กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมิถุนายน ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 22-06-2024, 18:49
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,946
ได้ให้อนุโมทนา: 225,209
ได้รับอนุโมทนา 800,461 ครั้ง ใน 39,365 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๗


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 22-06-2024, 23:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ งานสำคัญของกระผม/อาตมภาพก็คือไปทำพิธีบวงสรวงบูชาพระรัตนตรัย และอธิษฐานจิตปลุกเสกพระสมภารคู่ชีวิต ให้กับทางธุดงคสถานกองทุนหลวงปู่ปานโสนันโท ตำบลบ้านแหลม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี

คำว่า สมภาร ในที่นี่พระท่านอธิบายว่า หมายถึง บุญบารมีที่สั่งสมมา โดยเฉพาะโพธิสมภาร คือการสั่งสมบุญเพื่อการตรัสรู้ แต่ขณะเดียวกัน สมภารอีกความหมายหนึ่งก็คือ เสมอด้วยภาระ ยิ่งมีบุญมีบารมีมากเท่าไร ก็ต้องแบกภาระรับผิดชอบมากเท่านั้น

เพียงแต่ว่าเมื่อหลังงานแล้วมาเจอคลิปที่ญาติโยมส่งมาให้ดู เป็นคำถามที่มีผู้สงสัยถามว่า "พระสงฆ์มีประโยชน์อะไร ? มีหน้าที่อะไรคะ ? เห็นแต่นอนกลางวันแข่งกับหมาไปวัน ๆ เท่านั้น"

เมื่อได้ยินคำถามนี้แล้ว รู้สึกสงสารคนถามมาก เหตุเพราะว่าน่าจะไม่เคยเจอพระสงฆ์ที่แท้จริงมาก่อนเลยในชีวิต ถ้าถามว่าพระสงฆ์มีหน้าที่อะไร ? ก็ต้องไปนึกถึงสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ธุระในพระพุทธศาสนานี้มีสองอย่าง

อย่างแรกคือ คันถธุระ ศึกษาพระคัมภีร์ก็คือพระไตรปิฎก อย่างที่สองก็คือ วิปัสสนาธุระ เมื่อศึกษาแล้วก็มากระทำให้รู้แจ้งเห็นจริง หลังจากนั้นพระองค์ก็ให้บุคคลที่รู้แจ้งเห็นจริงแล้ว เที่ยวไปเพื่อประโยชน์ของชนหมู่มาก เพื่อความสุขของคนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก นี่คือภาระหน้าที่ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้มอบเอาไว้ให้พระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา

จะว่าไปแล้วในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่ก็ศึกษากันไม่ครบถ้วน ท่านที่ปฏิบัติบางทีก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไปอย่างเดียว ครั้นถึงเวลาจะนำมาสั่งสอนแก่ญาติโยม บางทีก็กล่าวอ้างผิดพลาดไปบ้าง เพราะว่าขาดการศึกษาทางปริยัติธรรม

ส่วนฝ่ายที่ศึกษาพระปริยัติธรรมก็ขาดการปฏิบัติเพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริง เมื่อมีบุคคลสงสัยข้องใจ ก็ไม่สามารถที่จะอธิบายข้อธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ลึกซึ้งได้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น พระองค์ท่านฝากพระพุทธศาสนาไว้กับพุทธบริษัททั้ง ๔ ก็คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ปัจจุบันนี้ภิกษุบริษัทของเราส่วนใหญ่แล้วก็เป็นบุคคลด้อยโอกาส ก็คือ เป็นบุคคลที่ขาดโอกาสศึกษาทางโลก อาจจะเป็นเพราะฐานะทางครอบครัวยากจนบ้าง จำเป็นที่จะต้องใช้แรงงานตั้งแต่เด็กบ้าง เมื่อต้องการที่จะศึกษาจึงบวชเข้ามาเป็นพระภิกษุสามเณร เพื่อที่จะให้ได้รับโอกาสทางการศึกษา

อีกจำพวกหนึ่งก็คือบุคคลที่เหลือเลือกจากสังคมแล้ว เป็นผู้ที่เกเรที่ทางบ้านเอาไม่อยู่แล้วบ้าง เป็นบุคคลที่เสพยาเสพติดบ้าง เป็นบุคคลที่มีปัญหาทางจิตใจบ้าง ญาติโยมทั้งหลายก็นำมาฝากไว้ในพระพุทธศาสนา เพื่อหวังที่จะให้พระอุปัชฌาย์อาจารย์ ช่วยกล่อมเกลาให้เขาทั้งหลายเหล่านี้ กลายเป็นคนดีในสังคม ก็คือมาบวชเพื่อ "ชุบ" ตัวเอง

แต่ไปเจอพระอุปัชฌาย์อาจารย์ทอดธุระ เมื่อทำการบรรพชาอุปสมบทแล้วก็ไม่มีการอบรมสั่งสอนใด ๆ จึงทำให้ท่านทั้งหลายเหล่านี้ขาดความรู้ความเข้าใจ
นอกจากพระอุปัชฌาอาจารย์จะไม่อบรมสั่งสอนแล้ว ตนเองยังไม่คิดที่จะศึกษาค้นคว้าและทำการปฏิบัติจริงอีกด้วย จึงไปออกอาการฉันเช้าแล้วเอน ฉันเพลแล้วนอน ตอนบ่ายพักผ่อน ตอนค่ำจำวัด ที่ญาติโยมใช้คำแรง ๆ ว่า "นอนกลางวันแข่งกับหมาเท่านั้น..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2024 เมื่อ 00:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 22-06-2024, 23:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าหากญาติโยมมีกำลังใจที่เข้าถึงธรรมสักหน่อย ก็จะไม่ใช้คำพูดที่แรงแบบนี้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าภาพพจน์ที่ญาติโยมเห็นเกี่ยวกับพระสงฆ์นั้น เป็นภาพพจน์ที่ท่านทั้งหลายจำฝังใจไปเสียแล้ว

จนกระทั่งมีการกล่าวกันว่า "บวชพระแล้วสบาย บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ ภาษีไม่ต้องเสีย ถึงเวลาก็มีคนเอาปัจจัยสี่มาทูนหัวทูนเกล้าถวายเอาไว้ให้อีก" ซึ่งจะว่าไปแล้วภาพพจน์ทั้งหลายที่ท่านได้เห็นนั้น เป็นในช่วงท้าย ๆ นี้เท่านั้น

ก่อนหน้าสมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่นั้น เมื่อเข้าเรียนชั้นประถมปีที่ ๑ คุณครูก็เริ่มอบรมสั่งสอนว่า "สินค้าออกสำคัญของไทย ประกอบไปด้วย ข้าว ข้าวโพด ยางพารา ไม้สัก แร่ดีบุก" ซึ่งเด็กประถมชั้นปีที่ ๑ เพิ่งจะอ่าน ก.ไก่ ข.ไข่ ก็ต้องฟังเอาไว้เต็มหู

กระผม/อาตมภาพนั้นยังต้องหยุดวันโกนวันพระ เมื่อถึงวันโกนครูจะให้หยุดเรียนครึ่งวัน ไปช่วยตักน้ำใช้น้ำฉันใส่โอ่งใส่ไหที่วัด เอาไว้เพื่อให้พระท่านใช้งาน ไปช่วยกันกวาดวัดถูศาลา ล้างถ้วยล้างชามล้างปิ่นโต ทำความสะอาดห้องส้วม เพื่อรองรับศรัทธาญาติโยมที่จะมาใช้สถานที่ในวันพระ คือมาทำบุญนั่นเอง

ครั้นถึงวันพระ พ่อแม่ก็พาไปวัด เพื่อที่จะได้ทำบุญใส่บาตร โดยเฉพาะเด็ก ๆ มักจะชอบไปวัดมาก เพราะว่าข้าวปลาอาหารที่เหลือจากพระภิกษุสามเณรนั้น มักจะดีกว่าที่บ้านมาก เนื่องเพราะว่าญาติโยมทั้งหลายพยายามทำในสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อที่จะถวายทานเอาไว้ในพระพุทธศาสนา

แล้วบรรดาหลวงปู่หลวงตาหลวงพ่อท่านก็เป็นที่พึ่งของชาวบ้าน ไม่ว่าจะมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอะไรมาปรึกษา ท่านก็พยายามชี้ทางออก บอกทางถูกให้ เจ็บไข้ได้ป่วยมาท่านก็รักษาด้วยยาสมุนไพรบ้าง ด้วยคาถาอาคมบ้าง เมื่อมีเรื่องราวทะเลาะเบาะแว้งกัน ท่านก็เป็นกรรมการตัดสินให้

เราจะเห็นว่าสมัยนั้น เมื่อถึงเวลาจะมีการสร้างกุฏิ สร้างศาลา ญาติโยมทั้งหลายก็ไปช่วยกัน ผู้ใหญ่บ้านท่านนั้นออกเสาหนึ่งต้น กำนันท่านนี้ออกเสาหนึ่งต้น เถ้าแก่โรงสีท่านนั้นออกเสาหนึ่งต้น ไอ้ทิดบ้านนี้ให้ไม้กระดานหนึ่งแผ่น คุณยายบ้านโน้นให้สังกะสีหนึ่งแผ่น

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทำให้พระภิกษุของเราไม่จำเป็นที่จะต้องไปรบกวนญาติโยมในเรื่องของเงินทอง เพราะว่าระบบของสังคมในยุคนั้นช่วยบริหารจัดการให้ ไม่ว่าจะเป็นศาลาการเปรียญ หอระฆัง หรือโบสถ์ ล้วนแล้วแต่ญาติโยมทั้งหลายช่วยกันออกปัจจัย ช่วยกันออกเรี่ยวแรงสร้างให้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 23-06-2024 เมื่อ 00:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 23-06-2024, 00:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่เมื่อครั้นถึงเวลาที่เราเริ่มเข้าสู่อุตสาหกรรม ก็คือการใช้แรงงานจำนวนมาก เพื่อจะได้สินค้าออกไปส่งต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นข้าว ข้าวโพด ไม้สัก ยางพารา แร่ดีบุก ตามที่ครูได้สอนเอาไว้ เมื่อต้องการแรงงานเป็นจำนวนมาก ก็ทำให้แรงงานทั้งหลายวิ่งเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรม พวกที่จะมาช่วยให้พระภิกษุสงฆ์ของเราได้กระทำงานต่าง ๆ เหมือนก่อนก็ไม่มี

ส่วนใหญ่บรรดาอุบาสกอุบาสิกาที่มีฐานะดี ก็นำปัจจัยมามอบให้กับหลวงปู่หลวงพ่อ บอกว่าต้องการเป็นเจ้าภาพสร้างสิ่งนั้น ต้องการเป็นเจ้าภาพสร้างสิ่งนี้ รบกวนหลวงปู่หลวงพ่อช่วยจัดการให้ด้วย พวกกระผม/พวกดิฉันมีงานที่ต้องรับผิดชอบ ไม่สามารถที่จะมาดูแลให้ด้วยตนเอง

ดังนั้น..เมื่อสังคมเปลี่ยนไป วัดวาอารามก็เปลี่ยนไป ประกอบกับการศึกษาของพระที่สมัยก่อนปริยัติคือการเรียนตำรา กับปฏิบัติคือการฝึกวิปัสสนากรรมฐานนั้น เป็นสิ่งที่กระทำคู่กันมา แต่ครั้นเมื่อโดนแยกหลักสูตรการศึกษาออกมา กลายเป็นว่าปริยัติเรียนในส่วนของนักธรรมและบาลี ปฏิบัติไม่มีการสนับสนุน

แถมในสมัยที่หลวงปู่มั่นท่านออกธุดงค์ใหม่ ๆ ก็โดนกล่าวหาว่าเป็นผีบ้า ผีบุญบ้าง โดนขับไล่บ้าง จนกว่าญาติโยมจะเข้าใจก็ช่วงท้าย ๆ ชีวิตของท่านแล้ว

ในเมื่อการศึกษาปริยัติและปฏิบัติโดนแยกออกจากกัน หลวงปู่หลวงพ่อทั้งหลายก็ไม่สามารถที่จะมีความรู้ครบถ้วนทั้งสองด้าน ท่านที่ศึกษาปริยัติเมื่อมีความรู้ก็มักได้รับความไว้วางใจ ให้เป็นพระสังฆาธิการฝ่ายปกครอง เมื่อมีความเจริญก้าวหน้าในยศฐาบรรดาศักดิ์ ตำแหน่งแห่งที่ของตน ด้วยความที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมมา ก็เลยหลงไปกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทั้งหลายเหล่านั้น

ส่วนท่านที่ปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่งก็มีความมานะถือตัวถือตนขึ้นมา ไม่สามารถที่จะละกิเลสให้หมดสิ้นได้อย่างแท้จริง จึงแบกมานะว่า "กูเป็นพระฝ่ายปฏิบัติ กูเคร่งครัดกว่า กูดีกว่า" บางทีก็มีการเขม่นกันเอง จนถึงขนาดขัดแข้งขัดขากัน จนกลายเป็นอธิกรณ์ใหญ่ อย่างเช่นการที่กล่าวหาครูบาศรีวิชัยว่า ท่านตั้งตัวเป็นผีบุญ จะก่อกบฏแยกประเทศ เหล่านี้เป็นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-08-2024 เมื่อ 12:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 23-06-2024, 00:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงทำให้ปริยัติปฏิบัติต่อกันไม่ติด ฝ่ายที่ศึกษาเล่าเรียนก็มักจะเน้นไปในความก้าวหน้าเฉพาะทางโลก ฝ่ายปฏิบัติที่ต้องการพ้นทุกข์ ถ้าได้ครูบาอาจารย์ที่ไม่มีความสามารถ ก็หลงเตลิดเปิดเปิงนอกลู่นอกทางไปมากมาย จนกระทั่งกลายเป็นสังคมสงฆ์ที่สับสนวุ่นวายอย่างในปัจจุบันนี้

กระผม/อาตมภาพนั้นมีนโยบายง่าย ๆ ที่วัดท่าขนุนว่า พระภิกษุสามเณรที่บวชเข้ามา ขอแค่ให้ญาติโยมไหว้ได้เต็มมือเท่านั้น จึงเน้นในเรื่องของการสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐาน ไม่ให้ขาด โดยเฉพาะการทำวัตรเช้าเย็นมีถึง ๓ รอบด้วยกัน การเจริญกรรมฐานก็ต้องเริ่มกันตั้งแต่ตีสี่ เป็นต้น

จึงทำให้บุคคลที่อยู่รอบวัด ส่วนใหญ่ก็นำลูกหลานไปบวชที่วัดอื่น มีความเคารพในตัวหลวงปู่สาย อดีตเจ้าอาวาส แบบสุดจิตสุดใจ ถึงเวลาแห่ลูกหลานที่จะบวชมากราบขอขมาหลวงปู่แล้วก็ไปบวชที่อื่น เพราะกลัวว่าลูกหลานจะลำบาก โดยที่ใช้คำว่า "วัดท่าขนุนเคร่งเกินไป"

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ญาติโยมที่ต้องการพระภิกษุสามเณรที่เคร่งครัดอยู่กับวัตรปฏิบัติ แต่กลับไม่ยอมให้ลูกหลานบวช เอาไปบวชในวัดที่ฉันเช้าแล้วเอน ฉันเพลแล้วนอน ตอนบ่ายพักผ่อน ตอนค่ำจำวัด ก็เลยกลายเป็นจุดที่ก่อให้เกิดคำถามที่ว่า "พระสงฆ์มีประโยชน์อะไร ? มีหน้าที่อะไร ? เห็นแต่นอนกลางวันแข่งกับหมาไปวัน ๆ เท่านั้น..!"

จะว่าไปแล้วก็เป็นการที่ญาติโยมทั้งหลายทำตัวเองทั้งสิ้น ก็คือลูกหลานบวชก็เกรงว่าจะลำบาก ไม่ยอมให้บวชในวัดที่เคร่งครัดต่อวัตรปฏิบัติ แต่ให้ไปบวชในวัดที่สบายกับลูกหลานของตนเอง ถึงเวลาก็มาเรียกร้องว่าอยากให้พระเคร่งครัด กระผม/อาตมภาพก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ความต้องการที่ย้อนแย้งกันแบบนี้จะทำอย่างไร ?!!

แต่ขอติงไว้นิดหนึ่งว่า ท่านผู้ที่ตั้งคำถาม ถ้าไม่ใช่ตั้งใจหายอดไลค์ก็หาเรื่องให้ทัวร์ลงชัด ๆ..! เพราะว่าคำถามนั้นแรงไป ขณะเดียวกัน ท่านก็เป็นผู้ที่น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าไม่มีโอกาสได้เจอกับหลวงปู่หลวงพ่อที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไม่มีโอกาสได้เจอกับพระนักพัฒนาที่เสียสละเพื่อพระพุทธศาสนา เพื่อญาติโยมทั้งหลายอย่างแท้จริง ได้แต่เจอกับบุคคลที่ทำให้ภาพพจน์พระพุทธศาสนาตกต่ำเท่านั้น

ต้องขอเอาใจช่วยให้ญาติโยมเจ้าของคำถาม ซึ่งน่าจะได้อานิสงส์ในการ "ดึงสติ" พระภิกษุสามเณรขึ้นมานิดหนึ่งตรงนี้ว่า ขอให้ผลบุญส่วนนี้นั้น ดลบันดาลให้ท่านได้พบพระภิกษุสามเณรผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างแท้จริง จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาตั้งคำถามเหล่านี้อีก

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวกับญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๒๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เถรี)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2024 เมื่อ 01:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:46



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว