป็นมาเป็นไปคร่าว ๆ ของชุมชนคุณธรรมต้นแบบวัดท่าขนุน ที่ดำเนินงานมาจนกระทั่งได้เป็น ๑ ใน ๑๐ สุดยอดชุมชนคุณธรรมตามโครงการเที่ยวชุมชน ยลวิถี ของกระทรวงวัฒนธรรมประจำปี ๒๕๖๖
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-07-2024 เมื่อ 01:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 18-07-2024, 23:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้ในส่วนของการก้าวขึ้นที่สูงนั้น กระผม/อาตมภาพเห็นว่าถ้าเรามีความเพียรพยายามก็ไม่ใช่ของยาก เราสามารถประสบความสำเร็จได้ทุกคน แต่การที่เราขึ้นที่สูงแล้วจะรักษาระดับเอาไว้นั้นเป็นเรื่องยาก

ดังนั้น..งานใหญ่ของทางชุมชนคุณธรรมต้นแบบวัดท่าขนุนก็คือ ทำอย่างไรที่เราจะรักษาความดีความงามแต่เดิมเอาไว้ได้ แล้วขณะเดียวกัน ถ้าสามารถต่อยอดให้มีความก้าวหน้า พัฒนาให้ความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป และบูรณาการกับบรรดาเครือข่ายต่าง ๆ ได้มากกว่านี้ ก็จะทำให้เราสามารถรักษาระดับของความดีที่เคยทำเอาไว้ได้ นี่เป็นส่วนที่บอกกล่าวแก่ทุกท่านได้รับฟัง

แต่ว่าวันนี้ที่กระผม/อาตมภาพจะมาบอกกล่าวแก่ท่านทั้งหลายนั้น ก็อย่างที่ท่านพระปลัดสรวิชญ์ อภิปญฺโญ ผศ.ดร. ได้ปรารภไว้ตอนต้น ก็คือว่า
ระยะนี้มีสารพัดเรื่องราวเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนาของเรา ในสังคมของเรา ถ้าบุคคลที่ขาดสติก็อาจจะไหลตามไป จนกระทั่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคมและพระพุทธศาสนาได้ จะยกตัวอย่าง สิ่งที่ญาติโยมทั้งหลายได้ตั้งเป็นคำถามเข้ามา แล้วกระผม/อาตมภาพจะมาตอบในวันนี้ หลายต่อหลายข้อด้วยกัน อย่างเช่น

๑) มีผู้สอนว่าพระอนาคามีและพระอรหันต์ยังกลับมาเกิดได้อีก ความจริงเป็นอย่างไรเจ้าคะ ?

๒) มีผู้นำคลิปเสียงพญานาคมาเผยแพร่ เป็นเสียงจริงหรือเปล่า ? (ไปยันโน่นเลย..!)

๓) เรื่องของ "อาจารย์น้องหญิง" กับ "ท่านพี่" นั้น หลวงพ่อมีความเห็นว่าอย่างไร ?

๔) มีอาจารย์แม่และลูกศิษย์ที่อ้างตนว่าเป็นชาวพุทธผู้เคร่งครัด กล่าวว่าในเรื่องของความตาย หรือว่าโลกหลังความตายนั้นไม่มีจริง ถ้าหากว่ามีจริง คนที่ตายไปแล้วต้องกลับมาบอกกันบ้าง

๕) ได้รับการบอกบุญเรี่ยไรมากจนกระทั่งรู้สึกรำคาญ ไม่อยากทำบุญ ถ้าหากว่ากำลังใจแบบนี้เป็นบาปไหมครับ ?

๖) ยิ่งภาวนาก็ยิ่งอารมณ์ร้อนขึ้น "วีนแตก" ได้ง่าย ผมมาผิดทางหรือเปล่า ?

๗) พระมีหน้าที่อะไรคะ ? มีประโยชน์อะไร ? เห็นแต่นอนแข่งกับหมาไปวัน ๆ..! (ได้ยินแล้วสะดุ้งเหมือนกัน)

ก็จะขอว่าไปตามลำดับในเวลาที่พอจะมีอยู่ ถ้าหากว่าคำถามไหนไม่สามารถที่จะไปถึง ก็ขอติดเอาไว้ว่าถ้ามีโอกาสหน้า ค่อยมาว่ากันต่อไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-07-2024 เมื่อ 01:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 18-07-2024, 23:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรทุกรูปและญาติโยมที่เข้ามาฟังรายการว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นสอนให้เราเชื่อกรรม เชื่อการส่งผลของกรรม เชื่อว่าทุกคนมีกรรมเป็นของตน และท้ายที่สุด เชื่อในการตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความเชื่อทั้งหลายเหล่านี้จะมั่นคงได้ ก็ต่อเมื่อท่านทั้งหลายได้ปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ไปจนถึงระดับหนึ่ง ไม่เช่นนั้นแล้วเราก็ยังมีโอกาสที่จะเอนเอียง แล้วก็หลงผิดหลงทางไปได้

ในขณะเดียวกัน หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น บาลีกล่าวไว้ว่า เกวะละปะริปุณณัง ปะริสุทธัง ก็คือ บริสุทธิ์บริบูรณ์ สมบูรณ์อย่างยิ่งแล้ว ต่อเข้าไปก็เกิน ตัดออกก็ขาด เรามีหน้าที่อย่างเดียวก็คือปฏิบัติตาม ไม่ใช่ไปตีความ

ถ้าหากว่าเป็นการตีความนั้น เหมือนอย่างกับการที่เรายกเอาทฤษฎีที่เราคิดว่าใช่ ขึ้นมาแย้งกับทฤษฎีเดิม ๆ ที่มีผู้ตั้งเอาไว้ ถ้าหากว่าเหตุผลของท่านดีกว่า ก็สามารถปัดทฤษฎีอื่นตกไปได้ แล้วผู้คนก็จะมายึดทฤษฎีของเราต่อ จนกว่าจะมีผู้อื่นมาหักล้างได้อีก

แต่หลักธรรมในพระพุทธศาสนานั้นไม่ใช่ทฤษฎี หลักธรรมในพระพุทธศาสนานั้นเป็นอริยสัจ คือความจริงแท้ที่ไม่มีอะไรสามารถหักล้างได้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เราก็จะเห็นว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนจริง ๆ เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด


สัพเพ สังขารา ทุกขา สังขารทั้งหลายประกอบไปด้วยความทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นนิพัทธทุกข์ ทุกข์เนืองนิตย์ สภาวทุกข์ ทุกข์ตามสภาพอะไรก็ตาม เราไม่สามารถที่จะถกเถียงได้ว่าสังขารนี้ไม่ทุกข์

และท้ายที่สุด สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายไม่มีอะไรเป็นตัวตนเราเขาให้ยึดมั่นถือมั่นได้
ก็เป็นไปตามนั้นจริง ๆ ไม่สามารถที่จะยกอย่างอื่นมาหักล้างได้

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็มีหน้าที่ปฏิบัติตามอย่างเดียว อย่าไปตีความ ถ้าหากว่าไปตีความเมื่อไรก็ผิดเมื่อนั้น
ปัญหาต่าง ๆ โดยเฉพาะปัญหาในการปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาทำไปจริง ๆ จะได้รับคำตอบในตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าต้องพากเพียรกันอย่างหนัก ชนิดที่หลวงปู่หลวงพ่อสายวัดป่าท่านใช้คำว่า "เอาชีวิตเข้าแลก" โดยกล่าวว่า "ธรรมะอยู่ฟากตาย"

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าเราตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไป เราจะได้คำตอบ ถ้าเราไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติก็จะสงสัย แล้วท้ายที่สุดก็จะ "ถือมงคลตื่นข่าว" ใครว่าอะไรเราก็จะเฮตามเขาไป กลายเป็น "ไม้หลักปักเลน" ไม่มีอะไรเหลือเอาไว้ให้เรายึดมั่นได้เลย ในเมื่อเป็นผู้ที่ไม่มีหลัก เราเองก็จะไหลตามกระแสไปได้ง่าย
บุคคลที่ไหลตามกระแสนั้นเป็นผู้ที่น่าสงสารมาก ไม่มีอะไรให้ยึด ไม่มีอะไรให้เกาะ อาจจะจมจ่อมอยู่ในกระแสนั้นจนนับกัปกัลป์อนันตชาติอีกด้วย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-07-2024 เมื่อ 01:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 19-07-2024, 23:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สำหรับคำถามต่อไปก็คือ มีผู้นำเอาคลิปเสียงพญานาคมาเผยแพร่ เป็นของจริงหรือไม่ครับ ?

กระผม/อาตมภาพอยากจะถามกลับว่า "ญาติโยมรู้ว่าจริงหรือไม่จริงแล้วได้อะไร ?" ในเรื่องของพญานาค ในพระพุทธศาสนาของเราบ่งชัดไว้แล้วว่าเป็นสัตว์ที่อยู่ในภพภูมิของเดรัจฉาน ถ้าหากว่าญาติโยมทั้งหลายทราบว่าเสียงนี้เป็นจริง แล้วไปยึดมั่นถือมั่น รู้สึกดีอกดีใจว่าเราเคารพนับถือพญานาค แล้วพญานาคก็มีจริง ๆ มีเสียงเป็นหลักฐานยืนยัน แปลว่าท่านกำลังเกาะสัตว์เดรัจฉานอยู่ ถ้าหากว่าท่านตายตอนนั้น อาจจะต้องไปจุติในภพภูมิของสัตว์เดรัจฉานเลยก็ได้..!

พุทธศาสนิกชนที่ดี เราควรที่จะยึดพระรัตนตรัยเป็นหลัก มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่ระลึกของเรา จึงเป็นการยึดเกาะที่ถูกต้อง และพอท้ายสุดของการปฏิบัติธรรม แม้แต่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราก็เกาะไม่ได้ จำต้องละในสิ่งทั้งปวง เราถึงสามารถเข้าถึงที่สุดของการปฏิบัติธรรมได้

ในเมื่อญาติโยมสงสัย กระผม/อาตมภาพอยากจะแนะนำว่าท่านลองไปหาเสียงช้างร้องมาเปิดฟังดู แล้วก็ไปเปรียบเทียบกับซีรีส์ดัง ๆ อย่าง Game of Thrones หรือในชื่อไทยว่ามหาศึกชิงบัลลังก์ เอาแค่ซีซั่น ๕ ที่เขาใช้คำว่า "มังกรเริงระบำ" แล้วไปฟังเสียงดู จะได้รู้ว่าเสียงทั้งหลายเหล่านั้นมีความคล้ายคลึงหรือเหมือนกันในประการใด

คำถามต่อไป เรื่องของ "ท่านอาจารย์น้องหญิง" กับ "ท่านพี่" นั้น หลวงพ่อมีความเห็นว่าอย่างไร ?

เอาง่าย ๆ แค่ว่า ถ้าหากว่าในสายตาของผู้ปฏิบัติธรรม ก็คือเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ถ้าหากว่าสามารถช่วยให้เขาพ้นทุกข์ได้ก็จะช่วย แต่ถ้าหากว่ามองในแง่ทั่ว ๆ ไป ก็อยากจะบอกว่า ควรที่จะพึ่งพาหมอทางจิตเวชดูบ้าง เผื่อว่าอะไร ๆ จะดีขึ้น ไม่ทราบเหมือนกันว่าตอบคำถามแบบนี้แล้ว จะเป็นที่พออกพอใจของผู้ถามหรือไม่ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-07-2024 เมื่อ 02:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 19-07-2024, 23:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ข้อต่อไปก็คือมีอาจารย์แม่และลูกศิษย์ผู้แสดงตนเป็นชาวพุทธที่เคร่งครัด กล่าวถึงโลกหลังความตายว่าไม่มี เพราะว่าถ้ามีแล้ว คนที่ตายไปแล้วย่อมต้องมาบอกกันบ้าง ?

เรื่องนี้อยากให้ญาติโยมทั้งหลายเปิดดูในปายาสิราชัญญสูตร ในพระสุตตันตปิฎก ปัญหานี้พระเจ้าปายาสิได้ถามพระกุมารกัสสปเอาไว้แล้ว

พระกุมารกัสสปท่านเปรียบเทียบเอาไว้ชัดเจนละเอียดละออมากว่า บุคคลที่ตายไปแล้วนั้น ถ้าหากว่าไปรับทุกข์รับโทษอยู่ในทุคติ ก็เหมือนกับคนติดคุก ยังไม่ทันที่จะพ้นโทษเราเองก็ตายไปหลายรอบแล้ว เขาย่อมไม่สามารถที่จะมาบอกมากล่าวกับเราได้

ส่วนบุคคลที่ไปสุคติ ก็มัวแต่เพลิดเพลินกับความสุข กับทิพย์สมบัติของตน แล้วขณะเดียวกัน โลกมนุษย์ของเราเป็นของหยาบ เป็นของต่ำ เป็นของสกปรกโสโครกในสายตาของเขาทั้งหลายเหล่านั้น เปรียบเหมือนอย่างกับหล่มอุจจาระ จึงไม่มีใครที่อยากจะลงมาเพื่อที่มีปฏิสัมพันธ์กัน
ดังนั้น..ในเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ท่านลองไปอ่านดูก็จะได้รับคำตอบเอง

อย่างที่กล่าวไว้แล้วว่า
เราต้องเชื่อในการตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การที่เราจะมั่นคง เชื่อในการตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เราก็จะต้องมีการปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ที่ถึงในระดับหนึ่ง ทำให้เราเกิดศรัทธาปสาทะ ความเชื่อความเลื่อมใสอย่างแท้จริง เพราะว่าเห็นผลในการปฏิบัติแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-07-2024 เมื่อ 02:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 19-07-2024, 23:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ข้อต่อไปก็คือ ได้รับการบอกบุญเรี่ยไรบ่อยมาก จนกระทั่งรู้สึกรำคาญ ไม่อยากจะทำบุญ ความรู้สึกแบบนี้บาปไหมครับ ?

เราต้องมาแยกแยะว่า ในเรื่องของบุญเรื่องของบาปนั้นเป็นอย่างไร ? เรื่องของบาปคือการที่เรากระทำความชั่ว ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ดังนั้น..การที่เราทำดี ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ก็ย่อมเป็นบุญเช่นกัน เพราะว่าตรงกันข้าม

คราวนี้การที่ท่านทั้งหลายรำคาญ ไม่อยากจะทำบุญนั้นยังไม่ถือว่าเป็นบาป แต่ขณะเดียวกันท่านก็ขาดโอกาสในการที่จะได้บุญ กระผม/อาตมภาพก่อนหน้านี้ก็เหมือนกัน พอถึงเวลามีคนมาบอกบุญเรี่ยไร ก็จะเกิดความคิดว่า "เอ๊ะ..เขามาหากินหรือเปล่า ?" แล้วในขณะเดียวกันก็คิดว่า "เราทำบุญไปแล้ว เราจะได้บุญเต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือไม่ ?" เพราะว่าเคยเจอผู้ที่ทำหน้าที่สะพานบุญมารับบริจาค แล้วก็มีการเลี้ยงเหล้าเมายากัน โดยที่เอาเงินที่ได้รับบริจาคส่วนหนึ่งนั่นแหละ ไปจ่ายในเรื่องของค่าสุราอาหารเหล่านั้น..!

แต่พอปฏิบัติธรรมไปเรื่อย ๆ แล้ว ก็เข้าใจในวัตถุประสงค์ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พวกเราให้ทาน ก็เพื่อตัดความโลภในจิตในใจของเราลงไป ถ้าหากว่าเราตัดความโลภของเราลงไปได้มากเท่าไร กิเลสก็เบาบางลงไปเท่านั้น การที่เรารักษาศีลก็เพื่อระงับความโกรธ เรารักษาศีลได้บริสุทธิ์บริบูรณ์เท่าไร เราก็สามารถที่จะระงับความโกรธได้มากเท่านั้น ส่วนการใช้ปัญญามองทุกอย่างให้รู้แจ้งเห็นจริงนั้นเป็นการตัดความหลง

ในเมื่อท่านรำคาญในการทำบุญนั้น โอกาสที่ท่านจะตัดความโลภก็ไม่มี แล้วความรำคาญยังเป็นพื้นฐานส่วนหนึ่งของโทสะ ก็คือกระทบแล้วไม่พอใจ ถ้าเป็นภาษาบาลีเขาเรียกว่าปฏิฆะ กระทบแล้วเกิดความรู้สึก ยินดีก็เป็นในด้านของราคะ ยินร้ายคือไม่พอใจ ก็เป็นในด้านของโทสะ เราขาดทุนทั้งขึ้นทั้งล่อง แปลว่านอกจากไม่ได้เสียสละออกเป็นการตัดความโลภแล้ว เรายังกำลังสร้างเสริมกิเลสขึ้นมาอีกด้วย..!

ดังนั้น
..ถ้าหากว่ารำคาญทนไม่ไหว ก็หลบให้พ้นจากตรงนั้นไปก่อน หรือไม่ถ้ากำลังใจของท่านอยู่ในลักษณะที่ว่า เมื่อเขามาบอกบุญเราก็ทำ มากน้อยก็ตามแต่ศรัทธาของเรา ถ้าลักษณะอย่างนั้นแปลว่าท่านเริ่มวางอุเบกขาในทานได้แล้ว ทานของท่านจะบริสุทธิ์บริบูรณ์มากขึ้นไปตามลำดับ เพราะว่าเราสามารถที่จะทำโดยที่ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ สามารถสละออกได้โดยที่เยื่อใยต่าง ๆ มีน้อย หรือไม่มีเลย ส่วนนี้จะมีประโยชน์แก่ท่านมากกว่า

ดังนั้น..
ถ้าถามว่าบาปไหม ? ก็ยังไม่ใช่บาป แต่ว่ากำลังจะก่อบาปให้เกิดขึ้น ถ้าเราไม่พอใจมากไปกว่านี้..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-07-2024 เมื่อ 02:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 20-07-2024, 23:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ข้อต่อไปก็คือบุคคลที่ถามว่ายิ่งภาวนาแล้วอารมณ์ก็ยิ่งร้อนขึ้น "วีนแตก" ง่ายขึ้น กระผมมาผิดทางหรือเปล่า ?

อยากจะบอกว่าถ้าหากว่าท่านภาวนาแล้ว ราคะ โลภะ โทสะ โมหะกำเริบ ความจริง
ท่านมาถูกทางแต่ผิดวิธี เนื่องเพราะว่าการที่เราภาวนานั้น อันดับแรกเลย ถ้าสมาธิของเราทรงตัว เราก็จะอาศัยกำลังสมาธินั้น ไปกด รัก โลภ โกรธ หลง ให้ระงับดับลงชั่วคราว

สภาพจิตที่ รัก โลภ โกรธ หลง ไม่มาวอแว ไม่มาวุ่นวาย จะมีความผ่องใสมาก เราก็จะอาศัยกำลังตรงนั้นไปพินิจพิจารณาในวิปัสสนาญาณ โดยเฉพาะมองให้เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นตัวตนเราเขาของร่างกายนี้ จิตใจเราก็จะปลดออกจากการยึดมั่นถือมั่น ก็จะค่อย ๆ คลายในส่วนที่เรายึดมั่นลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายที่สุด ท่านก็จะสามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้

แต่ด้วยความที่ว่าบรรดาผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่แล้ว เมื่อเราปฏิบัติธรรมไปจนเต็มที่ ละจากบัลลังก์ คือการปฏิบัติแล้วเราก็ทิ้งไปเลย ลืมสิ่งที่ครูบาอาจารย์บอกเอาไว้ว่า ถ้าสามารถจดจ่อต่อเนื่องได้ทุกลมหายใจเข้าออกยิ่งเป็นการดี ในเมื่อท่านทิ้งไปเลย การปฏิบัติธรรมของเราเหมือนกับการว่ายทวนน้ำ ถึงเวลาเราทิ้งไปเลยก็ลอยตามกระแสน้ำไป พอวันต่อไป เราก็ว่ายทวนน้ำขึ้นมาอีก แล้วก็ปล่อยให้ลอยตามกระแสไปอีก เราจะกลายเป็นคนขยันที่ทำงานทุกวันแต่ไม่มีผลงานเลย..! พอนาน ๆ ไป เกิดการเหนื่อยเข้า ล้าเข้า หลายท่านก็อาจจะเลิกราการปฏิบัติไป

แล้วทำไมพอปฏิบัติไปแล้วอารมณ์โกรธถึงได้ระเบิดง่าย ? ที่ญาติโยมผู้ถามใช้คำว่า "วีนแตก" ไม่ได้เพียงแต่อารมณ์โกรธเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นรัก เป็นโลภ เป็นโกรธ เป็นหลง ล้วนแล้วแต่กำเริบง่ายทั้งนั้น เหตุก็เพราะว่าท่านไปเน้นในสมถภาวนามาก เป็นการสะสมกำลังเอาไว้เพื่อใช้งาน แต่คราวนี้เมื่อท่านปฏิบัติสะสมไปแล้ว ท่านไม่ได้นำมาใช้งาน คือไม่ได้ใช้พิจารณาในวิปัสสนาญาณต่าง ๆ ก็ทำให้กำลังส่วนนั้นโดนกิเลสดึงไปใช้งานแทน เหมือนอย่างกับว่าเราทำมาเพื่อให้ รัก โลภ โกรธ หลง ได้ใช้งาน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-07-2024 เมื่อ 03:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 20-07-2024, 23:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าท่านสังเกตจะเห็นว่า หลังจากที่เราปฏิบัติธรรมไปแล้ว ถ้าเรามาฟุ้งซ่าน เราจะฟุ้งซ่านอย่างเป็นหลักเป็นฐาน เป็นงานเป็นการมาก เพราะว่าสมาธิของเราเข้มแข็ง ในเมื่อไปจดจ่ออยู่กับเรื่องที่เป็นกิเลส ก็จะมุ่งมั่นรุนแรง แล้วก็จะทำให้กลับตัวได้ยาก ถอนตัวออกมาได้ยาก บางท่านต้องใช้คำว่า "บ้าไปจนกว่าจะหมดแรง" แล้วถึงจะย้อนกลับมาได้อีกทีหนึ่ง

ดังนั้น..การปฏิบัติที่ถูกต้อง เมื่อท่านทำในส่วนของสมถกรรมฐาน ที่เหมือนกับการเพาะกำลังไปจนเต็มที่แล้ว ก็ต้องมาพิจารณาในส่วนของวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งเปรียบเหมือนกับอาวุธที่มีคม เราต้องมีกำลังถึงยกอาวุธนั้นขึ้นมาได้ เอาไปตัด เอาไปฟัน ในส่วนของกิเลสต่าง ๆ ได้ ถ้าท่านมีแต่กำลัง ไม่มีอาวุธ ก็ไม่สามารถที่จะจัดการกับกิเลสได้ แล้วยังโดนกิเลสหลอกเอากำลังไปใช้มาจัดการกับตัวเราอีก ถ้าท่านมีแต่อาวุธ ไม่มีกำลัง ก็ไม่สามารถที่จะยกอาวุธขึ้นไปตัดมาฟันสิ่งหนึ่งประการใดได้อีกเช่นกัน

ดังนั้น..ในเรื่องของสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน จึงเป็นเรื่องที่ควรจะทำควบคู่กันไป เมื่อเราภาวนาจนกำลังทรงตัวเต็มที่ จะเหมือนกับคนเดินไปชนผนัง ไม่สามารถที่จะไปต่อได้ สภาพจิตของท่านจะคลายออกมาเองโดยอัตโนมัติ ตอนนั้นถ้าท่านไม่รีบหาวิปัสสนาญาณมาพิจารณา ก็จะโดนกิเลสดึงเอากำลังนั้นไปใช้งาน แล้วท่านก็จะฟุ้งซ่านไปหลายวัน กลายเป็นบุคคลที่กระทบไม่ได้ กระทบเมื่อไรก็ระเบิดจนกระทั่งหลายคนท้อใจ คิดว่ายิ่งปฏิบัติธรรม ทำไมกิเลสยิ่งมากขึ้น ?

วิธีที่ดีที่สุดจึงควรปฏิบัติทั้งสองอย่างสลับกันไปสลับกันมา
เหมือนกับคนที่โดนผูกขาเอาไว้ เราต้องสลับกันเดินทีละข้างจึงจะได้ระยะทางเพิ่มขึ้น ถ้าเราจะไปดื้อเดินข้างเดียว นอกจากเดินไม่ได้แล้ว แรงที่เราใช้ในการเดิน อาจจะกระตุกกลับ ทำให้เราหกล้ม หรือว่าบาดเจ็บอีกต่างหาก

ในส่วนนี้ท่านถามว่าผิดทางหรือเปล่า ? ก็ต้องบอกว่า
มาถูกทาง เพราะว่าเห็นกิเลสตนเองอย่างชัดเจน แต่ว่าผิดวิธี ก็คือไปเน้นสมถะโดยไม่ได้ใช้วิปัสสนา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-07-2024 เมื่อ 03:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 20-07-2024, 23:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในส่วนข้อที่เป็นคำถามแล้วค่อนข้างจะรุนแรง อาจจะเป็นความหวังดีปรารถนาดีของญาติโยม ที่ต้องการที่จะ "ดึงสติ" ของบรรดาพระภิกษุสามเณร จึงใช้คำถามแรง ๆ ที่ว่า พระมีหน้าที่อะไรคะ ? พระมีประโยชน์อะไร ? เห็นแต่นอนแข่งกับหมาไปวัน ๆ..!

ถ้าหากว่ากันตามหน้าที่ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตั้งเจตนาปรารภไว้ตอนแรกนั้น ก็คือหน้าที่ในการตัดละกิเลสของตน มุ่งมั่นเพื่อที่จะให้หลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

แต่ด้วยความที่ว่าธรรมชาติของคนเรานั้น สร้างสมบุญญาบารมีมาไม่เท่ากัน ประกอบในปุพเพกตปุญญตามาไม่เท่ากัน จึงทำให้หลายท่านก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงได้ทีเดียว จึงต้องผันตนมาอยู่ในด้านของการปริยัติ คือศึกษาเล่าเรียนตำรา ทรงจำพระไตรปิฎก

อันดับแรกเลยก็คือ ช่วยรักษาพระธรรมคำสอนเอาไว้เพื่อส่งต่อ และอันดับต่อไปก็คือ ถ้าบุญพาวาสนาช่วย บุญญาบารมีของเรามาถึงพร้อมสมบูรณ์เมื่อไร เราก็จะได้อาศัยหลักธรรมนั้นในการประพฤติปฏิบัติ เพื่อพาตนให้หลุดพ้นจากกองทุกข์

ดังนั้น..หน้าที่ของพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาก็คือ การศึกษาในสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางแนวทางไว้ ๘ ประการ ที่เรียกว่ามรรคมีองค์ ๘ แล้วย่อลงมาเหลือศีล สมาธิ ปัญญา

คราวนี้การศึกษานั้นยังมีการศึกษาปริยัติ ก็คือศึกษาในพระไตรปิฎก และปฏิบัติ ก็คือการนำเอาสิ่งที่เราศึกษานั้นไปทำจนกระทั่งสำเร็จประโยชน์แก่ตน หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะให้เราไปอนุเคราะห์สงเคราะห์แก่บุคคลหมู่มาก โดยที่ใช้คำว่า "เพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก เพื่อความสุขของคนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-07-2024 เมื่อ 03:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 20-07-2024, 23:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าหากว่าอยู่ในลักษณะนี้เท่ากับตอบไปในตัวแล้วว่า "พระเรามีประโยชน์อะไร ?" อันดับแรกเลย การบวชเข้ามา ต่อให้ไม่รู้อะไรเลยก็ตาม พระภิกษุเป็นศาสนบุคคล เท่ากับเป็นผู้สืบทอดอายุพระพุทธศาสนา ถ้าหากว่าในกิจวัตรที่ท่านได้กระทำเอาไว้ ก็คือการที่ระงับการเบียดเบียนต่อผู้อื่นด้วยศีล ก็แปลว่าท่านทั้งหลายอย่างน้อยก็จะมีคนดีเกิดขึ้นในสังคม ไม่มีผู้ที่ไปล่วงละเมิดด้วยการตีด่าฆ่าฟันคนอื่น ลักขโมยช่วงชิงสิ่งของของคนอื่น ละเมิดบุคคลที่คนอื่นเขารัก โกหกหลอกลวงคนอื่นเพื่อประโยชน์ของตน แล้วก็กินเหล้าเมายาจนกระทั่งกลายเป็นภาระของสังคม ก็แปลว่าถ้าบวชเข้ามาแล้ว นอกจากจะเป็นผู้สืบทอดอายุพระพุทธศาสนาแล้ว ถ้าท่านเองแค่รักษาศีลในเบื้องต้น ก็ยังช่วยให้สังคมของเราสงบเรียบร้อยได้

หลังจากนั้น ถ้าท่านศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมจนเข้าใจในเรื่องของสมาธิและปัญญาบ้าง ท่านก็ยังสามารถเป็นผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างมีคุณภาพ แม้ว่าจะไม่ได้คุณภาพเต็มที่อย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ส่งพระธรรมทูตชุดแรก ๖๐ องค์ออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องเพราะว่าทั้ง ๖๐ องค์นั้นท่านเป็นพระอรหันต์ ปราศจากกิเลสแล้ว ทำหน้าที่ทุกอย่างโดยไม่มีความกังวล

เราท่านในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่นั้นพยายามขัดเกลาตนเองด้วย สั่งสอนคนอื่นด้วย แม้ขนาดนี้ก็ตาม ถ้าญาติโยมรู้จักสังเกตโดยไม่เอาอคติเข้าว่า แม้แต่วัดท่าขนุนของกระผม/อาตมภาพก็เช่นกัน ก็คือบรรดาบุคคลที่ทางบ้าน "เอาไม่อยู่" แล้วก็ส่งมาให้บวชเป็นพระภิกษุสามเณร โดยที่ตั้งความหวังว่าจะอาศัยพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ชุบสร้างให้บุตรหลานของท่านกลับเป็นคนดีในสังคม

อยากจะบอกว่ามีพระภิกษุวัดท่าขนุนรูปหนึ่ง กว่าที่จะจบชั้นมัธยมได้ก็ทุลักทุเลเต็มที เพราะว่าเกเรอย่างเต็มที่ อะไรที่ไม่ดีทำมาหมด แต่พอถึงเวลาเข้ามาบวชตามประเพณี กระผม/อาตมภาพในฐานะพระอุปัชฌาย์ถามเขาแค่ว่า "ในชีวิตนี้เคยทำอะไรให้พ่อแม่ภูมิใจบ้างไหม ? แล้วในชีวิตนี้ตัวเรามีอะไรเป็นที่ภูมิใจของตัวเองบ้างไหม ?" เขาคิดอยู่ระยะหนึ่งแล้วก็ตอบว่า "ไม่มีเลยครับ ผมมีแต่สร้างความเดือดร้อนให้กับพ่อแม่และตัวเองมาตลอด"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-07-2024 เมื่อ 03:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 21-07-2024, 00:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กระผม/อาตมภาพจึงให้คำแนะนำไปว่า "ถ้าอย่างนั้นอันดับแรกเลย เพื่อนฝูงของเราจบปริญญากันมากมายแล้ว คุณไปสมัครเรียนในวิทยาลัยสงฆ์ พยายามที่จะทำให้คนอื่นเห็นว่า เราพยายามแก้ไขข้อผิดพลาดของตัวเอง จากคนที่ไม่มีอนาคตทางการศึกษา กลายเป็นภาระของครอบครัว กลายเป็นภาระของสังคม เราจะยืนหยัดขึ้นมาเป็นอีกบุคคลหนึ่ง สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ครอบครัว แล้วขณะเดียวกัน ก็เป็นความภูมิใจแก่ตัวเองด้วย"

เมื่อได้ยินดังนั้น นอกจากการสวดมนต์ทำวัตร บิณฑบาต เจริญพระกรรมฐานตามระเบียบของวัดแล้ว ท่านก็ไปศึกษาเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยของเรานี่เอง จบปริญญาตรีได้ พ่อแม่ดีใจแทบจะปิดบ้านฉลอง..! เนื่องเพราะไม่คิดว่าลูกคนนี้จะมีโอกาสนำเอาปริญญาไปให้พ่อแม่ชื่นใจได้ แล้วท่านยังเรียนต่อจนจบปริญญาโท ซึ่งถ้าในครอบครัวของท่านก็ถือว่าจบสูงสุด แต่ว่าตอนนี้ท่านกำลังจะจบปริญญาเอกแล้ว ภายในปีการศึกษานี้ ท่านจะสำเร็จปริญญาเอก เป็น "ด็อกเตอร์" คนแรกในครอบครัวของท่านแล้ว

นี่คือบุคคลที่เคยเป็นภาระของครอบครัว เป็นภาระของสังคม แล้วก็โดนส่งตัวเข้ามาในวัดวาอาราม เพื่อให้พระอุปัชฌาย์อาจารย์ได้ช่วยกันชุบ ช่วยกันขัด ช่วยกันเกลา จากวัตถุดิบที่อยู่ในระดับเกรด C เกรด D หรืออาจจะถึง F เลยก็ได้ พยายามเกลาออกมาให้เป็นผลผลิตในระดับ B+ หรือ A ดังนั้น..ในบรรดาพระภิกษุสงฆ์สามเณรของพระพุทธศาสนาของเรา ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นวัตถุดิบชั้นเลว ต้องขอใช้คำแรง ๆ แบบนี้ แต่ว่าเราก็พยายามที่จะผลิตท่านออกมาให้เป็นสินค้าชั้นดีให้ได้

ถ้าโยมไม่โดนอคติบดบังใจก็จะเห็นว่า นี่คือการแบ่งเบาภาระในสังคมไปมากมายมหาศาล ท่านทั้งหลายเหล่านี้ไม่ต้องเสียเวลาไปมีคดีความ ไม่ต้องให้เรามีตำรวจ ไม่ต้องให้เรามีอัยการ ไม่ต้องให้เรามีศาล ไม่ต้องให้เรามีเรือนจำ ซึ่งแต่ละอย่างล้วนแล้วแต่ต้องมีงบประมาณมากมายมหาศาลป้อนเข้าไป แล้วพอออกมากลายเป็นว่าสามารถที่จะทำสิ่งเลวร้ายได้หนักยิ่งกว่าเดิม กลายเป็นไปฝึกฝนวิชาในทางที่ไม่ดี แล้วก็ทำให้สังคมของเรามีภาระมากขึ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-07-2024 เมื่อ 03:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 21-07-2024, 00:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่เมื่อเข้ามาเป็นพระภิกษุสามเณรแล้ว ท่านสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองได้ เมื่อถึงเวลา ท่านสามารถสอนผู้อื่นได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า เรื่องเลวร้ายทั้งหลายเหล่านั้น ท่านทำมาด้วยตัวเองแล้ว ไม่มีสาระ ไม่มีแก่นสาร สู้หลักธรรมในพระพุทธศาสนาไม่ได้ ท่านไม่ต้องยกคนอื่นเป็นตัวอย่าง ท่านสามารถเอาตัวเองเป็นตัวอย่างได้เลย..!

ดังนั้น..ในส่วนที่ถามว่าพระมีประโยชน์อะไรต่อสังคม ? เรามองแค่แง่มุมเล็ก ๆ แค่นี้ ไม่ต้องไปพูดถึงหลวงปู่หลวงพ่อที่ท่านบรรลุมรรคบรรลุผล รู้แจ้งเห็นจริง เป็นผู้ที่นำเอาหลักธรรมในพระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง ไปเผยแผ่ให้ญาติโยมทั้งหลายได้มีที่พึ่งที่ระลึก ได้มีส่วนที่จิตใจของเรายึดเกาะ จะได้ตั้งมั่นเป็นบุคคลที่ดีในสังคม เป็นผู้ที่เป็นตัวอย่างให้ผู้อื่นปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามไปได้อีกด้วย

เราดูแค่บุคคลเบื้องต้นที่มาในเรื่องของการศึกษาขัดเกลาตนเอง ยังไม่เข้าถึงมรรค ไม่เข้าถึงผล แต่สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ตนเองและครอบครัวได้ ช่วยประหยัดงบประมาณของประเทศชาติได้ในระดับนี้

ท่านผู้ถามคงจะเห็นแล้วว่าพระของเรามีหน้าที่อะไร ? มีประโยชน์อะไร ?
อย่าได้ไปมองในมุมที่ว่านอนแข่งกับหมาเป็นวัน ๆ ไป เนื่องเพราะว่ามีแต่จะสร้างความมัวหมองให้แก่ใจของท่าน ถ้าหากว่าตอนนั้น ท่านบังเอิญหมดอายุขัยตายลงไป ในสภาพจิตที่เศร้าหมอง มีแต่จะทำให้ท่านทั้งหลายตกสู่ทุคติเสียมากกว่า

กระผม/อาตมภาพตอบคำถามที่ท่านทั้งหลายได้ถามในเบื้องต้นมาก็พอสมควรแก่เวลา มีเวลาเหลืออยู่ประมาณ ๖ - ๗ นาที ท่านใดมีคำถามอื่นเพิ่มเติมขึ้นมาก็สามารถที่จะสอบถามได้ก่อนที่จะหมดเวลาลงไป ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุสามเณร หรือว่าญาติโยมผู้ปฏิบัติธรรม ถ้ามีคำถามหรือว่าฝากคำถามเอาไว้ก็เชิญได้เลยจ้ะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-07-2024 เมื่อ 03:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 21-07-2024, 21:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ผู้หญิงในสมัยปัจจุบันนี้สามารถนิพพานได้หรือไม่ครับ ?

ถ้าหากว่าท่านได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา มีความเลื่อมใส ปฏิบัติตามธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านมีสิทธิ์นั้นอย่างเต็มที่ เพียงแต่ว่าต้องทุ่มเทกันมาก ๆ ในลักษณะเอาชีวิตเข้าแลก เพียงแต่ว่าต้องแลกอย่างคนมีปัญญาด้วย ไม่ใช่ไปแลกในลักษณะที่ว่าสู้แค่ตายอย่างเดียว

กระผม/อาตมภาพในระยะแรกเคยสู้แค่ตายมาแล้ว และตายฟรีทุกครั้ง..! การสู้กับกิเลสเราต้องรู้จักพลิกแพลงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ไม่เช่นนั้นแล้ว กิเลสที่เปรียบเหมือนกับนักมวยแชมป์โลก แล้วเราเป็นมือใหม่หัดขับ ปะทะกันเมื่อไรเราก็แพ้เมื่อนั้น..!

เพียงแต่เราต้องเชื่อมั่นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันตเจ้าก็ตาม ท่านหลุดพ้นไปพระนิพพานจนนับไม่ถ้วนแล้ว ถ้าหากว่ากิเลสเก่งจริงก็ต้องสามารถรั้งท่านอยู่ได้ แต่ว่ากิเลสนั้นยังเก่งไม่จริง จึงรั้งท่านไม่อยู่ เราเป็นผู้ที่เจริญรอยตาม เราก็ต้องเพียรพยายามให้ได้เหมือนกับท่านทั้งหลายเหล่านั้น

คำว่า มรรคผลนิพพาน ไม่พ้นสมัย ถ้าท่านศึกษาในพระไตรปิฎก ในทีฆนิกาย มหาปรินิพพานสูตร จะเห็นว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า "อานันทะ..ดูก่อนอานนท์ ตราบใดที่พระวินัยนี้ยังสมบูรณ์บริบูรณ์ ในพระศาสนานี้ย่อมมีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ เป็นปกติ" ก็แปลว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายืนยันว่า ถ้าหลักธรรมยังสมบูรณ์ ถึงเราจะเป็นผู้หญิง แต่ว่าเราปฏิบัตดี ปฏิบัติตรง โอกาสที่เราจะบรรลุมรรคบรรลุผล เข้าถึงพระนิพพานย่อมมีโอกาส ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์..ขอเจริญพร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-07-2024 เมื่อ 01:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 21-07-2024, 21:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตัวอย่างของการใช้วิปัสสนาญาณมีอะไรบ้าง ? การวางอารมณ์ในที่สุดท้ายจะวางอารมณ์อย่างไรครับ ?

ตัวอย่างของวิปัสสนาก็คือ ในชีวิตประจำวันของเรา พยายามมองให้เห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา เราทำหน้าที่ของเราวันนี้เป็นวันสุดท้ายเท่านั้น ถ้าหากว่ากำลังใจมั่นคงยิ่งขึ้น ก็คือเราทำหน้าที่ของเราในลมหายใจนี้เป็นลมหายใจสุดท้ายเท่านั้น เราจึงควรที่จะทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เมื่อถึงเวลาจะได้จากไปอย่างสง่างามที่สุด

ในส่วนของอารมณ์จิตสุดท้ายนั้น จะว่าไปแล้วเป็นเรื่องที่เกินเลยกว่าที่หลายท่านจะเข้าใจก็เป็นได้ ขอกล่าวคร่าว ๆ แค่ว่า อารมณ์ใจสุดท้ายของเรา ถ้าต้องการมรรคต้องการผลนั้น ก็คือ "ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์ ปล่อยวางการยึดเกาะทั้งปวง ยอมรับในผลของกรรม" ลองไปตีความดูว่าสิ่งที่กระผม/อาตมภาพพูดมานี้ คุณจะต้องใช้ความเพียรพยายามอีกมากน้อยเท่าไร..ขอเจริญพร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-07-2024 เมื่อ 04:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 21-07-2024, 21:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาโกรธก็มีการตอบโต้ออกไป ทั้ง ๆ ที่รู้ตัวว่าเราโกรธ เราควรจะปรับตัวอย่างไรครับ ?

นั่นแสดงว่าปัญญาของเรามี แต่ว่าสติในการยับยั้งมีน้อยกว่า เราก็ควรที่จะภาวนาสร้างสติของเราให้มีมากขึ้น เพราะว่าตัวสมาธิเป็นตัวหยุดยั้ง สติเรารู้ว่าตอนนี้รถจะตกเหว ถ้าไม่มีกำลังสมาธิช่วยหยุดยั้ง รถก็ยังคงตกเหวอยู่ดี..!

เราต้องมีสมาธิที่มากขึ้นไปกว่านี้ แปลว่าโยมยังขาดการภาวนาอยู่ เราภาวนาให้มีสติสมาธิมากขึ้น สติแหลมคมว่องไว เห็นทันทีว่าความโกรธกำลังเกิดขึ้น ใช้กำลังสมาธิรั้งดึงเอาไว้ก่อนว่า เราจะไม่แสดงออกไปทางกาย ทางวาจา แล้วหลังจากนั้นค่อยใช้ปัญญาพิจารณาดูว่า เราจะถอนตัวจากสถานการณ์ตรงนั้นไปได้อย่างไร ?

ในสมัยที่กระผม/อาตมภาพปฏิบัติอยู่ใหม่ ๆ พอมาถึงตอนนี้ต้องยอมเสียมารยาท ก็คือหันหลังให้แล้วเดินหนีไปเลย เรายอมเสียมารยาทในสังคม ดีกว่าปล่อยให้ใจของเราขุ่นมัวจากความโกรธที่เกิดขึ้น..ขอเจริญพร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-07-2024 เมื่อ 04:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #18  
เก่า 21-07-2024, 21:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ขณะที่ไปเดินธุดงค์ ถ้าเจอสัตว์ร้ายมา ควรจะทำอย่างไรให้มีชีวิตรอดครับ ? (พระถาม)

ผู้ที่ไปธุดงค์ท่านสละแล้วซึ่งชีวิต ถ้าหากว่ายังหวังที่จะเอาชีวิตรอดอยู่ก็อย่าได้ไปเลยท่าน..! เพียงแต่ว่าถ้าหากว่าเรามีการภาวนาและแผ่เมตตาเป็นปกติ บรรดาสัตว์ต่าง ๆ เขาสามารถที่จะรับรู้ได้ ถ้าเราไม่ได้มีเวรมีกรรมผูกพันกันมาในอดีตชนิดที่จะต้องมาชดใช้กันจริง ๆ
กระผมเองรอดมาแล้วทุกสถานการณ์..!

งูใหญ่จนประมาณไม่ได้ว่าตัวใหญ่ขนาดไหน กระผมนอนอยู่ ความสูง ๑๗๒ เซนติเมตร งูมาวนรอบครึ่ง แล้วยังแลบลิ้นมาเลียหน้าอีก..! เพียงแต่ไม่รู้ว่าตัวใหญ่แค่ไหน เนื่องจากว่าเป็นเวลาค่ำมืด ๕ ทุ่มกว่าเกือบเที่ยงคืนแล้ว ก็ได้แต่แผ่เมตตาให้เขาว่า "ถ้าไม่มีเวรมีกรรมอะไรต่อกันแล้ว ก็อย่าได้เบียดเบียนอะไรกันเลย"

คราวนี้ความนิ่งความสงบอย่างหนึ่ง ไม่ตกใจลุกพรวดพราดอีกอย่างหนึ่ง เขาอาจจะไม่รู้สึกว่าเราเป็นอาหาร เขาก็เลยคลายการวนรอบแล้วก็ออกไปหากินทางอื่น ดังนั้น..ถ้ามีการภาวนาเป็นปกติ แผ่เมตตาเป็นปกติ โอกาสรอดมีเกิน ๗๐ เปอร์เซ็นต์ครับ ขอเรียนถวายไว้แค่นี้

ถาม : ขอพรจากหลวงพ่อด้วยครับ

กราบขอโอกาสพระเถรานุเถระทุกรูปนะครับ กระผม/อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงมาเป็นประธาน บวกกับกุศลจริยาสัมมาปฏิบัติ ที่ท่านทั้งหลายได้บำเพ็ญด้วยดีแล้ว จงมารวมกันเป็นตบะเดชะ พลวปัจจัย ดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายประสบความสุขความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม แม้ว่าประสงค์จำนงหมายสิ่งหนึ่งประการใด ที่เป็นไปโดยชอบประกอบด้วยธรรมแล้วไซร้ ขอให้ความสำเร็จทั้งหลายเหล่านั้น จงบังเกิดมีกับทุกท่านสมดังมโนรถปรารถนาจงทุกประการด้วยเทอญ

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
บรรยายธรรมออนไลน์ ในหัวข้อ "ปกิณกธรรม"
ออกอากาศช่อง MCU TV ในรายการ "เสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรม"
วันอาทิตย์ที่ ๑๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-07-2024 เมื่อ 04:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:47



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว