#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๗
|
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เมื่อวานนี้ฝนฟ้ากระหน่ำลงมาค่อนข้างจะหนัก แต่ก็ดีตรงที่ว่าเมื่อเจอฝนเข้า ไฟจากการเผาป่าต่าง ๆ ก็ต้องดับไปโดยปริยาย
บ้านเราเมืองเราส่วนใหญ่แล้ว ยังไม่เห็นโทษของการเผาป่า และโดยเฉพาะหลายต่อหลายรายที่ใช้วิธี "ชิงเผา" เสียก่อน ก็คือแทนที่จะรอให้ไฟลามเข้ามา แล้วตัวเองต้องลำบากมาคอยระมัดระวังไฟ ก็กลายเป็นว่าเผาเสียเองก่อน จะได้หมดเรื่องหมดราวไป ไม่ต้องเสียเวลามาระวังอีก ความเห็นแก่ตัวในลักษณะแบบนี้ จึงทำให้บ้านเราเมืองเรา ซึ่งปกติแล้วไฟป่าตามธรรมชาติเกิดได้ยากมากถึงยากที่สุด กลายเป็นว่ามีไฟไหม้ทุกปี จนกระทั่งบางแห่งเหมือนอย่างกับเมืองในหมอกก็ไม่ปาน..! สำหรับวันนี้กระผม/อาตมภาพก็ต้องเดินทางเพื่อนำรถไปเข้าศูนย์ตามปกติ เฉลี่ยแล้วประมาณว่าเข้าศูนย์เดือนละ ๑ ครั้ง ก็แปลว่า ๓๐ วัน จะวิ่งได้ประมาณ ๑๐,๐๐๐ กิโลเมตร หรือบางเดือนก็เกินไป ๑,๐๐๐ กว่า ๒,๐๐๐ กิโลเมตรเช่นกัน..! แล้ววันนี้ทางด้านพระเถระส่วนหนึ่ง ต้องไปดูการจัดเตรียมสถานที่ในหอประชุมใหญ่พุทธมณฑล เพื่อเตรียมการประชุมคณะกรรมการเพื่อขับเคลื่อนโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ด้วยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา (หมู่บ้านรักษาศีล ๕) จากทั่วประเทศ และมีการมอบโล่รางวัลให้แก่หมู่บ้านรักษาศีล ๕ ต้นแบบ ทั้งในระดับจังหวัด ระดับภาค และระดับประเทศ ก็แปลว่าในวันพรุ่งนี้นั้น กระผม/อาตมภาพจะมีงานเต็มวันที่พุทธมณฑล แล้วยังต้องรีบวิ่งกลับไปทางวัดท่าขนุน เพื่อที่จะให้ทันกับงานทางด้านนั้นอีก หลายท่านได้ยินแล้วอาจจะเหนื่อยแทน แต่กระผม/อาตมภาพนั้นไม่ได้คิดถึงตรงนี้ เนื่องเพราะโดยจริตนิสัยของตนเองแล้ว เมื่อมีหน้าที่ ก็ต้องทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เหมือนอย่างที่หลวงพ่อเจ้าคุณแย้ม - พระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) เคยให้โอวาทเอาไว้ว่า รู้จักหน้าที่ รักษาหน้าที่ ทำตามหน้าที่ อย่าทำเกินหน้าที่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-03-2024 เมื่อ 02:22 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
ในเมื่อเป็นไปในลักษณะนี้ กระผม/อาตมภาพซึ่งทำงานแบบ "คนมีวันนี้วันเดียว" จึงกลายเป็นบุคคลที่ไม่เคยคิดว่าจะเก็บงานเอาไว้ทำในวันอื่น พูดง่าย ๆ ว่า "เต็มที่กับทุกงาน และเต็มที่กับทุกวัน" เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีวันพรุ่งนี้ให้เราได้ทำงานนั้นหรือไม่ ? อยู่ในลักษณะที่ว่า "ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ถึงเวลาแล้วก็จากไปอย่างสง่างามที่สุด อยู่คนเขาก็เกรงใจ ไปคนเขาก็คิดถึง"
การทำงานแบบนี้นั้น สำหรับบางท่านแล้วมักจะไม่เคยชิน เนื่องเพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นยังต้องคิดเผื่อวันรุ่งขึ้น ยังต้องคิดเผื่อวันข้างหน้า ซึ่งต่างจากผู้ปฏิบัติธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ไม่ประมาท ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เราจึงต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด เนื่องเพราะว่าเรามีแค่วันนี้เท่านั้น หรือถ้าหากว่าคิดแบบไม่ประมาทก็คือ เรามีแค่ตอนนี้ และเดี๋ยวนี้เท่านั้น เวลาข้างหน้าไม่มีสำหรับเรา ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงไม่ได้คิดเผื่อเวลาข้างหน้า หากแต่ทำตรงนี้ เดี๋ยวนี้ อย่างเต็มที่ที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เรื่องแบบนี้เราท่านทั้งหลาย ถ้ากำลังใจไม่เท่ากัน ฟังแล้วก็อาจจะไม่เข้าใจ บางท่านก็ตำหนิว่าเป็นการทำงานเกินตัว แต่กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่าไม่ใช่การทำงานเกินตัว หากแต่เป็นความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน สำหรับวันนี้ก็มีบางเรื่องที่อยากจะพูดถึง ก็คือมีสำนักแห่งหนึ่ง ท่านยึดถือเฉพาะคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ไม่ได้ใส่ใจคำสอนของบุคคลอื่น แล้วในขณะเดียวกัน สิ่งที่ท่านทำนั้น บางทีก็อยู่ในลักษณะของการ "ด้อยค่า" พระรัตนตรัยอีกด้วย อย่าลืมว่าพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่สำนักนี้มีการ "ด้อยค่า" พระธรรม ว่าไม่ใช่สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสมาทั้งหมด..! เรื่องนี้จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องจริง เนื่องเพราะว่าในพระไตรปิฎกนั้น มีหลายพระสูตรที่เป็นเถรภาษิต ก็คือคำสอนของพระมหาเถระสมัยพุทธกาล อย่างเช่นภัทเทกรัตตสูตร เป็นคำอธิบายธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยพระมหากัจจายนเถระ แต่คราวนี้อย่าลืมว่าภัทเทกรัตตสูตรนั้น เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทราบถึงคำอธิบายของพระมหากัจจยนเถระแล้ว ก็ทรงสาธุการรับรองว่า ถ้าเป็นพระองค์ท่าน ก็จะอธิบายแบบนั้นเหมือนกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น ในการสังคายนาพระไตรปิฎก ซึ่งมีพระมหากัสสปเถระเป็นองค์ประธาน จึงได้นำเอาภัทเทกรัตตสูตรใส่เอาไว้ในพระไตรปิฎกด้วย เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรับรองแล้วว่า ถ้าเป็นพระองค์ท่านก็จะอธิบายเช่นนั้นเหมือนกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-03-2024 เมื่อ 02:26 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
แล้วขณะเดียวกัน สำนักนี้ยังกล่าวว่า "พระอรหันต์ยังมีการสอนธรรมผิด" ตรงนี้กระผม/อาตมภาพขอคัดค้านแบบสุดหัวใจ เนื่องเพราะว่าไม่ต้องพูดถึงพระอรหันต์ เอาแค่พระโสดาบันก็พอ พระโสดาบันนั้นมีความเคารพในพระรัตนตรัยยิ่งชีวิต ดังนั้น..การที่จะสอนให้ผิดไปจากหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะพระอริยบุคคลนั้น ท่านมีความเคารพในพระรัตนตรัยยิ่งชีวิต ตนเองทำได้แค่ไหน ก็สอนเพียงแค่นั้น ในเมื่อสอนแค่สิ่งที่ตนเองทำได้ จึงไม่ใช่คำสอนที่ผิดพลาดอย่างแน่นอน
แต่สำนักนี้บอกว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถามว่าหลักธรรมนี้เป็นไฉน ? แล้วพระสารีบุตรมหาเถระผู้เลิศด้วยปัญญาอย่างยิ่ง ได้แสดงอรรถาธิบายถวายความแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ยังได้ตรัสขยายความหลักธรรมนั้นให้พิสดารยิ่งขึ้นไปอีก ตรงนี้ท่านใช้คำว่า "พระสารีบุตรสอนผิด" เนื่องเพราะว่าถ้าสอนถูก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องตรัสรับรองคำของพระสารีบุตรแล้ว กระผม/อาตมภาพอยากจะเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหลายว่า ถ้าหากว่าเปรียบพระสารีบุตรมหาเถระเป็นผู้จบมหาบัณฑิต คือปริญญาโท หรือต่อให้จบดุษฎีบัณฑิต คือปริญญาเอก แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น นอกจากจะจบปริญญาเอกแล้ว ยังเป็นบุคคลที่รู้รอบ รู้ทั่ว ด้วยบารมีที่สั่งสมมา เพื่อเป็นครูของทั้งมนุษย์และเทวดา จึงสามารถอรรถาธิบายข้อความได้วิจิตรพิสดารมากกว่า เหมือนกระผม/อาตมภาพเรียนปริญญาโท แล้วต้องมีการปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษา เมื่อนำผลงานไปเสนอ ท่านอาจารย์ก็จะชี้แจงแถลงไขว่าเนื้อหาตรงนี้ควรจะเป็นแบบนี้ เนื้อหาตรงนี้ควรจะเสริมแนวทางนี้เข้าไป จึงจะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น อาจารย์ท่านไม่ได้บอกว่า กระผม/อาตมภาพทำผิด ไม่ได้บอกว่ากระผม/อาตมภาพทำมาแล้วใช้ไม่ได้ แต่ท่านบอกว่าสิ่งที่ดีกว่านั้นคืออะไร นั่นเป็นวิสัยของบุคคลที่เป็นครูบาอาจารย์มากประสบการณ์ ย่อมมองเห็นอยู่แล้วว่า สิ่งที่ลูกศิษย์ว่ามานั้น ยังไม่สมบูรณ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เต็ม แต่ถ้าท่านทั้งหลายจะเอาปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเหนือว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนี้ มาเปรียบกับปัญญาของบุคคลทั่ว ๆ ไป ย่อมไม่มีใครที่จะสู้ได้อยู่แล้ว แต่ท่านกลับไป "ด้อยค่า" ว่า พระมหาเถระระดับอัครสาวกเบื้องขวา ซึ่งเป็นพระอรหันต์ที่ประกอบไปด้วยปัญญาเป็นอย่างยิ่ง ยังเป็นบุคคลที่สอนธรรมผิด ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-03-2024 เมื่อ 02:29 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า ถ้าบุคคลใดบุคคลหนึ่ง จะรู้ว่าบุคคลอื่นสอนผิดหรือไม่ บุคคลนั้นต้องเรียนมามากกว่า กระผม/อาตมภาพมั่นใจว่าท่านเจ้าสำนักแห่งนั้น เรียนอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะมากไปกว่าพระสารีบุตรมหาเถระผู้เป็นอัครสาวกเลิศด้วยปัญญา แล้วในขณะเดียวกัน ถ้าหากว่าท่านผู้นั้น ทำถูกสอนถูกจริง ๆ ก็คงจะไม่โดนครูบาอาจารย์ "ตัดหางปล่อยวัด" ในลักษณะแบบนั้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่ท่านทำเท่ากับท่านปิดประตูมรรคผลของตนเอง ก็คือวางตนเหนือกว่าพระรัตนตรัยไปเสียแล้ว
แม้กระทั่งหลักธรรมขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ก็รู้ว่าตรงไหนใช่หรือไม่ใช่ ถ้าหากว่าท่านยิ่งใหญ่ขนาดนั้นจริง ๆ แล้วท่านจะเสียเวลามาอาศัยพระไตรปิฎกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปทำอะไร ไฉนจึงไม่กล่าวธรรมเฉพาะตนไปเลย ยังต้องมาอ้างอิงคำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่อีก จึงฝากให้ท่านทั้งหลายเป็นข้อคิดว่า บางท่านนั้นโวหารดี สำนวนดี มีสิ่งที่อ้างอิง แต่จะใช่ตามนั้นจริงหรือไม่ ? เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จะมีสอดแทรกในพระพุทธศาสนาของเรามากขึ้นไปทุกวัน เราท่านทั้งหลายจึงต้องตระหนักว่า เราต้องปฏิบัติในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และปัญญา ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เมื่อถึงเวลาเราท่านจะได้ช่วยกันเป็นทนายแก้ต่างให้กับพระพุทธศาสนา ไม่ปล่อยให้บุคคลอื่นมากล่าวตู่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มายกตนเป็นศาสดาเหนือกว่าพระรัตนตรัย น่าสงสารเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านเหล่านั้นกำลังเผยแผ่แนวความคิดแบบนี้ให้กว้างขวางออกไป โดยเฉพาะเริ่มจากเด็ก ๆ เสียด้วย จะทำให้เกิดบุคคลที่เป็นมิจฉาทิฏฐิกลุ่มใหญ่โตขึ้นไปทุกที แล้วท่านทั้งหลายเหล่านี้นั่นแหละ ที่จะยกเอาวาทะของครูบาอาจารย์ มาหักล้างคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อให้เกิดโทษใหญ่แก่ทั้งตนเองและพระพุทธศาสนา สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-03-2024 เมื่อ 02:31 |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|