กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 27-05-2024, 18:24
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,955
ได้ให้อนุโมทนา: 225,219
ได้รับอนุโมทนา 800,724 ครั้ง ใน 39,375 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๗


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 27-05-2024, 23:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,399
ได้ให้อนุโมทนา: 157,996
ได้รับอนุโมทนา 4,479,749 ครั้ง ใน 36,008 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เรื่องราวข่าวร้อนในวงการสงฆ์ ในที่สุดก็พาดพิงมาถึงกระผม/อาตมภาพจนได้ ก็คือเรื่องที่มีคลิปที่สามเณร ๒ รูป เจริญพระกรรมฐาน แล้วมีการกระโดดเด้งไปเด้งมา มีการสอบถามว่า "เป็นกรรมฐานแบบไหน ? หรือว่าใช่อุพเพ็งคาปีติหรือไม่ ?"

ในเรื่องนี้ขออนุญาตกล่าวเป็นสองส่วนด้วยกัน ส่วนที่หนึ่งก็คือกล่าวถึงเรื่องของปีติในการเจริญพระกรรมฐาน อีกส่วนหนึ่งก็คือ กล่าวถึงการจัดการกับอธิกรณ์ คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิเรื่องนี้

เรื่องของการเจริญพระกรรมฐานนั้น มีสิ่งหนึ่งที่ผู้เจริญพระกรรมฐานส่วนใหญ่ ร้อยละ ๙๙.๙๙ จะต้องผ่าน ก็คืออาการปีติ คำว่า ปีติ นี้เป็นความอิ่มเอิบใจที่เกิดขึ้น เมื่อถึงเวลาแล้ว มีอาการต่าง ๆ กันออกไป อรรถกถาจารย์ท่านจำแนกออกได้ ๕ ประการด้วยกัน

อาการที่ ๑ เรียกว่า ขณิกาปีติ เป็นอาการปีติเล็กน้อย มีขนลุกซ่า ๆ เป็นระยะ ๆ

อาการที่ ๒ เรียกว่า ขุททกาปีติ เป็นปีติที่มีน้ำตาไหล บางทีก็ไหลพราก ๆ ไม่อยากจะหยุด

อาการที่ ๓ เรียกว่า โอกกันติกาปีติ มีร่างกายโยกไปโยกมา ถ้าหากว่ารุนแรง ก็มีอาการดิ้นตึง ๆ เหมือนผีเจ้าเข้าสิงก็มี

อาการที่ ๔ เรียกว่า อุพเพ็งคาปีติ บางคนเรียกว่า ปีติโลดโผน ก็คือมีการกระโดดโลดเต้น กระผม/อาตมภาพเคยเจอมา ก็คือตีลังกาในศาลาเลยก็มี บางทีก็ลอยขึ้นทั้งตัว ลอยไปไกล ๆ

อาการสุดท้ายเรียกว่า ผรณาปีติ มีอาการตัวพอง ตัวใหญ่ ซาบซ่าน บางทีรู้สึกว่าตัวรั่วเป็นรู มีสิ่งต่าง ๆ ไหลออกจากร่างกาย ซู่ซ่าไปหมด ถ้าอาการหนัก ๆ บางทีรู้สึกว่าตัวแตก ระเบิดกลายเป็นผงไปเลยก็มี..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2024 เมื่อ 00:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 27-05-2024, 23:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,399
ได้ให้อนุโมทนา: 157,996
ได้รับอนุโมทนา 4,479,749 ครั้ง ใน 36,008 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักเจริญพระกรรมฐานจะต้องเจอ ประการใดประการหนึ่งเป็นอย่างน้อย หรือบางท่านถ้ามีวิสัยพระโพธิสัตว์มา ก็จะเจอครบถ้วนทั้ง ๕ ประการเลย แต่ว่าการเจอปีตินี้ ไม่ใช่ว่าจะเจอก่อนที่จะทรงสมาธิเป็นฌาน บางท่านทรงถึงฌาน ๔ และสมาบัติ ๘ แล้ว แต่เมื่อถึงเวลา อาการปีติใหม่จะเกิดขึ้น กำลังใจก็ลดลงมาเหลือแค่อุปจารสมาธิเท่านั้น แล้วปีติก็เกิดขึ้นในตอนนั้น

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ กระผม/อาตมภาพสามารถยกตนเองขึ้นเป็นตัวอย่างได้ อาการแรกขณิกาปีติ ก็คืออาการขนลุก บางทีขนลุกหนักถึงขนาดตั้งจนกระทั่งเป็นตุ่มไปทั่วตัว อย่างที่โบราณเขาเรียกว่าหนามขนุน บางทีก็ขนลุกอยู่ทั้งวัน จนรู้สึกเจ็บผิวหนัง ต้องลูบให้ขนนั้นลดอาการลุกลงก็มี

อาการขุททกาปีติหรือว่าน้ำตาไหลนั้น กระผม/อาตมภาพไปเกิดอาการน้ำตาไหล ตอนฝึกมโมนยิทธิประมาณปี ๒๕๒๑ ตอนนั้น ทางด้านครูฝึกให้กำหนดอตีตังสญาณ ดูในเรื่องของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวีในรัชกาลที่ ๕ ว่า ที่เรือพระประเทียบล่มนั้นเกิดอะไรขึ้น ? แล้วก็เห็นว่าความจริงพระองค์ท่านว่ายน้ำออกไปแล้ว แต่ครั้นหันกลับไปแล้วไม่เห็นพระราชธิดาเสด็จตามมา จึงได้ดำน้ำกลับไปเพื่อที่จะควานหา แล้วคลื่นก็ซัดเอาเรือพระประเทียบที่ผลุบ ๆ โผล่ ๆ นั้น ครอบพระองค์ท่านจมหายไป..!

ด้วยความที่เกิดความรู้สึกว่า โอหนอ..ความรักของแม่ช่างมากมายมหาศาลขนาดนี้ เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อลูกก็ยอม จึงเกิดอาการปีติ น้ำตาไหลพราก ๆ แม้ว่าจะเลิกฝึกมโนมยิทธิแล้วก็ยังน้ำตาไหล เมื่อออกมาถวายการรับใช้พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงทางด้านนอก ก็ตั้งใจว่าจะกลั้นให้หยุด

ขอเรียนถวายพระภิกษุ สามเณรของเรา และญาติโยมทุกคนว่า
อาการปีตินั้น เราสามารถที่จะห้ามได้ ก็คือให้หยุดก็หยุดได้ เพียงแต่ว่าพอกระผม/อาตมภาพจะกลั้นให้หยุด พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านกล่าวว่า "อย่าทำอย่างนั้นไอ้หนู ปล่อยให้เต็มที่ไปเลย จะได้ผ่านไปทีเดียว ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าเอ็งไปกลั้นไว้ เดี๋ยวอารมณ์ใจถึงตรงนั้นเมื่อไร ก็จะน้ำตาไหลอีก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2024 เมื่อ 00:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 27-05-2024, 23:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,399
ได้ให้อนุโมทนา: 157,996
ได้รับอนุโมทนา 4,479,749 ครั้ง ใน 36,008 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กระผม/อาตมภาพจึงปล่อยให้น้ำตาไหลตั้งแต่ตอนฝึกมโนมยิทธิประมาณเที่ยงครึ่ง ไปจนเกือบจะ ๕ โมงเย็น กว่าที่น้ำตาจะหยุดไหล บรรดาพี่ป้าน้าอาต่างก็ส่งกระดาษซับให้ เช็ดหน้าจนแสบไปหมด ถึงสามารถที่จะพ้นไปได้ ไม่เกิดอาการน้ำตาไหลในครั้งต่อ ๆ ไปอีก เพราะว่าปล่อยให้ "ขึ้น" จนเต็มที่แล้ว

ส่วนเรื่องของโอกกันติกาปีตินั้น มาเกิดตอนที่ฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง มีอาการดิ้นตึงตัง แล้วก็เอามือตบหน้าขาตนเอง จนกระทั่งเขียวช้ำไปหมด

ส่วนในเรื่องของอุพเพ็งคาปีตินั้น หลังจากที่บวชพระไปแล้ว เจริญพระกรรมฐานอยู่ มีความรู้สึกว่าวันนี้มีอะไรวูบ ๆ อยู่ข้างเอว จึงลืมตาขึ้นมาดู ไม่ทราบเหมือนกันว่า ร่างลอยขึ้นไปตั้งแต่เมื่อไร ? เอวอยู่ห่างจากพัดลมเพดานที่กำลังหมุนอยู่นิดเดียวเท่านั้น..! จึงทำให้ตกใจ จิตเคลื่อนจากสมาธิ หล่นลงมากระแทกพื้นเสียงดังตึงใหญ่..! ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ถือเป็นบทเรียนว่า ถ้าหากว่าเจริญพระกรรมฐาน ต้องปิดพัดลมเพดานเสียก่อน

พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านยังบอกว่า "อย่าลืมเอาสตางค์ใส่กระเป๋าไปด้วยนะ ถ้าแกลอยไปไกล ๆ แล้วจิตเคลื่อนตกลงมา ไม่สามารถที่จะลอยกลับได้ ต้องอาศัยรถกลับวัด เดี๋ยวจะไม่มีสตางค์ค่ารถให้เขา" แล้วท่านเองก็หัวเราะชอบใจ..!

ส่วนผรณาปีตินั้น ตอนที่กระผม/อาตมภาพฝึกมาทั้งฌาน ๔ และสมาบัติ ๘ จนคล่องตัวแล้ว คิดว่าคงจะไม่ปรากฏอาการนี้ในชีวิตของเราแน่ แต่ปรากฏว่าวันนั้นกำลังนอนภาวนารักษาอารมณ์ใจอยู่ ที่บริเวณหน้าตึกริมน้ำ เพราะว่าทำหน้าที่เฝ้ายามให้ที่หน้าห้องพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่าน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2024 เมื่อ 00:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 27-05-2024, 23:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,399
ได้ให้อนุโมทนา: 157,996
ได้รับอนุโมทนา 4,479,749 ครั้ง ใน 36,008 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตอนนั้นหลวงพ่อโอ (พระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร) ที่พวกกระผม/อาตมภาพเรียกกันว่า "หลวงพี่โอ" ท่านเข้ามา แล้วก็ได้ยินเสียงท่านบ่นว่า "ท่านนี่เอาแต่ภาวนาจังเลยนิ" แล้วรู้สึกเหมือนท่านเอามือทิ่มหัวมาทีหนึ่ง ในลักษณะหยอก ๆ

แต่ปรากฏว่าร่างของกระผม/อาตมภาพลอยพ้นพื้นขึ้นมาประมาณ ๑ ฝ่ามือ โชคดีที่ว่าคลุมจีวรในลักษณะตีโปงนอนอยู่ จึงไม่เกิดอาการผิดสังเกตให้คนอื่นเห็น มีความรู้สึกว่า "เดี๋ยวก็ได้แตกตื่นกันทั้งวัดเท่านั้น..!" เพราะว่าการลอยครั้งก่อน ๆ นั้นไม่มีใครเห็น เนื่องจากว่าลอยอยู่เฉพาะในห้องของตนเอง จะลอยสักกี่ครั้งก็ปล่อยไป จนกระทั่งเต็มที่ก็เลิกไปเอง ปรากฏว่าพอรู้สึกเช่นนั้น ร่างกายก็ตกอยู่ในอาการค้าง ก็คือช่วงสูงจากพื้นแค่ประมาณคืบเดียวเท่านั้น..!

แต่ปรากฏว่าตรงที่นิ้วของหลวงพ่อโอท่านจิ้มลงมานั้น มีบางสิ่งบางอย่างไหลซู่ออกไป เหมือนกับอย่างลมอย่างแรงที่ไหลออกเวลายางรถยนต์รั่ว แล้วหลังจากนั้นก็มีรูรั่วที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ รั่วไปทั้งตัว รู้สึกว่าตัวพองตัวใหญ่ แล้วมีสิ่งของไหลซู่ซ่าออกจากตัวไปจนหมด ด้วยความที่เคยชินแล้ว จึงรักษากำลังใจเอาไว้เกือบ ๒๐ นาที กว่าที่อาการรั่วอาการไหลทั้งหลายเหล่านั้น และอาการตัวพองตัวใหญ่จะลดลง แล้วก็กลับสู่พื้นตามปกติ

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าท่านมีวิสัยทางพุทธภูมิ คือปรารถนาจะเกิดเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก่อน ก็จะเจอจนกระทั่งครบ ๕ ประการด้วยกัน น้อยคนนักที่จะไม่เคยเจอ สมาธิจิตข้ามไปเป็นฌานเลยทีเดียว

ดังนั้น..ในเรื่องของปีติอาการอย่างที่เณรทำมานั้น ถ้าจัดไปแล้วก็อยู่ในส่วนของโอกกันติกาปีติ ไม่ใช่อุพเพ็งคาปีติ เพราะว่าอุพเพ็งคาปีตินั้นลอยแล้วก็ค้างอยู่กลางอากาศ แล้วก็สามารถลอยไปไกล ๆ จนคนเข้าใจผิดว่าเหาะได้ก็มี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2024 เมื่อ 00:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 27-05-2024, 23:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,399
ได้ให้อนุโมทนา: 157,996
ได้รับอนุโมทนา 4,479,749 ครั้ง ใน 36,008 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้เมื่อเรื่องราวออกสื่อกันไป ทางคณะสงฆ์ โดยพระเดชพระคุณพระครูวรกาญจนโชติ เจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ พระครูกาญจนปัญญาวุฒิ รองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ (๑) วัดเขื่อนวชิราลงกรณ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. รองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ (๒) วัดท่าขนุน ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ทำการสอบสวนในทันทีทันใด โดยที่ติดต่อกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และนายกองค์กรบริหารส่วนตำบลในพื้นที่ ก็คือตำบลชะแลไปด้วย

ปรากฏว่าท่านผู้เป็นเจ้าสำนักสงฆ์นั้น เป็นลูกศิษย์ที่บวชโดยหลวงพ่อพระครูกาญจนเขตวิมล อดีตเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ ท่านได้แยกตัวออกจากวัด ไปทำหน้าที่ประธานที่พักสงฆ์เขาแปดร้อย หมู่ที่ ๖ ตำบลชะแล อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ตั้งแต่ปี ๒๕๕๘ ก็แปลว่า ท่านอยู่ตรงนั้นมา ๙ ปี จะย่างเข้าปีที่ ๑๐ แล้ว

เมื่อทำการสอบสวน ปรากฏว่าสิ่งที่ท่านอธิบายมานั้น เกินสิ่งที่สามเณรทำไปมาก โดยที่ท่านอ้างว่าเป็นฌาน ๔ บ้าง เป็นฌาน ๕ บ้าง ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่าปีตินั้น ยังไม่ถึงปฐมฌานเลย..!

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงได้มีการตัดสินว่า ให้ท่านออกจากที่พักสงฆ์แห่งนั้น กลับไปยังสังกัด คือวัดทองผาภูมิตามเดิม ซึ่งปัจจุบันนี้ มีพระครูสมุห์ฉันธ์ วรปญฺโญ เป็นเจ้าอาวาส ให้เจ้าอาวาสท่านขัดเกลาฝึกฝนเสียใหม่ จะได้ไม่ไปทำอะไรผิดพลาดอีก ถ้าหากว่ามีการฝ่าฝืน ภายใน ๓ วันไม่ยอมกลับสู่ต้นสังกัด ก็จะให้ทางด้านผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และนายก อบต. พึ่งอำนาจทางบ้านเมืองให้สึกหาลาเพศไป

การจัดการแบบทันทีทันควันแบบนี้ เป็นสิ่งที่ทางคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมินิยมกระทำมาตลอด ก็คือให้เรื่องจบลงให้เร็วที่สุด ให้พระพุทธศาสนาของเราบอบช้ำให้น้อยที่สุด ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่จนเป็นข่าวเป็นคราวไปทั่วประเทศ หลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอก็มักจะมอบหมายให้กระผม/อาตมภาพไปดำเนินการ เมื่อเรียบร้อยแล้วก็ส่งรายงานให้กับท่าน

แต่ว่างานนี้ดังไปทั่ว เพราะว่ามีการลงสื่อโซเชียลต่าง ๆ จึงต้องไปดำเนินการร่วมกับทางบ้านเมือง ยังดีที่ท่านไม่ดื้อ ในเมื่อตัดสินเช่นนั้น ท่านก็รับปากว่าจะโยกย้ายภายใน ๓ วัน ก็ได้แต่รอดูว่าท่านจะประพฤติปฏิบัติตามที่ได้ให้ปากคำ หรือว่าสัญญาเอาไว้หรือไม่ ? เพราะว่าสิ่งที่ท่านทำนั้นก็โดนภาคทัณฑ์ไปเรียบร้อยแล้ว ถ้ายังดื้อดึงอีก ก็อาจจะต้องให้ออกจากผ้ากาสาวพัสตร์ไปเลย..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุ สามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2024 เมื่อ 00:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:37



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว