#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพได้รับนิมนต์ไปบรรยายในหัวข้อ "ความเชื่อเรื่องพระเครื่องและเครื่องรางในสังคมไทย" ที่วิทยาลัยนานาชาติปรีดีพนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์)
แต่ด้วยเหตุที่ว่าไปถึงก่อนเวลา จึงอยู่ในช่วงของรายการ "สาธิตการพิมพ์พระเครื่องและการปลุกเสกพระเครื่อง" เมื่อบรรดาพระวิทยากรต่าง ๆ เห็นเข้าก็กรูกันลงมา นิมนต์ให้กระผม/อาตมภาพขึ้นไปทำหน้าที่แทน จึงต้องทั้งพรมน้ำมนต์ เสกพระเครื่อง แจกวัตถุมงคล แล้วหลังจากนั้นจึงเป็นชั่วโมงบรรยายของตนเอง จากเนื้อหาที่เตรียมไปตามที่ได้ตกลงกันไว้แต่ต้น ก็คือกระผม/อาตมภาพต้องบรรยายตั้งแต่เที่ยงครึ่งจนถึงบ่ายสองโมง แต่ไม่ทราบว่าทางด้านผู้จัดนั้นมีการปรับเปลี่ยนอะไร จึงกลายเป็นว่ากระผม/อาตมภาพมีเวลาบรรยายแค่ ๓๐ นาทีเท่านั้น..! จึงต้องรวบรัดเนื้อหาลงมา จนกระทั่งถ้าเป็นบุคคลที่ไม่มีพื้นฐานแล้ว ก็ยากที่จะเข้าใจได้ ในเรื่องของเครื่องรางของขลังและพระเครื่องในสังคมไทยนั้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีอยู่ทั่วโลก ยกเว้นในส่วนของพระเครื่องที่นิยมกันในประเทศของเราแล้ว เครื่องรางของขลังหรือว่าสิ่งนำโชค เป็นความเชื่อถือของทุกชาติทุกภาษา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ในตอนแรกนั้นก็เป็นแค่เครื่องหมายบอกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นการเขียนสีตามลำตัว การใช้รอยสัก หรือว่าใช้วัสดุธรรมชาติจากพืช จากสัตว์ ในลักษณะเดียวกัน เพื่อบ่งบอกว่าเป็นเผ่าเดียวกัน แต่เมื่อนานไป มีบุคคลพิเศษซึ่งสามารถสัมผัสถึงพลังงานจากสิ่งต่าง ๆ ได้ แล้วรู้ว่าสิ่งไหนมีพลังงานมากกว่าก็เลือกเอาสิ่งนั้นมาติดตัว อยู่ในลักษณะของการเสริมพลังให้ตนเองก็ดี หรือว่ามอบให้แก่ผู้นำเผ่าติดตัว เพื่อเสริมพลังในการสู้รบเพื่อเผ่าของตนก็ดี จึงพัฒนาไปกลายเป็นเครื่องช่วยสร้างกำลังใจในการรบ ในส่วนที่พัฒนามาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน มีหลักมีฐานมากที่สุด ก็เกิดจากในส่วนของคัมภีร์ที่ ๔ ของศาสนาพราหมณ์ฮินดู ก่อนหน้านี้ พราหมณ์มีแค่ ๓ คัมภีร์เท่านั้น ก็คือ ฤคเวท ยชุรเวทและสามเวท แต่ว่าเมื่อมีบุคคลที่ได้รับการดลใจบ้าง ได้รับการติดต่อโดยตรงจากเทพเจ้าเหล่าเทวาทั้งหลายบ้าง มอบคาถาโน้นคาถานี้มาให้ อยู่ในลักษณะของรหัสบอกฝ่าย ก็คือ ถ้าใครภาวนาคาถานั้นก็ถือว่าเป็นพวกเดียวกันที่ต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ หรือว่ามอบสัญลักษณ์ต่าง ๆ มาให้ ถ้าหากว่าใครเขียนหรือสักไว้ตามร่างกาย ถึงเวลารำลึกถึงผู้มอบให้ ท่านก็จะส่งกำลังมาช่วยเหลือ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-06-2023 เมื่อ 03:18 |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
วิธีการเหล่านี้ เมื่อได้รับการบันทึกไว้มากเข้า..มากเข้า ก็กลายเป็นคัมภีร์พระเวทลำดับที่ ๔ นอกเหนือจากไตรเวท หรือว่าไตรเพทแต่เดิม กลายเป็นคัมภีร์อาถรรพเวท แล้วในส่วนของคัมภีร์อาถรรพเวทนั้น ส่วนใหญ่เป็นการให้ผลอย่างรวดเร็วทันใจ จึงทำให้มีคนศึกษามากขึ้น จนทำให้ก่อตั้งเป็นนิกายมันตรยาน แล้วก็แพร่กระจายออกไปตามประเทศต่าง ๆ แม้กระทั่งในบ้านเราเมืองเราก็เช่นกัน
เมื่อรับเอาส่วนของมันตรยานจากบรรดาพราหมณ์ต่าง ๆ ที่เดินทางไปเผยแผ่พระศาสนา แล้วนำมาปรับกับความรู้ความเชื่อเดิม ๆ ในท้องถิ่น อย่างเช่นว่า ถ้าทนเจ็บไม่ได้ในการสักยันต์ ก็เปลี่ยนเป็นมาเขียนยันต์แล้วพกติดตัว เป็นต้น สิ่งต่าง ๆ ที่นำมาเป็นเครื่องรางนั้น มีทั้งมาจากพืช มาจากสัตว์ และมาจากหินแร่ตามธรรมชาติ ส่วนที่มาจากพืช มาจากสัตว์นั้น ก็คือส่วนของพืชและสัตว์บางอย่าง ที่มีพลังพิเศษลงไปจับ ทำให้กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่าคดบ้าง ทนสิทธิ์บ้าง มีการเสื่อมสลายช้า จึงเชื่อมั่นกันว่ามีพลังพิเศษที่จะช่วยเหลือเราได้ อีกส่วนหนึ่งที่สร้างที่เสริมกันขึ้นมาก็อาศัยส่วนของสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ที่มีอำนาจ อย่างเช่นว่า เขี้ยวเสือกลวง เขี้ยวหมูตัน งาช้างกำจัด เป็นต้น เมื่อได้มาแล้ว ลงอักขระอาคมปลุกเสก เชื่อว่าจะมีฤทธิ์ขลังกว่าปกติ เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น โดยปกติก็มีความเหี้ยมหาญ สามารถที่จะต่อสู้กับศัตรู หรือว่าสามารถจับสัตว์อื่นกินเป็นอาหารได้อยู่แล้ว เมื่อเกิดขึ้นมาทั้งในส่วนของธรรมชาติและในส่วนที่สร้างเสริมขึ้นมา ในตำราต่าง ๆ ที่นำมาประยุกต์ก็ยังมีการเล่นแร่แปรธาตุ ซึ่งแต่เดิมนั้นหมายจะสร้างทองคำขึ้นมาจากการเล่นแร่แปรธาตุ แต่ก็ได้โลหะต่าง ๆ ที่มีความพิเศษ มีพลังงานสูง อย่างเช่นว่านวโลหะ สัตตโลหะ ปัญจโลหะ เป็นต้น หรือว่าได้เป็นเมฆสิทธิ์ เมฆพัตร แร่บางไผ่ ฯลฯ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว มีพลังพิเศษ ก็ได้รับการสร้างขึ้นมา ไม่ว่าจะอยู่ในลักษณะง่าย ๆ คือสร้างเป็นลูกอมก็ดี หรือว่าสร้างขึ้นมาเป็น พระเครื่อง พระปิดตา ก็ตาม ถือว่ามีพลังงานอยู่ในตัวสมบูรณ์แล้ว ถ้าได้ครูบาอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถ ทำการปลุกเสกเพิ่มขึ้น ก็เชื่อว่ามีพลังงานมากยิ่ง ๆ ขึ้นไป สามารถที่จะพลิกดวง เสริมดวง ช่วยให้มีความร่ำรวย หรือดึงดูดสิ่งดี ๆ เข้ามา เหล่านั้นเป็นต้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-06-2023 เมื่อ 03:20 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
เครื่องรางที่บุคคลสร้างขึ้นมาก็ยังแบ่งออกเป็นสองสาย ก็คือสายที่เรียกว่าไสยขาวหรือไสยศาสตร์ฝ่ายขาว กับสายที่เรียกว่าไสยดำหรือไสยศาสตร์ฝ่ายดำ ส่วนที่เป็นไสยขาว ได้แก่ การสร้างมีดหมอ ปรอทสำเร็จ ยาพระฤๅษี แมลงภู่คำ วัวธนู พระราหู เป็นต้น ในส่วนของไสยดำนั้น ส่วนใหญ่มาทางสายเสน่ห์ อย่างเช่นว่า น้ำมันพราย ปั้นเหน่ง กปาละ อิ้น งั่ง อีเป๋อ พญาเขาคำ ม้าเสพนาง เหล่านี้เป็นต้น
ส่วนในเครื่องของพระเครื่องนั้น กระผม/อาตมภาพบรรยายในช่วงหลัง เพราะว่าต้องการจะดึงสติของบรรดาผู้ฟังให้กลับมาอยู่กับพระรัตนตรัย ไม่อย่างนั้นบางท่านอาจจะเตลิดเปิดเปิงห่างไกลความดีไปเลย ในเรื่องของการสร้างพระเครื่องนั้น มีการสร้างเลียนแบบพระพุทธรูปสำคัญ อย่างเช่นว่าพระแก้วมรกต พระพุทธชินราช พระพุทธโสธร เป็นต้น หรือว่าสร้างเป็นรูปของพระเถระสำคัญในสมัยพุทธกาล อย่างเช่นว่าสร้างรูปพระมหากัจจายนะ ที่เรียกว่าพระสังกัจจายน์ เพราะเห็นว่าท่านอ้วนท้วนสมบูรณ์พูนสุข สร้างเป็นรูปพระสีวลี เพราะเชื่อว่าท่านเป็นเอตทัคคะทางโชคลาภ จะได้บันดาลโชคลาภให้แก่ตน สร้างเป็นรูปพระควัมปติ หรือว่าเป็นรูปพระปิดตา เนื่องเพราะว่าพระควัมปติเถระนั้นนิยมการเข้านิโรธสมาบัติ เมื่อบุคคลได้ทำบุญกับท่าน จึงมักจะร่ำรวยแบบฉับพลันทันที เป็นต้น อีกส่วนหนึ่งก็สร้างเป็นรูปหล่อ หรือว่าเหรียญของหลวงปู่หลวงพ่อที่ตนเองเคารพนับถือ ดังนั้น..ในเรื่องของสิ่งที่สร้างขึ้นมานั้น อันดับแรกเลยก็คือ ถ้าเน้นดีนอกดีใน ก็ต้องเริ่มตั้งแต่วัสดุ ส่วนที่ยากที่สุดก็คือการลบผง ๕ ประการที่เรียกว่าผงวิเศษ ได้แก่ ผงปถมัง อิทธิเจ มหาราช ตรีนิสิงเห และพุทธคุณ ถ้าหากว่าในเรื่องของการเล่นแร่แปรธาตุ ก็ดังที่ได้กล่าวมา ไม่ว่าจะเป็นนวโลหะ สัตตโลหะ หรือว่าเมฆสิทธิ์ เมฆพัตร แร่บางไผ่ เป็นต้น เมื่อได้วัสดุมาและได้แบบที่เป็นที่พอใจแล้วก็สร้างเสริมขึ้นมา แล้วก็ยังมีกำหนดกฎเกณฑ์ อย่างเช่นว่ามีข้อห้าม หรือข้อบังคับเอาไว้ อย่างเช่นห้ามด่าแม่คนอื่น ห้ามลักขโมยของคนอื่น ห้ามผิดลูกผิดเมียเขา เป็นต้น นี่ก็คือในส่วนของการแฝงการปฏิบัติตามหลักไตรสิกขาของพระพุทธเจ้าเอาไว้ เพราะว่าข้อห้ามเหล่านี้ก็คือศีล แล้วยังมีคาถาอาราธนาหรือว่าปลุกเสก ซึ่งเป็นส่วนของการสร้างสมาธิให้เกิดขึ้นกับเรา ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับปัญญาของแต่ละคน ว่ามีศีล มีสมาธิแล้ว จะพัฒนากาย วาจา ใจของตนให้มากขึ้นไปกว่านั้นได้มากเท่าไร
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-06-2023 เมื่อ 03:23 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
ตอนแรก ๆ นั้น ครูบาอาจารย์ที่ศึกษาความรู้เหล่านี้ ก็ศึกษาเพื่อฝึกฝนตนเอง อย่างเช่นว่าการท่องบ่นภาวนาพระคาถา การภาวนาเขียนเลขเขียนยันต์ การภาวนาลบผงวิเศษ เหล่านี้เป็นต้น เท่ากับบังคับให้ตนเองฝึกสมาธิอยู่ทุกวัน หลังจากนั้นเมื่อกระทำได้สำเร็จตามตำรา ก็มีการทดลองวิชาสร้างแค่ไม่กี่ชิ้น ส่วนใหญ่ก็มอบให้แก่บุคคลที่ตนเองรัก หรือว่าบางทีลูกศิษย์ลูกหาไปตื๊อมาก ๆ เข้าก็ต้องสร้างให้ลูกศิษย์ไว้ใช้งาน
หลังจากนั้น เมื่อสภาพสังคมของเราเปลี่ยนไป จากการที่บุคคลคือฆราวาส ช่วยกันสร้างวัดวาอารามถวายพระ กลายเป็นว่าชาวบ้านติดในเรื่องของการทำกิน ตกอยู่ในกระแสบริโภคนิยมจนไม่มีเวลาไปสนับสนุนวัด พระสงฆ์องค์เจ้าท่านก็ต้องสร้างวัตถุมงคล เพื่อที่จะนำเอาปัจจัยมาบูรณปฏิสังขรณ์วัด ที่ชัดเจนอย่างเช่นหลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ เมื่อท่านได้รับนิมนต์ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดกลางท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท่านประกาศเลยว่า "ข้าจะจารตะกรุดสร้างวัดให้พวกแกดู" แล้วท่านก็ทำได้สำเร็จจริง ๆ หลังจากนั้นขั้นตอนต่าง ๆ ก็พัฒนามา เนื่องเพราะมีผู้เห็นโอกาสว่าสามารถหาประโยชน์ได้ จึงเข้าไปอาสาหลวงปู่หลวงพ่อต่าง ๆ ในการจัดสร้าง มีการวางระบบว่าจะต้องจัดสร้างเท่าไร เปิดให้จองเมื่อไร ในราคาเท่าไร จะมีการปลุกเสกกันเมื่อไร จะมีการรับวัตถุมงคลเมื่อไร กลายเป็นระบบพุทธพาณิชย์อย่างในปัจจุบัน แต่ว่าหลายท่านก็ยังยึดรูปแบบเดิม ก็คือจะสร้างต่อเมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ นักวิชาการส่วนหนึ่งมักจะกล่าวหาว่า ไปทำให้บุคคลยึดติด โดยที่ลืมคิดไปว่าบุคคลนั้นมีหลายระดับ ระดับสูงก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติในธรรมบริสุทธิ์ไป ระดับกึ่งกลาง ยังต้องอาศัยเครื่องยึดโยง ก็จะได้มีอนุสติ คือระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยได้ ส่วนบุคคลเบื้องล่าง จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องช่วยกันลากช่วยกันจูงไป ก็ต้องอาศัยวัตถุมงคลเหล่านี้ ในการที่จะโยงเขาทั้งหลายเหล่านั้น ให้เริ่มปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา เบื้องต้น ดังนั้น..บุคคลที่กล่าวหาว่าการสร้างวัตถุมงคลทำให้ยึดติดนั้น นอกจากท่านเข้าไม่ถึงในอุปเท่ห์ที่โบราณาจารย์วางเอาไว้เพื่อดึงคนเข้าหาพระรัตนตรัยแล้ว ท่านยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งของกระผม/อาตมภาพได้กล่าวเอาไว้ ครูบาอาจารย์ท่านนั้น คือหลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปญฺโญ วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท่านกล่าวเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ติดวัตถุมงคล ดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-06-2023 เมื่อ 03:27 |
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|