กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 09-07-2024, 20:10
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 500
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 24,997 ครั้ง ใน 988 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๗


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 09-07-2024, 23:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เปลือกนอกเหมือนกับไม่มีอะไร แต่ว่าภายในวงการคณะสงฆ์ของเรา มีเรื่องที่ไม่ดีไม่งามเกิดขึ้นเป็นระยะไป ซึ่งจะว่าไปแล้ว เรื่องทั้งหลายเหล่านี้มีอยู่ในทุกยุคทุกสมัย เพียงแต่ว่าสมัยนี้สื่อโซเชียลทำให้ทุกอย่างไปเร็วมาก จนกระทั่งเหมือนกับว่ามีเรื่องเกิดขึ้นมาก จนเหมือนกับว่าทางคณะสงฆ์หาดีอะไรไม่ได้เลย..!

จะว่าไปแล้วก็เป็นความไม่เข้มงวดของพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ตลอดจนกระทั่งเจ้าอาวาส และเจ้าคณะปกครอง บางที่ก็ปล่อยปละละเลย จนทำให้มีเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น อย่างที่มีพระภิกษุรูปหนึ่งไปนั่งขายของแบกับดิน เรื่องพวกนี้ไม่ควรที่จะมีขึ้น แต่ก็มีจนได้

ต้องบอกว่าความโลภบังหน้าเสียจนไม่ได้ดูสมณสารูป ขาดสมณสัญญาว่าตนเองเป็นเพศบรรพชิตแล้ว ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายที่ศึกษานักธรรมชั้นโทแล้วก็จะเห็นว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าห้ามเอาไว้มีทั้งอนาจาร คือการประพฤติปฏิบัติที่ไม่สมควร ปาปสมาจาร ความประพฤติที่ก่อให้เกิดโทษ และอเนสนา คือการเลี้ยงชีพในทางที่ไม่ชอบ

เนื่องเพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้ ให้ภิกษุของเราเลี้ยงชีพด้วยการบิณฑบาตเท่านั้น เพื่อป้องกันการสะสม แต่ท่านทั้งหลายก็จะเห็นว่า แม้แต่ในสมัยพุทธกาล บรรดา "ทุมมังกุ" ถ้าหากว่าแปลตามบาลีคือ "ผู้เก้อยาก" ก็คือพวกที่หน้าด้านใจด้าน ไม่เห็นแก่พระธรรมวินัย ก็ยังคงทำมาหากินกันเป็นปกติ ก็คือสะสมข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ โดยเฉพาะผ้าไตรจีวร

หลายท่านอย่างพวก "ฉัพพัคคีย์" ก็บวชมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ถึงขนาดวางแผนกันไว้ว่า เมืองนี้มีกี่ครัวเรือน สามารถที่จะอุดหนุนให้กับพระภิกษุในพระพุทธศาสนาได้ ควรที่จะย้ายไปอยู่ที่นั่น ต้องบอกว่ามีการวางแผนที่เป็นขั้นเป็นตอนได้ดีมาก..!

สมัยนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจัดการทุกอย่างตามพระธรรมวินัยได้ด้วยสองสาเหตุ สาเหตุแรกคือความเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่รู้แจ้งเห็นจริงในทุกเรื่อง ไม่มีใครสามารถปิดบังพระองค์ท่านได้

สาเหตุที่สองก็คือคนในสมัยนั้นมีความเป็นลูกผู้ชาย ผิดก็ยอมรับว่าผิด ทำก็ยอมรับว่าทำ เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถามว่า "ดูก่อน..โมฆบุรุษ เธอได้กระทำอย่างนั้นหรือ ?" ผู้ที่ทำก็จะยอมรับว่า "ทำดังนั้นพระเจ้าข้า" ต่างกับสมัยนี้ที่จัดการได้ยากเย็นมาก เนื่องเพราะว่าเมื่อถึงเวลาทำแล้วก็ไม่ยอมรับว่าผิด ถ้าจนด้วยพยานหลักฐานก็ยังต้องรอศาลตัดสิน

ศาลชั้นต้นตัดสินก็ยังอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ตัดสินก็ยังฎีกา กระทั่งศาลฎีกาตัดสินแล้ว ก็อาจจะมีการฟ้องศาลปกครองต่อไป ทั้ง ๆ ที่เรื่องของการผิดศีลของพระนั้น ผิดตั้งแต่ที่ทำ โทษเกิดตั้งแต่ที่ทำแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-07-2024 เมื่อ 02:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 09-07-2024, 23:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ในสมัยนี้พระอุปัชฌาย์อาจารย์ เจ้าอาวาส ตลอดจนกระทั่งเจ้าคณะปกครองยิ่งต้องดูแลใกล้ชิด เนื่องเพราะว่าบุคคลที่มีจิตสำนึก บวชเข้ามาหวังสร้างคุณงามความดีนั้นมีน้อยลงไปเรื่อย ๆ มีแต่จะบวชมาเพื่อเลี้ยงชีวิต ที่ภาษาบาลีว่าอุปชีวิกา

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ต้องบอกว่า
เป็นเรื่องปกติของบุคคลที่ รัก โลภ โกรธ หลง ยังเต็มตัวอยู่ แต่ด้วยความที่ขาดสำนึกในสมณสัญญา ไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นนักบวช ก็ได้กระทำในสิ่งที่สร้างความเสียหายให้กับส่วนรวม อย่างเช่นหลวงตาท่านหนึ่ง ออกบิณฑบาตด้วย แล้วก็ไปทวงดอกเบี้ยเงินกู้ด้วย..!

เรื่องพวกนี้ กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่ามีเยอะมาก แม้กระทั่งตอนที่มาอยู่ทองผาภูมิใหม่ ๆ ทางด้านร้านค้าที่สี่แยกสหกรณ์นิคม เจ้าของร้านก็ยังบอกว่า "หลวงพ่อ เอาเงินมาปล่อยกู้ให้หนูหน่อย หนูจะไปออกดอกต่อ หนูให้หลวงพ่อร้อยละ ๓ บาท" ก็บอกว่า "น้อยเกินไป ถ้าเอ็งจะกู้เท่าไรข้าก็ยินดี คิดดอกร้อยละ ๑๒๐ หักดอกไว้เดี๋ยวนี้เลย" ไม่เห็นมาใครมาขอกู้อีกเลย..!

เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าพระอุปัชฌาย์อาจารย์บอกกล่าวสั่งสอนแล้วว่า สิ่งใดเป็นอนาจาร ทำแล้วเกิดความเสียหายให้กับพระพุทธศาสนา สิ่งใดเป็นปาปสมาจาร ทำแล้วเสียหายและเกิดโทษกับตนเองด้วย สิ่งใดเป็นอเนสนา คือแสวงหาเลี้ยงชีพในทางที่ไม่ชอบด้วย เราเองถ้าหากว่ามีจิตสำนึกก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาระมัดระวัง อย่าให้เป็นเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นแล้วเรื่องเสียหายเกิดขึ้นมาก ๆ ญาติโยมเสื่อมศรัทธา พวกเราก็อยู่ไม่ได้ เพียงแต่ว่าเดี๋ยวนี้ความเสียหายแม้จะเล็กน้อยขนาดไหนก็ตาม เมื่อถึงเวลาแล้ว ข่าวคราวก็จะไปเร็วมาก

สมัยที่กระผม/อาตมภาพทำหน้าที่เลขานุการให้กับหลวงพ่อพระเทพเมธากร (ณรงค์ ปริสุทฺโธ ป.ธ.๔) ที่ตอนนั้นท่านดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ตอนนั้น
จังหวัดกาญจนบุรีมีทั้งหมด ๕๗๘ วัดกับ ๙๑ สำนักสงฆ์ ก็แปลว่า ๖๐๐ กว่าเกือบ ๗๐๐ วัด ต่อให้มีเรื่องไม่ดีไม่งามเกิดขึ้นทุกวัน สองปีกว่าจะเวียนบรรจบครบรอบอีกครั้งหนึ่ง แต่นี่นาน ๆ ถึงจะเกิดขึ้นที

เพียงแต่ว่าจังหวัดกาญจนบุรีพื้นที่ใหญ่โตมาก ใหญ่เป็นอันดับ ๓ ของประเทศไทยในปัจจุบันนี้ เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้นในเขตอำเภอบ่อพลอย กระผม/อาตมภาพวิ่งไประงับเหตุ ปรากฏว่าเรื่องต่อมาเกิดขึ้นที่อำเภอด่านมะขามเตี้ย ก็ต้องบอกว่าอยู่คนละฝั่งจังหวัดกันเลย..!

ดังนั้น..ในช่วงนั้นกระผม/อาตมภาพกลายเป็นคนนอนดึกตื่นเช้าอยู่ทุกวัน บางที ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่ม กลับจากการระงับอธิกรณ์แล้วยังต้องมาเขียนรายงาน ส่งให้ผู้บังคับบัญชาตามระดับชั้นที่ท่านสอบถามมา เจอหน้าด่านตรวจ ตำรวจส่องไฟมาเจอ "อ้าว..หลวงพี่อีกแล้ว" บอกไปว่าเพิ่งจะกลับมาจากการระงับอธิกรณ์ที่นั่นที่นี่ รู้แต่ว่าทำหน้าที่เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดได้เดือนหนึ่ง น้ำหนักลดหายไป ๔ กิโลกรัม..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-07-2024 เมื่อ 02:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 09-07-2024, 23:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เราจะเห็นว่า ถ้าหากว่าเราเข้มงวดในหน้าที่การงานก็ต้องเสียสละตัวเอง อดกิน อดนอน แล้วแต่ภาระงานมากน้อยที่เกิดขึ้น และโดยเฉพาะนิสัยของกระผม/อาตมภาพก็คือ ถ้าเรื่องเกิดขึ้น จะไม่ให้กระทบกระเทือนถึงผู้ใหญ่ มาถึงตรงนี้ต้องจบลงที่ตรงนี้ เพียงแต่ว่าถ้าหากว่าผู้อื่นขาดความเข้มแข็ง ขาดความเข้าใจ บางทีก็ไม่อาจจะชี้แจงให้เขาเห็นอย่างชัดเจนได้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นผิด

ยกตัวอย่างอธิกรณ์ที่เกิดขึ้นที่วัดหนองเจริญ พระใหม่มีความขยันมาก เห็นว่าด้านหน้าวัดนั้นรก ไปจัดการตัดหญ้ายังไม่พอ ไปโค่นต้นไม้ลงอีกต่างหาก แต่กลายเป็นว่าต้นไม้เหล่านั้นทางหลวงปลูกเอาไว้ เป็นการทำลายทรัพย์สินของทางราชการ กว่าที่กระผม/อาตมภาพจะชี้แจ้งให้เขาทราบได้ว่าคุณทำลายทรัพย์สินของทางราชการ เขาก็เถียงหัวชนฝาว่าพระเณรวัดนี้ขี้เกียจ แค่ทำความสะอาดข้างถนนหน้าวัดก็ไม่ยอมทำ เขาบวชเข้ามา เขาต้องเดือดร้อนมาทำ แล้วจะมากล่าวโทษอะไรเขาอีก..!

หรือไม่ก็อีกครั้งหนึ่งก็บวชเข้ามาแล้ว ไปบังคับให้สามเณรภาคฤดูร้อนนั่งกรรมฐานทั้งวัน ใครวิ่งเล่นออกไปซนเมื่อไรก็โดนตี กว่าจะอธิบายให้เขาเข้าใจว่า "อันดับแรก คุณเป็นพระใหม่ ถ้าหากว่าพระอุปัชฌาย์อาจารย์หรือเจ้าอาวาสไม่ได้มอบหน้าที่ให้ คุณไม่สามารถที่จะไปยุ่งกับพระภิกษุสามเณรภายใต้การปกครองของเจ้าอาวาสเขาได้ เพราะว่าเท่ากับว่าคุณกำลังละเมิดอำนาจเจ้าพนักงานตามกฎหมาย แล้วธรรมชาติของเด็กก็ต้องมีดื้อมีซนเป็นธรรมดา คุณจะให้สามเณรเรียบร้อยนั่งนิ่ง ๆ ทั้งวัน คุณเองทำได้ไหม ?"

แต่ละอย่างกว่าจะชี้แจงให้เข้าใจ บางทีกระผม/อาตมภาพก็เหนื่อยใจเต็มที่ ว่าเรื่องแค่นี้ทำไมพระอุปัชฌาย์อาจารย์ หรือเจ้าอาวาสบอกให้รู้เรื่องไม่ได้

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรื่องยุ่ง ๆ ที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ต้องบอกว่า เกิดจากความบกพร่องของพระอุปัชฌาย์อาจารย์และเจ้าอาวาสเป็นหลัก ตลอดจนเจ้าคณะปกครองไม่เข้มงวดกวดขันต่อเจ้าอาวาส เรื่องวุ่นวายต่าง ๆ จึงเกิดขึ้น ถ้าท่านทั้งหลายดูตัวอย่างจังหวัดนครปฐม สมัยที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ชุ้น - พระธรรมเสนานี (ชุณห์ กิตฺติวณฺโณ) อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนครปฐมยังอยู่ ทั้งจังหวัดเรียบเป็นผ้าพับไว้..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-07-2024 เมื่อ 02:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 09-07-2024, 23:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

บรรดาตัวแสบต่าง ๆ ไม่ว่าจะในพื้นที่หรือที่อื่นไม่มีใครกล้าฝืนระเบียบเลย ไม่ว่าจะเรื่องบอกบุญเรี่ยไร บิณฑบาตแล้วนำข้าวปลาอาหารไปขายให้แม่ค้า เนื่องเพราะว่าหลวงเตี่ยท่านมีแค่สองมาตรา ไม่เสียเวลามาอธิบายกฎหมายให้อย่างที่กระผม/อาตมภาพทำ ถ้าไม่ "มาตรา ๕ สูง" ก็ "มาตรา ๕ ต่ำ" ผัวะเดียวร่วงไปเลย..! จนกระทั่งเขาไปร่ำลือไปว่า "มีเสืออยู่แถววังตะกู..!" ถ้าเจ้าคณะปกครองเข้มแข็งแบบนั้น คณะสงฆ์ก็จะเป็นไปด้วยดี

หรือไม่ก็อย่างสมัยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อไพบูลย์ - พระธรรมคุณาภรณ์ (ไพบูลย์ กตปุญฺโญ ป.ธ.๘) อดีตเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรียังอยู่ ท่านทำทุกอย่างให้พระภิกษุสามเณร อย่างชนิดที่ตัวเองเหนื่อยยากแค่ไหนก็ไม่เคยบ่น นุ่งผ้าอาบ เอาผ้าพันหัว มีผืนหนึ่งคาดพุง ผสมปูน แบกปูน เทปูน แข่งกับสามเณรก็เอา

งานการคณะสงฆ์ทุกอย่างท่านไม่เคยบกพร่อง พระภิกษุสามเณรอยู่ที่ไหนลำบากอย่างไร บอกท่านเมื่อไรท่านวิ่งไปช่วยทันที ขนาดท่านพาญาติโยมไปแสวงบุญที่อินเดีย เจอพระภิกษุสามเณรของไทยเราไปเรียนที่นั่น ท่านถวายปัจจัยรูปละ ๑๐๐ ดอลลาร์ ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักกันนั่นแหละ แต่รู้ว่าเป็นนักเรียนไทยที่นั่นท่านถวายหมด นั่นท่านชนะใจพระภิกษุสามเณรด้วยความดี ทุกคนเกรงใจและเกรงกลัวความดีของท่าน

เพียงแต่ว่าในปัจจุบันนี้ บรรดาเจ้าคณะปกครองส่วนหนึ่งก็รักษาตัวเอง ไม่อยากให้มีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นในเขตปกครอง ก็พยายามเหยียบเอาไว้ กวาดซุกไว้ใต้พรม บางแห่งขยะใต้พรมเพียบเลยก็มี..!

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรื่องไม่ดีไม่งามเกิดขึ้นก็ต้องบอกว่าเป็นปกติธรรมดา แต่กระผม/อาตมภาพยกตัวอย่างเพื่อให้พวกเราสังวรไว้ว่า ตราบใดที่เรายังต้องอาศัยชาวบ้านอยู่ จะคิด จะพูด จะทำอะไร ต้องอยู่ในกรอบของศีลของธรรม ไม่อย่างนั้นถ้าหากว่าชาวบ้านเบื่อหน่ายขึ้นมา ไม่ให้การสนับสนุน พวกเราก็จะอยู่ไม่ได้..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-07-2024 เมื่อ 02:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:07



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว