#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๒๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ อาการเจ็บไข้ได้ป่วยยังคงมีอยู่เป็นปกติ เหมือนดั่งคำภาษิตจีนที่ว่า "ยามไข้มาเร็วเหมือนภูเขาถล่ม ยามไข้หายช้าเหมือนกับสาวไหม" ก็คือ เวลามาก็มาชนิดฟ้าถล่มดินทลาย เวลาหายก็เชื่องช้าเสียเหลือเกิน..!
ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องปกติ เพราะว่าบุคคลที่แก่ชราแล้ว ธาตุต่าง ๆ ในร่างกายบกพร่องไปมาก เมื่อพร่องมากจนอยู่ในระดับที่ทนไม่ไหว ก็แสดงอาการออกให้รู้ด้วยการเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วจะให้สามารถส่งคืนไปจนกว่าจะพอเพียง ทำให้เราหายป่วยโดยเร็วนั้นก็เป็นเรื่องที่ยาก โดยเฉพาะบุคคลที่เจ็บไข้ได้ป่วยก็มักจะปากคอจืดหมด ไม่ค่อยจะรับประทานอาหารอะไร หรือว่าไม่รู้สึกอยากอาหารอะไร แต่ว่ากระผม/อาตมภาพนั้น ฝึกฝนตนเองจนมีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือเจ็บไข้ได้ป่วยขนาดไหนก็ตาม จะพยายามยัดเยียดอาหารแล้วกลืนลงไป ลักษณะคล้าย ๆ กับการฝึกอาหาเรปฏิกูลสัญญาเช่นกัน แต่ไม่ใช่พิจารณาอาหารว่าเป็นของสกปรก แล้วต้องฝืนใจกินลงไปเพื่อยังอัตภาพร่างกายนี้ หากแต่ว่าต้องฝืนใจกินลงไป ทั้ง ๆ ที่ร่างกายไม่ได้อยากอาหาร เพราะว่าถ้าไม่มีธาตุอาหารให้ ร่างกายก็ยิ่งจะเจ็บไข้ได้ป่วยและฟื้นตัวได้ช้ายิ่งขึ้น เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องที่ท่านจะเอามาเลียนแบบกันได้ เพราะว่ากำลังใจของเรานั้น จะต้องเห็นอย่างชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เรามีหน้าที่ดูแลรักษาก็กระทำไปอย่างเต็มที่ เมื่อดูแลรักษาเต็มที่แล้ว ถ้าไม่สามารถที่จะแก้ไขให้คืนดีได้ เราก็ยอมรับว่านั่นเป็นกฎของกรรม เรื่องเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายควรที่จะยึดถือเอาไว้เป็นบทเรียน ว่าถ้าหากจะดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ โดยไม่ให้ลำบากยากแค้นเกินไปนัก อันดับแรกเลย..ต้องเห็นให้ชัดเจนว่าร่างกายนี้ประกอบไปด้วยความทุกข์เป็นปกติ ในเมื่อมีความทุกข์เป็นปกติ ก็จงมีของเจ้าไปเถิด ถ้าเราสามารถที่จะผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ เราก็จะช่วยผ่อนให้ แต่ถ้าเราผ่อนจนถึงที่สุดแล้ว ยังไม่สามารถที่จะช่วยอะไรได้ เจ้าจะพังก็จงพังไปเถิด..! เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เราควรที่จะสังวรเอาไว้ และพยายามที่จะมองให้เห็นเป็นปกติ ไม่เช่นนั้นแล้วถ้าเผลอสติ หายจากการเจ็บไข้ได้ป่วยเมื่อไร เราก็พลอยที่จะอยากอยู่ต่อไปอีกแล้ว ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้น "เจ็บเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้ว" พอร่างกายดีขึ้นมา มีอาการฟื้นคืนเรี่ยวแรงนิดหน่อย ก็รู้สึกอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป นั่นเป็นความกลับกลอกของกำลังใจ ซึ่งหาความเที่ยงแท้แน่นอนอย่างแท้จริงไม่ได้เลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-08-2023 เมื่อ 00:16 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
สำหรับวันนี้ กระผม/อาตมภาพได้เดินทางไปยังวัดใหญ่ หมู่ที่ ๑ ตำบลท่าฉนวน อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท เพื่อที่จะไปตรวจประเมิน โครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ต้นแบบ ถ้าหากว่าผ่านการประเมิน ก็จะได้รับการยกขึ้นเป็นต้นแบบ แต่เมื่อไปแล้ว ปรากฏว่าทางด้านเจ้าหน้าที่คงไม่ได้เข้าไปช่วยทางวัดทำเอกสาร ข้อมูลต่าง ๆ จึงมีน้อยมาก
โดยเฉพาะในหมวดที่ ๓ เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติธรรมนั้น หนังสือที่หนาอยู่ร้อยกว่าหน้า มีข้อมูลให้กระผม/อาตมภาพแค่ ๓ หน้า และส่วนใหญ่เป็นรูป มีข้อมูลอธิบายอยู่แค่ ๗ บรรทัดครึ่งเท่านั้น..! จึงต้องใช้วิธีพยายามที่จะอ่านข้อมูลทั้งหมดแล้วสรุปรวมลงมาว่า เรื่องไหนบ้างที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะทางด้านวัดใหญ่นั้น ไม่ได้เป็นสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดชัยนาท แต่ว่าเป็นศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ซึ่งกระผม/อาตมภาพถือว่าสามารถที่จะทดแทนกันได้ และส่วนที่น่าทึ่งที่สุดก็คือ หมู่บ้านนี้มีการแสดงศิลปะโขนสด และมีการครอบครูสืบ ๆ กันมาจนถึงปัจจุบันนี้ ตัวผู้ใหญ่บ้านก็คือนายนุกูล ปิ่นแก้ว ก็แต่งตัวเป็นหนุมาน ออกมาร้องโขนและแสดงให้ทุกคนได้เห็น ซึ่งต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่มองเห็นอย่างชัดเจนว่า ทางหมู่บ้านนั้นมีศักยภาพแฝงที่เป็น Soft Power สามารถที่จะแปลงเป็นมูลค่า ช่วยยกงานอาชีพต่าง ๆ ของชาวบ้านขึ้นมาได้อีกมาก แล้วที่หมู่บ้านนี้มีทั้งหมอนวด มีทั้งช่างจักสาน มีทั้งนักเล่นโขนสด เหล่านี้เป็นต้น และแปรรูปอาหารที่มาจากปลาสดทั้งหลาย เพราะว่าอยู่ข้างแม่น้ำเจ้าพระยา จึงทำให้การที่พวกเราตรวจประเมินนั้นเป็นไปโดยง่าย โดยเฉพาะการกล่าวรายงานของท่านผู้ใหญ่บ้านหนุมานของเรานั้น ฉะฉาน ชัดเจน แจ่มแจ้ง ถูกใจเป็นอย่างยิ่ง จนได้รับรางวัลพิเศษจากท่านประธาน เป็นทั้งเงินสดและวัตถุมงคล กระผม นาน ๆ จะเห็นพระเดชพระคุณพระธรรมรัตนมงคลยิ้มกว้างขวางเสียทีหนึ่ง ปกติหลวงพ่อเจ้าคุณแววของกระผม/อาตมภาพนั้น ท่านเป็นบุคคลที่สภาพจิตนิ่งมาก นิ่งอยู่ในลักษณะเหมือนกับทรงสมาธิอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ยากที่จะเห็นรอยยิ้มของท่าน แต่คราวนี้หนุมานผู้ใหญ่บ้านน่าจะแสดงได้ถูกอกถูกใจ จึงทำให้ท่านยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นพิเศษ แล้วขณะเดียวกัน ทางด้านคณะสงฆ์ และเจ้าหน้าที่ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ก็มาโดยพร้อมเพรียงกัน โดยเฉพาะหลวงพ่อเจ้าคุณยุวชน ซึ่งปัจจุบันนี้ ท่านได้เลื่อนจากพระสุธีวราภรณ์ขึ้นไปเป็นพระราชวชิรกิจจาทร (ยุวชน เขมปญฺโญ ป.ธ.๖) เจ้าคณะจังหวัดชัยนาท กระผม/อาตมภาพยังได้ถวายมุทิตาสักการะท่านด้วยพระเหล็กไหลของหลวงป๋า - พระเทพญาณมงคล วิ. (เสริมชัย ชยมงฺคโล ป.ธ.๖) วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ซึ่งหลวงพ่อเจ้าคุณยุวชน ดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดหยิบวัตถุมงคลให้ทำท่ามอบ แล้วให้ช่างภาพถ่ายรูปกันเป็นการใหญ่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-08-2023 เมื่อ 00:22 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
งานนี้แม้ว่าจะเจอกันในลักษณะของคนหนึ่งเป็นเจ้าของบ้าน คนหนึ่งเป็นกรรมการ ไม่ได้เจอกันในลักษณะพระเกจิอาจารย์ไปปลุกเสกด้วยกันตามปกติ แต่ว่าความคุ้นเคยเก่า ๆ ก็ทำให้งานการทุกอย่างเป็นไปโดยง่ายและสะดวกคล่องตัวทั้งสิ้น
ที่นี่ก็น่าชื่นชมมาก เนื่องเพราะว่าบรรดาหัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นสุภาพสตรี แล้วก็ยังมีบุคคลที่โยกย้ายมาจากส่วนราชการของจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งยังกำหนดจดจำกันได้ มากราบไหว้ทักทายกันเป็นปกติ ซึ่งบางท่านก็เคยรายงานตัวว่าย้ายมาอยู่จังหวัดชัยนาท แต่กระผม/อาตมภาพลืมไปว่า ท่านย้ายมาอยู่ที่นี่ มาเจอกันอีกทียังดีใจว่าไม่ได้พบหน้ากันตั้งนาน เพิ่งจะมาพบกันในวันนี้เอง หลังจากการตรวจประเมิน ทุกอย่างเป็นไปด้วยความสะดวกเรียบร้อยแล้ว ทางด้านเจ้าของที่ก็ได้ถวายส้มโอขาวแตงกวาให้แก่คณะกรรมการคนละ ๑ กระเช้า ซึ่งส้มโอขาวแตงกวานี้ ตั้งแต่สมัยที่อยู่วัดท่าซุง กระผม/อาตมภาพก็แทบจะฉันแทนข้าวมาแล้ว..! เพราะว่าเป็นของที่มีถิ่นกำเนิดเฉพาะอยู่ในจังหวัดชัยนาท เป็นพืชผลที่สามารถระบุเจาะจงถิ่นกำเนิดได้ คล้าย ๆ กับทุเรียนทองผาภูมิ หรือว่าลิ้นจี่เชียงใหม่ เป็นต้น จึงทำให้ทุกคนที่ได้รับรู้สึกดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง แต่กระผม/อาตมภาพก็บอกในฐานะคนที่เคยฉันส้มโอมามากว่า "กรุณาเก็บไว้สัก ๑๐ วันหรือครึ่งเดือน แล้วค่อยปอกฉันนะครับ" โบราณบอกว่า "ให้ลืมต้นเสียก่อน" ไม่เช่นนั้นถ้าฉันตอนนี้ลงไป ความสดใหม่นั้นจะทำให้บางส่วนเหมือนกับยังเป็นกรดแรง จะกัดปากเอาได้ ซึ่งโบราณท่านใช้คำว่า "ปล่อยให้ลืมต้นเสียก่อน" ก็คือปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างได้รับการบ่มเพาะจนอยู่ในลักษณะพอเหมาะพอดี เราถึงจะเลือกที่มากินกัน นี่เป็นความฉลาดในความเป็นมนุษย์ของพวกเรา แบบที่หลวงตาปรีชา (พระปรีชา อกิญฺจโน) ลูกศิษย์รุ่นแรก ๆ ของกระผม/อาตมภาพตั้งแต่สมัยยังอยู่ที่เกาะพระฤๅษี ถามว่า "พระอาจารย์ครับ กระผมสามารถพิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญาได้ทุกอย่าง ยกเว้นในเรื่องของผลไม้ เพราะว่าสุกหอมงอมอร่อยเห็นอยู่คาตา ไม่สามารถจะพิจารณาได้ว่าเป็นของสกปรกครับ" กระผม/อาตมภาพจึงตอบไปว่า "หลวงตาครับ ผลไม้ที่สุกหอมงอมอร่อยของหลวงตานั้น ความจริงแล้วกำลังเน่าอยู่นะครับ เพียงแต่ว่าเราเป็นคนแล้วเราฉลาด ปล่อยให้เน่ากำลังดี แล้วเราก็รีบเอามากินเสียก่อน ถ้าปล่อยให้เลยดีไปสักนิดเดียว คราวนี้ก็จะทนดูไม่ได้ เพราะว่าจะเขียวช้ำดำเหลือง แล้วก็หมดรสชาติ มีแต่กลิ่นเน่าขึ้นมาแทน" จึงทำให้หลวงตาท่านสามารถพิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญาในส่วนนี้ต่อไปได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-08-2023 เมื่อ 00:24 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
เมื่อเสร็จจากพิธีและถ่ายรูปหมู่รวมกันหมดแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ได้สนทนากับท่านเจ้าคุณกิติชัย - พระราชกิตติมงคล วิ. (กิตติชัย อภิชโย ป.ธ.๕) ซึ่งเป็นพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระ ในสังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุต ก็คือวัดโสมนัสวรวิหาร ที่ท่านมาแอบจับแขนถามว่า "หลวงพ่อเล็กปฏิบัติธรรมมากี่ปี ?" กระผม/อาตมภาพถามว่า "เจ้าคุณดูจากอะไรครับ ?" ท่านบอกว่า "ดูจากคำถาม"
"คำถามของหลวงพ่อส่วนใหญ่จี้ไปในจุดที่เขาผิดพลาดและบกพร่อง ต้องการที่จะให้แก้ไขจากร้ายให้กลายเป็นดี ลักษณะของการปฏิบัติธรรมก็จะเป็นเช่นนี้ เพราะว่าจะชี้ผิดชี้ถูกให้อย่างชัดเจน จะได้เปลี่ยนจากผิดมาเป็นถูก นักปฏิบัติธรรมมักจะเอาจริงเอาจังในลักษณะนี้เสมอ กระผมจึงฟันธงเลยว่า หลวงพ่อเล็กต้องเป็นนักปฏิบัติธรรมที่ทำมาอย่างเนิ่นนานแล้วเป็นแน่แท้" กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่หัวเราะ ท่านเจ้าคุณก็ช่างสังเกตจนเกินไป..! หลังจากนั้นก็ได้แยกย้ายกันไปที่พักของใครของมัน บางท่านก็ตรงไปพักที่วัดหนองหลวง อำเภอสว่างอารมณ์ จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งจะตรวจประเมินในวันพรุ่งนี้ บางท่านก็พักอยู่กับพรรคพวกเพื่อนฝูงในจังหวัดชัยนาทนี้เอง ส่วนกระผม/อาตมภาพนั้น ได้รับความเมตตาจากลูกศิษย์ คือ พระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ดร. ได้วิ่งมาจองรีสอร์ตเอาไว้ให้ล่วงหน้า เปิดเครื่องปรับอากาศไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อเข้าถึงที่พัก จึงได้รีบบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนนี้ไว้ก่อน เสร็จสรรพเรียบร้อยจะได้สรงน้ำสรงท่า ฉันยา แล้วนอนภาวนากันต่อไป สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-08-2023 เมื่อ 00:26 |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|