| 
	|||||||
| เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป | 
![]()  | 
	
	
| 
		 | 
	คำสั่งเพิ่มเติม | 
| 
		 
			 
			#121  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนมาก ต้องรักษาสุขภาพให้ดี โดยเฉพาะคนแก่กับคนป่วย พลาดเมื่อไรก็ไปเลย ส่วนใหญ่อากาศเปลี่ยน สภาพร่างกายมักรับไม่ไหว อาตมาก็เป็นหวัดไปครึ่งเดือนกว่า เพราะว่าอากาศจาก ๒๐ กว่าองศาเซลเซียส ลดฮวบไปเหลือ ๑๒ องศาเซลเซียส  ไม่ตายก็ดีแล้ว ๑๕ วันสรงน้ำสองครั้ง แทบจะแตะน้ำไม่ได้เลย  
		
		
		
		
		
		
			ระยะหลัง ๆ นี้ โรคภัยไข้เจ็บก็แรง ปกติสมัยก่อนเป็นหวัด เป็นวันนี้พรุ่งนี้ก็หายแล้ว สมัยนี้เป็นหวัดครั้งหนึ่ง ๑๐ วัน ๒๐ วัน บางทีเป็นเดือนกว่าที่จะหาย เพราะเชื้อโรคดื้อยามากขึ้น มีพัฒนามากขึ้น สมัยช่วงหลายศตวรรษก่อน ทางด้านยุโรปโรคไข้หวัดใหญ่ระบาด ตายกันไปทีเป็น ๑๐ ล้านคน เพราะว่าสมัยนั้นยังไม่รู้จักเชื้อโรค สมัยนี้ก็ยังไม่รู้จักเชื้อโรค เหตุที่ไม่รู้จักเพราะว่าเล็กเกินไป ไม่รู้ว่าจะเอาเครื่องมืออะไรไปส่องให้เห็นหน้าชัด ๆ เรารู้จักแต่แบคทีเรีย ส่วนไวรัสก็ได้แต่ตั้งชื่อว่าสายพันธุ์โน้น สายพันธุ์นี้ จะเอาความรู้เกี่ยวกับเชื้อโรคอย่างแท้จริงก็ยังเป็นไปไม่ได้ เชื้อโรคพัฒนาเร็ว ต้องบอกว่าเกิดจากกรรมที่เรากระทำ เพราะว่าเราทำกรรมไว้ โดยเฉพาะเศษกรรมปาณาติบาต ถึงเวลาจึงต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ฉะนั้น...ต่อให้การแพทย์พัฒนาไปถึงระดับไหน ยาพัฒนาไปถึงระดับไหน โรคภัยไข้เจ็บก็จะแซงหน้าไปเสมอ เพราะว่าเกิดจากกรรมที่เราสร้างมาเอง" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-01-2018 เมื่อ 13:27  | 
| สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#122  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			"ในส่วนนี้ถ้าเรารู้จักพิจารณา จะเห็นความน่ากลัวของการเวียนว่ายตายเกิด ว่าพวกเราเหมือนกับเดินอยู่บนกองทุกข์อยู่ตลอดเวลา ไฟแห่งความทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย แผดเผาเราอยู่ตลอดเวลา แต่เรามักจะปัญญาไม่ถึง ในเมื่อปัญญาไม่ถึง มองไม่เห็น ก็ไปคิดว่าการเกิดมานั้นดี  
		
		
		
		
		
		
			ถ้าเป็นไปได้ให้พยายามตัดละทุกอย่างในโลกนี้ให้เหลือน้อยที่สุด ถึงวาระเราจะได้เบากายเบาใจที่สุด ถ้าไม่สามารถไปถึงที่สุดได้ แค่ไม่ต้องลงมาเกิดได้ก็วิเศษเหลือล้นแล้ว แต่ถ้าไปถึงที่สุดไม่ได้ ต้องลงมาเกิดใหม่อีก ก็อย่าให้ถึง ๗ ครั้ง ครั้งเดียวก็ไม่ไหวแล้ว โดยเฉพาะถ้าสร้างเวรสร้างกรรมมามาก ๆ อย่างอาตมา ครั้งเดียวเขาก็ทวงอ่วมอรทัยแล้ว ส่วนใหญ่พวกเราก็สร้างบุญ ไม่ว่าจะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนา แต่เป้าหมายต่างกันไป เหมือนอย่างกับในพระไตรปิฎก นางวิสาขามหาอุบาสิกาเห็นบรรดาผู้หญิงอายุมากก็มี วัยกลางคนก็มี เป็นสาวใหญ่ก็มี เป็นสาวน้อยก็มี มาถือศีลอุโบสถกันเยอะแยะ ก็เลยเข้าไปถามว่าท่านทั้งหลายทั้งปวงถือศีล หวังประโยชน์อะไร ? ปรากฏว่าได้ยินแล้วผิดหวังสุด ๆ สตรีอายุมากบอกว่ามารักษาศีลปฏิบัติธรรม เพื่อหวังจะให้ลูก ๆ มีความเจริญรุ่งเรือง ท่านที่เป็นสาวใหญ่หน่อย ก็ขอให้คู่ครองของตัวเองแข็งแรง ทำมาหากินเจริญรุ่งเรือง สามารถสร้างครอบครัวได้มั่นคง มีบุตรมาก ๆ บรรดาพวกสาว ๆ ก็ขอให้ตัวเองทำมาหากินรุ่งเรือง ให้ครอบครัวมีความสุข ให้มีลูกชาย ให้ลูกของเราได้แต่งงานกับบุคคลที่มีฐานะเท่าเทียมกัน" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-01-2018 เมื่อ 09:20  | 
| สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#123  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			"ถามพวกสาวน้อยก็หวังว่าตนเองจะได้แต่งงานกับชายหนุ่มที่มีฐานะเท่าเทียมกัน มีความสุขในการครองเรือนของตน ไปกันคนละทิศคนละทาง แต่ว่าทั้งหมดไม่ได้มุ่งถึงการหลุดพ้นเลย จึงทำให้เห็นชัดว่า แม้แต่สมัยพุทธกาล คนที่เข้าวัดปฏิบัติธรรมก็ไม่ได้แปลว่าจะหวังการพ้นทุกข์ทั้งหมด เพราะว่าขึ้นอยู่กับกำลังใจของแต่ละคน 
		
		
		
		
		
		
			ในสมัยปัจจุบัน ส่วนใหญ่แล้วพวกเราจะเป็นบุคคลส่วนน้อย ที่เข้าวัดถือศีลปฏิบัติธรรม ไม่ต้องดูอะไรมาก ดูในครอบครัวอย่างหนึ่ง กับดูในที่ทำงานอย่างหนึ่ง จะเห็นชัดว่าพวกเรากลายเป็นผู้แปลกแยกจากสังคม สิ่งที่เราทำคนอื่นไม่เห็นว่าดี ก็โดนเขาถากถางเอาบ้าง เสียดสีเอาบ้าง เยาะเย้ยเอาบ้าง อาตมาโดนมาตั้งแต่เด็ก เขาว่าเป็นเด็กเป็นเล็กเข้าวัดไปทำอะไร รอแก่ ๆ แล้วค่อยไป บางคนบอกไปนั่งกรรมฐานระวังจะบ้าเอานะ..! ก็แล้วแต่เขาจะว่า สำคัญตรงที่เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้น ทำแล้วได้อะไร ? ในเมื่อรู้อย่างนั้นแล้ว ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำไป ไม่ต้องสนใจคำพูดของใคร" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-01-2018 เมื่อ 13:27  | 
| สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#124  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม :  หมอดูบอกว่าปีนี้เป็นปีชงของตัวเองค่ะ  จะแก้อย่างไรคะ ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : เลิกกินกาแฟก็ไม่ต้องชง...! จบไป ถ้าเป็นตำราอาตมาไม่มีปัญหา ใครปีชงก็แค่เลิกกินกาแฟ ก็ไม่ต้องชงแล้ว ไปกินกาแฟปั่นแทนก็ได้...! เรื่องพวกนี้อยู่ที่กำลังใจของเรา ถ้าไม่หวั่นไหวก็ไม่มีผลอะไร ถ้าหวั่นไหวก็กลายเป็นแช่งตัวเอง ไปตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไป ไม่มีอะไรน่ากังวลหรอก ปีชงเป็นเรื่องของคนจีน เราอยู่ประเทศไทยอย่าไปสนใจมากนัก อย่าไปซื้อตั๋วเครื่องบินให้ ก็มาชงเราไม่ได้เองแหละ 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2018 เมื่อ 03:49  | 
| สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#125  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "การจองไม้ถือหรือไม้ครู เมื่อวานมีคนถามว่าทำไมทำน้อย ?  มีด้วยสาเหตุ ๒ ประการ ประการแรกคือชนวนมีจำกัด  เราต้องนึกว่าไม้ถือ ๔๙ อัน ก็คือเนื้อเงิน ๔๙ กิโลกรัม เกิน ๔๙ กิโลกรัมเพราะมีด้านปลายของไม้ครูด้วย หัวหนักกิโลหนึ่ง  ประการที่สอง คือ ตะกรุดมหาสะท้อนมีเหลืออยู่จำกัด จึงทำได้แค่นั้น"
		 
		
		
		
		
		
		
			
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2018 เมื่อ 03:50  | 
| สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#126  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์เตือนโยม  "ถึงเวลาเลี้ยวเข้ามาได้แล้ว อย่ามัวแต่ทำมาหากินเพลิน จะทำให้ห่างความดีจนเกินไป"
		 
		
		
		
		
		
		
			
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2018 เมื่อ 03:50  | 
| สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#127  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "เมื่อวันงานพุทธาภิเษกวัตถุมงคลรุ่นแรงครู ๑๑๒ ปีหลวงพ่อกวย เพิ่งเห็นหลวงพ่อกวยเป็นพระนารายณ์ ๘ กรก็วันนั้นแหละ  ท่านจำเป็นที่ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะว่าลูกศิษย์ลองของกันอุตลุด ท่านเองเห็นใครไม่ไหวก็ช่วยกันให้เขา ข้างโน้นที ข้างนี้ที ข้างนั้นที ก็เลยเป็นนารายณ์ ๘ กรไปเลย  ที่ขำก็คือ ๘ มือยังจะกันไม่ไหว  
		
		
		
		
		
		
			ลูกศิษย์ของขึ้นกันเหลือเกิน ทำไมชอบเล่นคนอื่นกันจริง ? ถ้าเจอลูกศิษย์เฮี้ยน ๆ อย่างนี้ อาจารย์ปวดหัวตายเลย ลองกันไปลองกันมา ท่านก็ช่วยคนโน้น ช่วยคนนี้ เป็นอะไรที่เห็นแล้วคิดว่า..ถ้าลูกศิษย์กูเป็นอย่างนี้ เตะแม่..เลย..! ...(หัวเราะ)..." 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2018 เมื่อ 03:49  | 
| สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#128  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : เมื่อวานตอนเช้า เห็นภาพที่ไม่เคยเห็น ....(ไม่ชัด).... 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : เรื่องพวกนี้ไม่ต้องไปกังวล ถ้าเรามั่นคงในคุณพระรัตนตรัย อันตรายอื่น ๆ ทำได้ยาก เพียงแต่ว่ากำลังใจของเราให้เราเกาะพระ นึกถึงวัตถุมงคลอยู่ตลอดเวลา ถาม : ....(ไม่ชัด).... ตอบ : แนะนำให้ท่านสวดมนต์ไหว้พระ หาวัตถุมงคลให้แม่แขวนบ้าง ถาม : มีบทสวดแนะนำไหมคะ ? ตอบ : อิติปิ โสฯ นั่นแหละ...สวดเข้าไป ป้องกันอันตรายได้ ๓ โลกเลย 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2018 เมื่อ 03:50  | 
| สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#129  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม :  เก็บบ้านเจอปฏิทินรูปพระเก่า ๆ ควรทำอย่างไรคะ ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : จำเริญด้วยไฟหรือจำเริญด้วยน้ำ จำเริญด้วยน้ำสมัยนี้ไปลอยเข้า เดี๋ยวก็เจอเทศบาลปรับอ่วม ให้ขอขมาพระแล้วก็เผาไป ถาม : รูปในหลวง ? ตอบ : เหมือนกัน แต่ถ้ารูปในหลวงหรือรูปพระ เราไปเผาให้ใครถ่ายรูปไว้ มีหวังเจอ ม.๑๑๒ แน่ ๆ 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2018 เมื่อ 03:51  | 
| สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#130  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			มีเด็กมาถวายสังฆทาน  "หูกางดีจริง โตขึ้นให้ทำหน้าที่เก็บเงินนะ พวกหูกาง ๆ นี่เก็บเงินอยู่ทุกราย ตำราโหงวเฮ้งว่าเพราะหูต้านลม เงินลอดไปไม่ได้หรอก กางรับไว้หมด"
		 
		
		
		
		
		
		
			
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2018 เมื่อ 03:52  | 
| สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#131  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "เรื่องการหล่อพระพุทธรูปวัดท่าขนุน ถ้าตามที่พระท่านสั่ง ก็คือหล่อหลวงพ่อทองคำองค์เดียว แต่คราวนี้ระยะเวลาดำเนินการนานมาก เพราะว่าเริ่มโครงการปี ๒๕๕๖ จนถึงปัจจุบันนี้ก็ปีที่ ๕ จะขึ้นปีที่ ๖ อยู่แล้ว อาตมาจึงทำการหล่อพระเนื้ออื่นไปด้วย 
		
		
		
		
		
		
			เรื่องของหลวงพ่อทองคำ พอจะเอาพระพุทธรูปที่ในหลวงรัชกาลที่ ๗ พระราชทานให้หลวงปู่พุกไว้ที่วัดท่าขนุน ๒ องค์ตั้งซ้ายขวา พอลองเอาประกบเข้าไปแล้วดูไม่ได้เลย เนื่องจากว่าพระพุทธรูปรัชกาลลงรักปิดทองมาระยะเวลายาวนานหลายสิบปี จึงล่อนจนกระดำกระด่างหมดแล้ว จึงตัดสินใจว่า จะทำแท่นถวาย ๒ องค์ท่านต่างหาก ส่วนด้านบนเพื่อจะให้เสมอกันก็ควรจะเป็นพระที่หล่อใหม่เหมือนกัน จึงตัดสินใจหล่อหลวงพ่อนากกับหลวงพ่อเงินเพิ่มขึ้นมาอีก ๒ องค์ เป็นโครงการทำงานที่นานมากสำหรับอาตมา ไม่เคยวางโครงการอะไรหลายปีขนาดนี้มาก่อนเลย กราบเรียนถามพระท่านว่า "ถ้าได้ทองพอแล้วหล่อเลยได้ไหม ?" ท่านบอกว่า "ไม่ได้..ต้องตามเวลา" เพราะว่าพระพุทธรูปองค์นี้ถ้าหากว่าหล่อเสร็จ สถานการณ์บ้านเมืองของเราจะค่อย ๆ ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ พูดง่าย ๆ คือจะเป็นขาขึ้น แต่ตอนนี้ต้องปล่อยให้ลงไปก่อน" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 04-03-2019 เมื่อ 02:42  | 
| สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#132  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			"เมื่อวานญาติโยมจองไม้ถือหรือไม้ครูกัน  ก็ต้องบอกว่าเท่ากับทุกคนมีส่วนร่วมในการหล่อหลวงพ่อทองคำ   
		
		
		
		
		
		
			ในส่วนของไม้ครูนี้ก็ต้องรอ เพราะว่าการบรรจุตะกรุดแล้วอุดผงนั้น จะต้องรอฤกษ์ที่เหมาะสมด้วย คราวที่แล้วฤกษ์ผ่านไป เพราะว่าทำไม่ทัน เนื่องจากว่าผู้ดำเนินการอยากจะให้สวยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก็เลยต้องไปค่อย ๆ สู้กับทางโรงงาน จนโรงงานเขาเบื่อขี้หน้าเต็มทีแล้ว เนื่องจากว่าเราทำแค่ไม่กี่อัน เขาหล่อไปก็ได้ไม่กี่บาท แต่งี่เง่ากับเขามากเหลือเกิน...ประมาณนั้น ในส่วนของหัวและปลายที่เป็นเงิน ก็คือเงินชนวนจากการหล่อสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเงินขนาด ๙.๙ นิ้ว กับเนื้อเงินที่เป็นชนวนจากหลวงพ่อเงินองค์แรกที่เราหล่อไปแล้ว ขนาดนั้นรวมกันแล้วก็ยังไม่พอ ต้องเพิ่มเม็ดเงินเข้าไปอีกหลายกิโลกรัมถึงได้ครบ ๔๙ อัน ส่วนที่บอกว่าเป็นทองเหลืองนั้น ความจริงก็คือโลหะชนวนจากการหล่อสมเด็จองค์ปฐมวัดท่าขนุนส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเป็นวัตถุมงคลของครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมีดหมอ ไม่ว่าจะเป็นแหวน เป็นกำไล ฯลฯ อาตมาเอาหลอมลงไปทำเป็นชนวนเป็นร้อยรายการ ต้องบอกว่าลงทุนแพงมาก" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2018 เมื่อ 04:00  | 
| สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#133  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "ถ้าเราคิดว่าเงินกับทองเป็นโลหะมีค่า ความจริงมีของที่มีค่ามากกว่านั้นเยอะ  เพียงแต่ว่าบางอย่างต้องใช้วิธีการทางด้านวิทยาศาสตร์สกัดขึ้นมา และต้องทุ่มเทงบประมาณมหาศาล แต่ทำได้นิดเดียว ก็เลยกลายเป็นของแพงโดยใช่เหตุ  ถ้าใครอยากรู้ว่ามีอะไรบ้างลองไปค้นหาในอินเตอร์เน็ตดู วัตถุที่มีค่ามากกว่าทองอะไรประมาณนั้น 
		
		
		
		
		
		
			เรื่องของทองคำเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ว่า ทำไมบุคคลทุกยุคทุกสมัยจึงถือว่าทองคำเป็นโลหะมีค่า ? อาจเป็นไปได้ว่าทองคำไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ไม่เป็นสนิม และที่แปลกยิ่งกว่านั้นก็คือ ต่างดาวเขาก็ถือว่าทองคำเป็นของมีค่าด้วยเช่นกัน" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2018 เมื่อ 04:01  | 
| สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#134  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม :  หนูสวดมนต์  จะอัญเชิญเทวดาบ้าง  เจ้ากรรมนายเวรบ้างมาร่วมสวด เมื่อคืนฝันแปลก ๆ  ฝันว่ามีคนพยายามจะเข้ามาอยู่ด้วย ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : ฝันก็คือฝันจ้ะ ถาม : ไม่เกี่ยวใช่ไหมคะ ? ตอบ : เราทำความดีทำอะไรเป็นเรื่องปกติ พรหมเทวดาเขายินดี เต็มใจโมทนาด้วยอยู่แล้ว ในฝันท่านอาจจะบอกเหตุด้วยซ้ำไปว่าอาจจะมีคนคิดร้ายกับเรา ฉะนั้น...ให้เราตั้งหน้าตั้งตารักษาความดีเอาไว้ บุญกุศลจะได้รักษาเราได้ ลักษณะนี้โบราณเขาเรียกว่าเทพสังหรณ์ เทวดาบอกเหตุให้รู้ เราเองเชิญท่านมาสวดมนต์ประจำ ถึงเวลามีอะไรเกิดขึ้นท่านก็พยายามใบ้ให้รู้ ไม่มีอะไรน่าห่วง รักษาความดีของเราเอาไว้ก็พอ ถาม : แสดงว่าที่หนูฝันว่ามีคนพยายามจะเข้ามาอยู่ด้วย นี่คือ... ? ตอบ : "อาจจะ" มีคนคิดไม่ดีกับเรา อะไรก็ช่างเถอะ เทวดาท่านถึงพยายามบอกใบ้ ไม่มีอะไรน่ากลัว ถาม : ทำต่อไปได้ใช่ไหมคะ ? ตอบ : ทำต่อไป รักษาความดีให้สม่ำเสมอไว้ ถาม : หนูไม่สบายใจเลย มีคนทักว่าหนูโดนสวรรค์สาปมา จริงหรือเปล่าคะ ? ตอบ : ดี...ให้สาปบ่อย ๆ พวกนี้พูดไปเรื่อยเปื่อย เราไปเชื่อเขาก็บ้า..! เราโดนสวรรค์สาปไม่ให้ขึ้นสวรรค์ เราก็ไปพระนิพพานของเราอย่างเดียว จะไปเชื่ออะไรเขามากมาย 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2018 เมื่อ 15:43  | 
| สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#135  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			โยมถวายครีมทาเท้า  "เปลี่ยนเป็นทาหน้าได้ไหม ?  อะไรที่ดีสำหรับโยม  ไม่ได้แปลว่าจะดีสำหรับพระ แหม...ผลิตครีมมาให้พระใช้โดยเฉพาะ 
		
		
		
		
		
		
			เรื่องครีมทาเท้า ความจริงพระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้ใช้ แต่ว่าสมัยก่อนท่านให้ใช้น้ำมันทา พอล้างเท้าสะอาด เช็ดแห้งแล้วเอาน้ำมันทากันเท้าแตก เพราะว่าเดินทางไกลกันบ่อย โดยเฉพาะเดินเท้าเปล่า เมื่อเป็นในลักษณะอย่างนั้น สมัยนี้ก็อนุโลมให้ใช้ครีมได้ แต่ขออยู่อย่างเดียวว่า อย่าให้มีกลิ่นหอม ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะพาให้พระผิดศีลขึ้นมาอีก" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2018 เมื่อ 19:51  | 
| สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#136  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า   "เรื่องของนักร้องที่มีเรื่องมีราวทำร้ายภรรยาตัวเอง และยิงปืนขึ้นฟ้าในวัด  ทำให้นึกถึงดาราหรือนักร้องรุ่นเก่า ๆ  ซึ่งจะรักษาชื่อเสียงเกียรติยศของตัวเองมากเป็นพิเศษ ไม่ยอมให้มีอะไรเสียหาย  
		
		
		
		
		
		
			ถ้าหากว่าจะดูตัวอย่างก็คุณสมบัติ เมทะนี ต้องบอกว่าใครจะให้คุณสมบัติเป็นครอบครัวตัวอย่างก็ได้ เป็นดาราที่ได้รับการบันทึกในกินเนสบุ๊กว่าเล่นหนังเป็นพระเอกมากที่สุดในโลก ประมาณ ๖๐๐ กว่าเรื่อง มีชื่อเสียงทั้งในการแสดงและในชีวิตจริง เพราะว่าครอบครัวอบอุ่น ทำตัวอยู่ในกรอบ การประพฤติปฏิบัติทุกอย่างเป็นแบบอย่างที่ดีกับคนอื่นเขาได้ ฝ่ายหญิงก็คุณพิศมัย วิไลศักดิ์ สมัยนี้เรียกว่า "คุณยายหมี" กันแล้ว เป็นแบบอย่างให้รุ่นน้อง รุ่นลูก รุ่นหลานประพฤติปฏิบัติตาม เป็นดาราที่ไม่เคยมีความเสียหายด่างพร้อยอะไรเลย ทางด้านนักร้องอย่างคุณชรินทร์ นันทนาคร ก็เหมือนกัน อยู่มาจนป่านนี้แล้วก็ยังรักษาชื่อเสียงที่ดีงามเอาไว้ได้ โดยเฉพาะในเรื่องการมีครอบครัว คุณชรินทร์แต่งงานกับดาราอันดับ ๑ ในยุคนั้นคือ คุณเพชรา เชาวราษฎร์ แต่คราวนี้คุณเพชราเล่นหนังมาก สมัยก่อนมีการยกรีเฟล็กซ์สะท้อนแสงใส่หน้าทุกวัน จนสายตาเสีย ตาบอดไปเลย คุณชรินทร์ก็ยังดูแลภรรยาเป็นอย่างดีตลอดมา ถึงขนาดมีคนถามว่าภรรยาตาบอดแล้วทำไมไม่หาใหม่ ? คุณชนินทร์บอกว่าในสมัยก่อนที่ไปจีบคุณเพชรา ตัวเองเป็นคนที่มีคุณสมบัติด้อยที่สุด ชื่อเสียงก็สู้เขาไม่ได้ เงินทองก็สู้เขาไม่ได้ วงศ์ตระกูลก็สู้เขาไม่ได้ แต่ในเมื่อคุณเพชรารักตอบ ตัวเองต้องฝ่าฟันสารพัดอุปสรรค กว่าจะได้มาก็ยากเย็นแสนเข็ญ จึงต้องรักษาไว้ให้ดีที่สุด" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2018 เมื่อ 02:15  | 
| สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#137  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			"พอมาเปรียบเทียบกับนักร้องหรือดาราในสมัยปัจจุบัน หลายคนเป็นขวัญใจมหาชน  ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า ไอดอล ไม่สามารถที่จะรักษาชื่อเสียงหรือความดีให้สม่ำเสมอเหมือนกับคนรุ่นเก่าได้ เพราะว่าขาดจิตสำนึกว่าตนเองเป็นแบบอย่างของคนอื่น  
		
		
		
		
		
		
			ในเมื่อขาดจิตสำนึกว่าตนเองเป็นแบบอย่างของคนอื่น คนอื่นเลียนแบบความประพฤติของเรา ก็ทำอะไรตามใจตัวเอง จนกระทั่งกลายเป็นข่าวคราวในทางที่ไม่ดี แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ ขนาดว่าโดนตำรวจจับดำเนินคดีก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสำนึก ซึ่งเรื่องพวกนี้ถ้าเยาวชนของเราเห็นว่าเป็นเรื่องโก้ เป็นเรื่องที่ดีงาม แล้วเลียนแบบทำตาม สังคมของเราจะวุ่นวายมาก เรื่องพวกนี้ถ้าเราเป็นผู้ใหญ่ เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นปู่ย่าตายาย ก็ต้องชี้แจงความผิดความถูกให้เด็ก ๆ เขาได้รู้ ไม่ใช่ว่าสักแต่ให้เขาเลียนแบบทำตามคนอย่างนี้" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2018 เมื่อ 02:16  | 
| สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#138  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			"เป็นที่น่าเสียดายว่า  สภาพสังคมของเราเปลี่ยนไปมาก สมัยก่อนสังคมไทยเป็นสังคมขยาย  ลูก ๆ แต่งงานแล้วก็ยังปลูกบ้านปลูกเรือนอยู่ในรั้วรอบขอบเดียวกับพ่อแม่ มีลูกมีหลาน พ่อแม่ปู่ย่าตายายก็ช่วยกันเลี้ยงช่วยกันอบรม สมัยนี้ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยว  แยกออกไปอยู่ต่างหาก ถึงเวลามีลูกขึ้นมาพ่อแม่ก็ไม่ได้ดูแล เนื่องจากว่าต้องไปทำงานทั้งคู่ ลูก ๆ มักจะอยู่กับพี่เลี้ยง ทำให้เด็ก ๆ ขาดการอบรมมาก 
		
		
		
		
		
		
			ผู้ใหญ่ในยุคปัจจุบัน ก็คือผู้ใหญ่ในครอบครัวที่เริ่มเป็นครอบครัวเดี่ยว ทำให้ตัวเองไม่ได้เติบโตมากับความรักความอบอุ่นในครอบครัว ก็เลยแสดงออกในลักษณะของการเรียกร้องความสนใจ ทั้งที่ตนเองรู้ตัวและไม่รู้ตัวว่าเรียกร้องความสนใจด้วยวิธีการที่ดีไม่ได้ ก็แสดงออกในด้านเกเรขึ้นมาแทน เป็นปัญหาหนักอกมากในเรื่องของสังคมปัจจุบัน เพราะรุ่นนี้กำลังเป็นพ่อแม่คน เมื่อถึงเวลาพ่อแม่เป็นแบบอย่างที่ไม่ดี แล้วตัวเองจะไปสอนลูกให้ดีย่อมเป็นไปไม่ได้ ก็คงเข้าทำนองว่า แม่ปูสอนลูกปู พยายามให้ลูกเดินให้ตรงทาง แต่ตัวเองก็เดินคดไปคดมา แล้วลูกจะไปให้ตรงทางได้อย่างไร ?" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2018 เมื่อ 02:19  | 
| สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#139  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "เรื่องของพระดวงพิชัยสงคราม ถ้าพูดภาษาสมัยนี้ก็คือพระคุ้มดวง พระเสริมดวง เป็นตำราที่สืบทอดมาตั้งแต่สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้วสมัยอยุธยา  เขาจะใช้ไม้โพธิ์กิ่งด้านทิศตะวันออกที่หักลงมาเอง แกะสลักเป็นพระพุทธรูปใหญ่เล็กตามขนาดที่ได้  เสร็จแล้วก็มีการเขียนดวงของเจ้าของบรรจุไว้ที่ใต้ฐาน แล้วก็มีการบรรจุวัตถุอาถรรพ์ของขลังบางอย่างไว้ด้วย 
		
		
		
		
		
		
			หลวงพ่อพิจารย์ วัดโพธิ์ผักไห่ จ.อยุธยา ได้ศึกษาวิชาการเหล่านี้เอาไว้ แต่คราวนี้วัสดุหายาก ต้องรอกิ่งโพธิ์ทางทิศตะวันออก แล้วก็ต้องหักเองด้วย กี่ปีกี่ชาติจะได้สักกิ่งหนึ่งก็ไม่รู้ ? สมัยหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ท่านทำองค์เล็กกว่านี้เพราะว่าได้กิ่งเล็ก ขณะเดียวกันท่านก็เอาเศษไม้มาแกะเป็นองค์เล็ก ๆ บางองค์แค่หัวแม่มือก็มี เพราะว่าเป็นไปตามขนาดของไม้ แล้วไม้โพธิ์เป็นไม้ที่แปลกมาก เมื่อหักลงมาถ้าทิ้งไว้ตามธรรมชาติ พักเดียวก็ผุหมด แต่ถ้าแกะเป็นองค์พระแล้วกลับอยู่ยั้งยืนยง แปลกดีเหมือนกัน อาจจะแสดงให้เห็นว่า เหมาะสำหรับการแกะเป็นพระบูชา มากกว่าที่จะไปปล่อยทิ้งปล่อยขว้างเอาไว้ตามธรรมชาติ" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2018 เมื่อ 02:21  | 
| สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#140  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			"โบราณเรียกว่าไม้โพธิ์นิพพาน เป็นไม้โพธิ์ที่หักลงมาเองตามธรรมชาติ สมัยก่อนก็มีหลวงปู่รอด วัดโคนอน หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง หลวงพ่อโนรี วัดโพธิ์มอญ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ที่ทำพระเหล่านี้ แต่ส่วนใหญ่ก็ทำเป็นองค์เล็ก ๆ เป็นพระปิดตา ใต้ฐานบรรจุกระดาษสาที่เขียนอักขระเลขยันต์  บางท่านก็บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ด้วย 
		
		
		
		
		
		
			ที่ทำเป็นองค์ใหญ่ ๆ เท่าที่รู้มาก็มีหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว แต่ก็ไม่ใช่จะหาง่าย แต่ละบ้านที่มีอยู่ถือเป็นของประจำตระกูล ไม่ปล่อยให้หลุดออกมาง่าย ๆ อาตมาเจออยู่ ๒ องค์ ตื๊อเท่าไรเจ้าของก็ไม่ให้ ท้ายสุดพอคุยเรื่องนี้กัน พระครูสมุห์อานนท์บอกว่า หลวงพ่อพิจารย์ท่านได้ไม้มา ท่านกำลังจะสร้างอยู่เหมือนกัน เพื่อจะให้ลูกศิษย์ที่ให้การอุปถัมภ์วัด บอกว่าท่านจะทำถวายหลวงพ่อเล็กองค์หนึ่ง เริ่มทำกันตั้งแต่ปีที่แล้ว อาตมาก็ต้องไปลงเลขลงเวลาตามฤกษ์ของเขา กว่าจะได้มาชื่นชมกราบไหว้ก็มาจนถึงปีนี้" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2018 เมื่อ 02:24  | 
| สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]()  | 
	
	
		
| ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
		
  | 
	
		
  |