กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 16-05-2023, 19:49
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,648
ได้ให้อนุโมทนา: 216,888
ได้รับอนุโมทนา 747,557 ครั้ง ใน 36,418 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๖


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 17-05-2023, 00:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,657
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,154 ครั้ง ใน 34,247 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพมีหลายเรื่องที่อยากจะพูดถึง เอากันแค่ตามเวลาก็แล้วกัน

เรื่องแรกเลยก็คือ ถ้าท่านทั้งหลายสังเกต จะเห็นว่านาคของเราหายไปหนึ่งคน ซึ่งความจริงแล้วยังไม่ถึงเวลาที่นาคจะเข้าวัด เพียงแต่ว่าทั้งสองคนมีความตั้งใจในการจะบวช แล้วมาเข้าวัดก่อนเวลา ก็ถือว่าเป็นความดีเฉพาะตัว แต่ด้วยความที่ทางวัดของเราต้องมีการสอบทวนกันก่อน ว่าเคยมีการบวชมาจากที่อื่นก่อนหรือไม่ ? แล้วมีติดอาบัติหนักมาจากที่อื่น อย่างเช่นปาราชิกหรือว่าสังฆาทิเสสหรือไม่ ? จึงทำให้ทราบว่า นาครูปหนึ่งของเรา โดนอาบัติปาราชิกจากการบวชครั้งที่แล้ว..! จึงทำให้ไม่สามารถที่จะบวชใหม่ได้

ความจริงสาเหตุก็มีนิดเดียว ก็คือครูบาอาจารย์มอบพระพุทธรูปให้หนึ่งองค์ ให้ไปเลือกเอาเอง ปรากฏว่าองค์ที่ไม่ได้มอบให้ ดูดีกว่า สวยกว่า ท่านก็เลยยกเอาไปโดยที่ไม่ได้บอกครูบาอาจารย์ด้วย ความมักง่ายแค่นี้ทำให้เรากลายเป็นผู้สูญเสียหนทางในการที่จะบรรลุมรรคผลไปทั้งชาติ เพราะว่าเมื่อต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ก็เหมือนกับตาลยอดด้วน เพราะว่ากำลังใจไม่ได้มีความมั่นคงต่อพระรัตนตรัย ทำให้เข้าถึงธรรมไม่ได้ จึงเป็นเรื่องที่พระภิกษุสามเณรของเราต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง

เราจะเห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรับอาบัติ แม้แต่เราที่ไปจับต้องข้าวเปลือกหรือผลไม้ที่ยังเกิดอยู่กับที่ ก็คือยังติดกับต้น ติดกับรวงอยู่ ก็เพราะเกรงว่าเราจะมีเถยยจิต คิดจะขโมย แค่จับแล้วเลื่อนออกจากที่แค่ ๑/๑๖ ของเส้นผม ถือว่าการกระทำนั้นสำเร็จลง ทำให้ขาดความเป็นพระไปเลย..!

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้บัญญัติเอาไว้ว่า แค่ลูบคลำก็โดนปรับอาบัติแล้ว เพราะว่ากำลังใจของคนเรานั้นเร็วมาก แล้วยิ่งถ้าหากว่ามีอกุศลกรรมหนุนเสริมด้วย ทำให้ขาดสติ แค่เกิดความอยากได้ แล้วหยิบของนั้นเคลื่อนออกจากที่แม้แต่นิดเดียว ก็ขาดความเป็นพระไปเลย ถือว่าเป็นบทเรียนที่เราท่านทั้งหลายสามารถที่จะรู้เห็นได้ด้วยตนเอง และต่อไปก็จะได้ระมัดระวังกัยให้มากยิ่งขึ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-05-2023 เมื่อ 01:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 17-05-2023, 00:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,657
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,154 ครั้ง ใน 34,247 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อีกเรื่องหนึ่งก็คือ มีญาติโยมอยู่ครอบครัวหนึ่ง ก็คือมีพ่อกับลูกสาวสามคนที่ยังเรียนหนังสืออยู่ คนเป็นพ่อขับรถไปส่งลูก แล้วโดนแท็กซี่ฝ่าไฟแดงพุ่งมาชน ต้องเข้าผ่าตัดสมอง จนป่านนี้ก็ยังเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ แล้วบรรดาลูก ๆ ก็เกิดวิตกจริต หมอบอกว่าถ้าพ่อยังไม่สามารถที่จะฟื้นขึ้นมาได้ ก็ต้องมีการเจาะคอ เพื่อช่วยการหายใจ ถ้าเจาะคอแล้ว พ่อจะพูดไม่ได้..!

เรื่องพวกนี้ ถ้าโบราณเขาใช้คำว่า "ตีตนไปก่อนไข้" ก็คือยังไม่ทันจะเป็นไข้เลย เหมาเอาว่าตัวเองเป็นไปแล้ว ในเรื่องของการรักษานั้น ทุกอย่างต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอ อะไรที่ทำแล้วดีขึ้น หรือว่ามีโอกาสที่จะดีขึ้นก็ต้องทำ แล้วขณะเดียวกันก็ไม่ควรที่จะมานั่งคิดเหมือนกับแช่งผู้ป่วย ว่าจะต้องกลายเป็นเจ้าชายนิทรา ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว

เรื่องพวกนั้นก็เหมือนกับบางท่าน ที่ไปฟุ้งซ่านกับการที่บรรดาพรรคต่าง ๆ กำลังจะจัดตั้งรัฐบาล สารพัดที่จะคิดไปล่วงหน้าว่าจะออกมาสูตรไหน ? นั่นเป็นเรื่องของนักการเมืองให้เขาคิดกันไป ไม่ใช่พวกเรามาคิดกันเอง..!

พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนแล้ว อตีตํ นานุโสจนฺติ นปฺปชปฺปนฺติ นาคตํ ปจฺจุปฺปนฺเนน ยาเปนฺติ ก็คืออย่าไปกังวลถึงอดีต แล้วก็อย่าไปฟุ้งซ่านถึงอนาคต กำลังใจต้องอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น โอกาสที่จะเข้าถึงมรรคผลจึงจะมีได้

ในเรื่องของครอบครัว ถ้าหากว่าฟุ้งซ่านไป ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องที่น่าตำหนิ โดยเฉพาะยังเป็นเด็ก กำลังใจยังไม่มั่นคง ก็ต้องมีกังวลเป็นธรรมดา แต่เรื่องของการเมืองนี่ไม่น่าจะเกี่ยวกับพระเณรของเรา เพราะฉะนั้น..ก็ปล่อยให้เขาฟุ้งซ่านกันไปเอง อย่าไปคิดแทน เพราะถ้าเราฟุ้งซ่านแล้วเสียกำลังใจเมื่อไร ก็แปลว่าเราหาเรื่องเดือดร้อนเอง รัก โลภ โกรธ หลง ประเดประดังเข้ามา รับมือไม่ทัน เดี๋ยวก็เสียผู้เสียคนไปอีก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-05-2023 เมื่อ 01:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 17-05-2023, 00:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,657
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,154 ครั้ง ใน 34,247 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อีกเรื่องหนึ่งก็คือกระผม/อาตมภาพเพิ่งจะได้ออกบิณฑบาตมาแค่สองวัน บวชมาสามสี่สิบพรรษา ปกติแล้วเคยขาดบิณฑบาตไม่ถึงสิบครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นการขาดบิณฑบาตที่นานที่สุด เพราะว่าผ่าตัดที่เท้ามาทำให้เดินไม่ถนัด แม้แต่ตอนนี้ พอเดินก็ยังรู้สึกตึง ๆ อยู่ แต่ว่าจำเป็นต้องเดิน เพราะว่าถ้าไม่เดิน พังผืดยึดก็จะทำให้เดินยากขึ้นไปอีก

แต่คราวนี้สิ่งที่ได้คืนมาก็คือระบบการปฏิบัติธรรมของตนเอง เพราะว่าโดยปกติแล้วกระผม/อาตมภาพก็จะภาวนาตั้งแต่เริ่มออกจากกุฏิ จนกว่าที่จะบิณฑบาตจบ ก็จะมีการกำหนดไว้ว่า ในแต่ละช่วง แต่ละตอน จะภาวนาคาถาอะไร ? ภาวนากี่จบ ?

เรื่องพวกนี้ กระผม/อาตมภาพทำมาตั้งแต่สมัยเพิ่งจะบวชที่วัดท่าซุง เพียรพยายามเป็นอย่างยิ่งว่า ตั้งแต่ก้าวแรกที่ออกจากกุฏิ จนกระทั่งเดินกลับถึงวัด เราจะไม่ให้กำลังใจหลุดไปจากการภาวนา ปรากฏว่าหลุดทุกครั้ง..! จนกระทั่งผ่านไปเป็นพรรษา กำลังของสติสมาธิถึงได้ทรงตัว

วันแรกที่สามารถเดินตั้งแต่ก้าวแรกจนกระทั่งกลับถึงวัดโดยไม่ฟุ้งซ่านไปไหน อยู่กับการภาวนาได้โดยตลอด เป็นวันที่มีความสุขมาก เพราะรู้ว่ากำลังของเราพอที่จะสู้กิเลสได้แล้ว ไม่อย่างนั้นแล้วเวลาเดิน พุทไม่ทันจะโธ ก็ฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่นแล้ว ดังนั้น..ทุกวันนี้จึงเคยชินกับการเดินบิณฑบาตและภาวนาไปด้วย เมื่อไม่ได้บิณฑบาตหลาย ๆ วัน ก็ทำให้ต้องมาเปลี่ยนเป็นภาวนาโดยการนั่งบ้าง นอนบ้าง ซึ่งไม่เหมือนกับการเดิน

การภาวนาเวลาเดิน ถ้ากำลังใจทรงตัวแล้วจะหลุดยากมาก เนื่องเพราะว่าเราทำได้ในตอนที่เคลื่อนไหวอยู่ หลายท่านที่เวลานั่งหรือนอนภาวนาแล้วได้ดี ให้ลองสังเกตดูว่า ทันทีที่เราเปลี่ยนอิริยาบถไปทำอย่างอื่น ก็มักจะหลุดจากการภาวนาไปเลย ดังนั้น..ถ้าจะว่าไปแล้ว การเดินบิณฑบาตสำหรับกระผม/อาตมภาพ ก็คือการเดินจงกรมภาวนานั่นเอง เพียงแต่ว่ามีการทำกิจกรรมอื่น ก็คือบิณฑบาตไปด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-05-2023 เมื่อ 01:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 17-05-2023, 00:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,657
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,154 ครั้ง ใน 34,247 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กรรมฐานที่ได้จากการเคลื่อนไหวนั้นเป็นกรรมฐานที่เสื่อมยาก เพราะว่าปกติแล้วเราต้องนั่งนิ่ง ๆ ในเมื่อเคลื่อนไหวก็ทำได้ ทำให้ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด เราก็ภาวนาได้ จึงมีครูบาอาจารย์หลายท่านที่บอกกล่าวอย่างชัดเจนว่า "ถ้าผู้ใดก็ตาม ต้องรอให้นั่งอย่างเป็นงานเป็นการก่อน ใจถึงจะสงบ ยังห่างไกลจากมรรคผลอีกมาก" เพราะว่ากิเลสกินเราทุกเวลา ทุกนาที แต่เราต้องรอให้ไปนั่งอย่างเป็นทางการ ถึงจะเอาชนะกิเลสได้ ซึ่งมีเวลาก็ไม่ได้มาก ก็แปลว่าเราแพ้กิเลสอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากเวลาที่เราทำอย่างอื่นในแต่ละวันนั้นมีมากกว่า

จึงฝากไว้เป็นข้อคิดสำหรับท่านทั้งหลายว่า ลองเอาสติเข้าไปควบคุมในเวลาที่เราทำงานทำการประจำวันของตัวเอง ให้ความรู้สึกอยู่กับลมหายใจเข้าออกและคำภาวนา ส่วนงานอื่นเราก็ทำของเราไปตามปกติ แล้วลองดูว่าต้องใช้เวลานานเท่าไร ? จึงสามารถที่จะรักษาอารมณ์ใจได้ยาวนานตามที่ตนเองต้องการ หรือว่าต้องใช้ระยะเวลานานเท่าไร ? จึงสามารถทรงการภาวนาโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องบังคับก็เป็นไปเอง ถ้าสามารถทำถึงตรงนี้เมื่อไร เราจะเริ่มมีโอกาสชนะกิเลสได้บ้าง

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๑๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-05-2023 เมื่อ 01:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:27



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว