| 
	|||||||
| เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป | 
![]()  | 
	
	
| 
		 | 
	คำสั่งเพิ่มเติม | 
| 
		 
			 
			#121  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พูดถึงแพะหลวงพ่ออ่ำ  วัดหนองกระบอก  "คาถากำกับก็คือ อากาเส จะ  ทิปังกะโร  นะโมพุทธายะ จริง ๆ แล้วเป็นคาถากันฟ้าผ่า  ทีนี้ท่านเอามาใช้กับแพะ ดันเป็นมหาเสน่ห์  ตูจะบ้า...ท่านทำได้อย่างไร ?"
		 
		
		
		
		
		
		
			
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-11-2017 เมื่อ 10:41  | 
| สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#122  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พูดถึงลิงของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว  "คุณดูที่หางสิ   เขาเรียกว่าลิงมีหลัก  เอาหางค้ำพื้น นอกจากขาแล้วยังมีหางช่วยยัน โบราณเขาทำอะไรก็มีเคล็ดทั้งนั้น"
		 
		
		
		
		
		
		
			
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-11-2017 เมื่อ 10:42  | 
| สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#123  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวถึงมีดหมอ  "คุณดูแต่ละเล่มสิ  มีดหมอโบราณส่วนใหญ่จะให้สวยจริงนั้นยาก  เพราะว่าฝีมือช่างชาวบ้านทั้งนั้น แต่ไปเจอที่สวยจนตะลึงก็มีนะ แต่คนมีฝีมือแบบนั้นมีน้อยมาก"  
		 
		
		
		
		
		
		
			
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-11-2017 เมื่อ 10:43  | 
| สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#124  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่อาตมาไม่คิดจะไปเลย เหตุที่ไม่คิดจะไปเลย  อันดับแรกคือของแพง กล้วยหอมหนึ่งลูก ๓๐๐ เยน บ้านเรากินได้เป็นหวี ไปที่โน่นจะกินลูกหนึ่งต้องคิดแล้วคิดอีก  
		
		
		
		
		
		
			ประการที่ ๒ คือเจ้ากรรมนายเวร ยังไม่ได้ใช้หนี้เขาเลย แต่มีคนออกตั๋วให้ ก็เลยตามเขาไปแบบงง ๆ ถ้าพาเขาซวยทั้งคณะก็โทษใครไม่ได้ เพราะว่าเขาอยากให้อาตมาไปเอง หนี้เก่าแค่กวาดเขาหมดจวนเจ้าเมืองเท่านั้น...! เจ้าเมืองคือไดเมียว...ใช่ไหม ? ประเภทดีเกินเหตุ จนชาวบ้านต้องมาร้องทุกข์ ในฐานะผู้ผดุงคุณธรรมก็เลยต้องช่วยเขาหน่อย แต่ก็อย่างว่า เรื่องพวกนี้ฆ่าเหลือบเก่าตาย เหลือบฝูงใหม่ก็มา การอยู่บนอำนาจแล้วคนจะมีความบริสุทธิ์ยุติธรรมนั้นหายาก เหลือบฝูงเก่าดูดเลือดจนหมูหมากาไก่จะแห้งตาย คิดว่าฆ่าตายแล้วจะจบ ที่ไหนได้...ฝูงใหม่มาอีก บางทีหนักกว่าเก่าอีก..!" เพราะฉะนั้นไปญี่ปุ่นงวดนี้ ถ้าไม่ใช่ดวงดีผีคุ้มจริง ๆ ก็รอด ถ้าไปเจอแผ่นดินไหว หรือภูเขาไฟระเบิด อาตมาจะไม่แปลกใจเลย พวกที่อยากตาม ๆ ให้รู้เสียบ้างว่าอาตมาไปก่อหนี้ไว้ทั่วโลก ปกติที่อยากไปคือไปแล้วมีประโยชน์ ทั้งกับตนเองและผู้อื่น เช่นไปศึกษาเรื่องของพุทธศาสนาแล้วเอามาเป็นข้อมูลสอนนิสิต ส่วนที่ไปแล้วไม่มีประโยชน์เขาชวนไปเที่ยว หมดอารมณ์" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-11-2017 เมื่อ 10:45  | 
| สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#125  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม :  ตอนที่หนูนั่งสมาธิ  แรก ๆ ภาวนาพุทโธและดูลมหายใจ  ต่อมาอารมณ์ใจอยากจะภาวนานะมะพะธะขึ้นมา  รู้สึกว่าไปนะมะพะธะเอง  แต่ก็จะสลับไปสลับมา ?  
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : อยู่ที่ตัวเรา ถ้าเราตั้งใจจะเอาพุทโธก็พุทโธไป ถ้าเป็นนะมะพะธะเราก็ดึงกลับมาหาพุทโธใหม่ แต่ถ้าภาวนากี่ครั้ง ๆ ก็ไปนะมะพะธะอย่างเดียว ให้เปลี่ยนตามไปเลย เพราะว่าอาจจะได้เร็วกว่า...ง่ายกว่า ตอนแรก ๆ เรายืนยันในสัจจบารมี เอาพุทโธเป็นหลักก่อน ถ้าเอาไม่อยู่จริง ๆ ค่อยตามไป เรื่องการภาวนา ถ้าอยู่ในอารมณ์ปกติแล้วอยู่ ๆ จับคำภาวนาขึ้นมา ให้รีบตะครุบไว้ด่วนเลย เพราะว่ามีสองสาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรก คือ จิตสงบได้ที่จึงอยากจะภาวนา ก็จะย้อนกลับไปหาคำภาวนาเอง อีกประการหนึ่ง คือ อาจจะมีอันตรายเข้ามา สภาพจิตรู้ตัวก่อน ก็เลยให้เราภาวนาเพื่อกันเอาไว้ แต่ถ้าเรานั่งภาวนาอย่างเป็นทางการ ใช้คำภาวนาไหน เริ่มต้นด้วยอะไร ก็ฝืนดึงกลับมาที่คำภาวนาเดิม อย่าไปเปลี่ยนตามเขา ความจริงก็แค่ไม่กี่ครั้ง พอเราเคยชิน กำลังเริ่มดี ก็ใช้คำภาวนาตามที่ต้องการได้ ทำไป ๆ พอมีความคล่องตัวมาก ๆ ก็ไม่ต้องใช้คำภาวนาแล้ว แค่คิดเท่านั้น...ปึ้กเดียวก็ไปตามที่ต้องการเลย 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 18-02-2019 เมื่อ 01:03  | 
| สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#126  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "งานพระเมรุมาศของในหลวงรัชกาลที่ ๙  มีบางอย่างที่อาตมาอยากจะให้ช่างฝีมือทำให้เหมือนจริง  ก็คือพญาครุฑ พญาครุฑเขาลงสีอย่างไรก็ลงไม่เหมือน คงจะเป็นเพราะเขาแค่ได้ยินแค่คำพูดมา    
		
		
		
		
		
		
			พญาครุฑกายไม่ใช่สีแดงเฉย ๆ แต่สีเหมือนถ่านสุก นึกออกไหม ? ถ่านที่ลุกเป็นไฟ เป็นแดงปนทอง เวลาพญาครุฑบินมาอย่างกับเปลวไฟมาเลย คราวนี้ไปเจอที่ไหน ๆ จิตรกรก็ลงสีเป็นสีแดงหมด เขาเอาพญาครุฑเป็นกายสีแดง แล้วเครื่องทรงและปีกเป็นสีทอง ซึ่งไม่ใช่ สีของกายเหมือนถ่านที่ลุกเป็นไฟ ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร ไปดูเอาเองก็แล้วกัน เวลาพญาครุฑบินมา มองไกล ๆ เหมือนกับไฟทั้งกองเลย" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-11-2017 เมื่อ 21:11  | 
| สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#127  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม :  ครุฑไม่ถูกกับพญานาคใช่ไหมคะ ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : เขาทะเลาะกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ ท้ายสุดก็ไปตามสัญชาตญาณ คือนกต้องกินงู แต่เขามีกฎเกณฑ์กติกาอยู่ว่ากินได้แค่ไหน ถ้าระดับสูงขึ้นไปอย่างนาคราช พวกราชตระกูล ก็กินเขาไม่ได้ ถ้าทำผิดกฎนี่ซวยมาก จะกินแต่ละทีต้องคอยดูว่าไม่ใช่ร้อยตำรวจเอกปลอมตัวมา..! 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 18-02-2019 เมื่อ 01:03  | 
| สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#128  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "ขอให้พวกเราทุกคนทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า ดอกไม้ประจำพระองค์ของพระมหากษัตริย์ไทยคือดอกราชพฤกษ์ หรือที่เราเรียกว่าดอกคูณบ้าง ดอกลมแล้งบ้าง ไม่ใช่ดอกดาวเรือง  
		
		
		
		
		
		
			เนื่องจากว่าสีเหลืองเป็นสีประจำองค์พระมหากษัตริย์ ถ้าไปปลูกราชพฤกษ์แล้วอีกกี่ปีกว่าจะมีดอก ในเมื่อจำเป็นจะต้องใช้ ก็เลยเอาที่ขึ้นง่าย ๆ หน่อยคือดาวเรือง คาดว่าคงมีคนจำนวนมากที่ไปเข้าใจว่าดาวเรืองเป็นดอกไม้ประจำองค์พระมหากษัตริย์ ต้องเรียกว่าเป็นแค่ชั่วคราวเท่านั้น ใช้เฉพาะกิจ อะไรก็ได้ที่เป็นสีเหลือง เพราะสีเหลืองเป็นสีประจำองค์พระมหากษัตริย์ ถ้าเราสังเกตดูธงมหาราช คือธงประจำองค์พระมหากษัตริย์ เป็นสีเหลืองแล้วมีพญาครุฑอยู่ตรงกลาง ถ้าเป็นธงยุพราชมีสีเหมือนกัน แต่จะเป็นธงหางแฉก ธงตรามหาราช .................ผ่องผุดผาดในเวหา รูปครุฑราชา....................อ้าปีกกว้างท่าทางบิน ธงแดงดังแสงชาด...............ลายช้างกาจก่องกายิน บอกตรงธงแผ่นดิน...............ถิ่นสยามอันงามงอน" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-11-2017 เมื่อ 21:14  | 
| สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#129  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			"ดอกดาวเรืองสมัยปัจจุบันนี้ปลูกได้ครั้งเดียว ไม่สามารถที่จะเก็บเมล็ดไปเพาะต่อได้ เนื่องจากเขาฉายรังสีมา แล้วบ้านเราออกกฎหมายใหม่เกี่ยวกับการเก็บเมล็ดพันธุ์ ซึ่งต่อไปใครไปเก็บเมล็ดพันธุ์เอาไว้ทำพันธุ์เอง อาจจะเดือดร้อนถึงขนาดติดคุกติดตาราง เพราะว่าเขาออกกฎหมายมาเอื้อให้บริษัทใหญ่เก็บเมล็ดพันธุ์ขายอย่างเดียว ซึ่งกฎหมายในลักษณะนี้ไม่ควรที่จะมีในประเทศเราซึ่งเป็นประเทศเกษตรกรรม เพราะว่าเท่ากับเอื้อนายทุนบีบบังคับให้เกษตรกรอยู่ภายใต้อาณัติของตัวเอง   
		
		
		
		
		
		
			ถ้าไม่มีสังกัดก็ไม่มีเมล็ดพันธุ์ ไม่สามารถทำการเกษตรได้ แต่รัฐบาลสิ้นสติ ออกกฎหมายประเภทนี้ออกมา แล้วออกมาในช่วงระหว่างการจัดพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ ๙ ซึ่งคนกำลังวุ่น ๆ กันอยู่ ไม่มีใครไปคัดค้าน ประกาศออกมารอการคัดค้าน ๓๐ วัน ป่านนี้ก็น่าจะหมดเวลาไป คนกำลังยุ่งอยู่กับงานถวายพระเพลิงในหลวง ร.๙ แล้วใครจะมีเวลามาคัดค้าน ? ต้องบอกว่าเจตนาเอื้อประโยชน์กับนายทุนอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลไม่สมควรกระทำ" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-11-2017 เมื่อ 21:15  | 
| สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#130  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			"ในโลกของทุนนิยม ปลาใหญ่กินปลาเล็กถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้ากินมาก ๆ ปลาเล็กหมดไป ปลาใหญ่จะอยู่อย่างไร ? ส่วนใหญ่แล้วบ้านเราเมืองเราไม่ได้คิดถึงตรงนี้ คิดถึงแต่ประโยชน์เฉพาะหน้า เขาเอื้อประโยชน์ให้เรา เราก็ออกกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้เขา โดยไม่ได้ดูว่าคนชั้นรากหญ้าซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของประเทศเราเป็นเกษตรกร แล้วเขาจะอยู่กันอย่างไร ? 
		
		
		
		
		
		
			ปัจจุบันนี้ทางรัฐบาลก็ออกคำถาม ๖ คำถามมา ซึ่งเป็นคำถามที่ห่วยแตกมาก ต้องบอกว่าอยู่ในลักษณะชี้นำกลาย ๆ ซึ่งถ้าเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง การกระทำทั้งหมดของรัฐบาลปัจจุบันที่มาโดยวิธีการพิเศษ อาตมาถือว่าสอบตก เลือกตั้งครั้งต่อไปเป็นฝ่ายค้านแน่นอน แต่เมื่อเขามาด้วยวิธีพิเศษ ไม่ได้มาด้วยการเลือกตั้ง อย่างนั้นก็แล้วแต่เวรแต่กรรมก็แล้วกัน ลักษณะของรัฐบาลที่ตั้งคำถามไม่ว่าจะ ๔ คำถามหรือ ๖ คำถามก็ตาม อยู่ในลักษณะเหมือนกับโยนหินถามทาง แต่อาตมาว่าน่าจะเข้าภาษิตจีนที่ว่า "ยกหินทุ่มตีนตัวเอง" มากกว่า จะทำอะไรก็ทำอย่างกล้าหาญ อยากจะอยู่ต่อก็ตั้งพรรคขึ้นมาให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย โยนหินถามทางแก้เขินแบบนี้ไม่ใช่การกระทำของลูกผู้ชาย..!" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-11-2017 เมื่อ 21:18  | 
| สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#131  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม :  คราวนี้แม่ป่วยหนักมากเลย  จะต้องทำกำลังใจอย่างไรครับ ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : น้ำหนักลดหรือเพิ่ม ? ถาม : ยังไม่ลดเท่าไร ? ตอบ : ถ้าอย่างนั้นแสดงว่ายังไม่หนัก ถ้าน้ำหนักเพิ่มนี่ถึงจะหนัก เข้าใจไหม ? ถาม : ไม่เข้าใจครับ ตอนนี้ต้องรักษากำลังใจอย่างไร ? ตอบ : ก็ธรรมดา สัพเพ สังขารา อนิจจา สัตว์โลกเกิดมาเท่าไรตายหมดเท่านั้น แม้แต่เราก็ตาย คราวนี้รู้หรือยังว่าที่ทำมาไม่พอรับประทาน ส่วนใหญ่แล้วนักปฏิบัติธรรมของเรา ถ้าเรื่องยังมาไม่ถึงตัวก็คิดว่าตัวเองทำอะไรได้มากแล้ว พอเรื่องมาถึงตัวแล้วก็มักจะรู้ตัวว่าที่ทำมายังไม่พอกิน คำว่า ไม่พอกิน คือ เจอสถานการณ์จริงเข้าแล้วทำกำลังใจไม่ได้ ในบรรดาญาติผู้ใหญ่ของอาตมาที่ตายไป ก็มีตอนที่คุณย่าตาย อาตมาร้องไห้เพราะว่าไม่รู้ ไปเรียกท่านให้กินข้าวแล้วท่านไม่ยอมลุก เรียกเท่าไรไม่ลุกก็เลยร้องไห้ตามประสาเด็ก ยังไม่รู้ว่าตายคืออะไร ? 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-11-2017 เมื่อ 10:16  | 
| สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#132  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พอมาคุณตาตาย ไม่ได้ร้องไห้ เพราะว่าท่านเหมือนกับหลับไปเฉย ๆ ถึงเวลาท่านก็เรียกหลาน ๆ เข้ามา บอกว่า "ตาก็แก่มาก อายุเลย ๘๐ แล้ว เหมือนกับผลไม้สุกที่พร้อมจะหล่นจากขั้ว ถ้าตาเป็นอะไรไป พวกแกไม่ต้องเสียใจนะ" สั่งความเสร็จแกขอข้าวกิน อาเจ็กข้างบ้านก็กุลีกุจอกลับบ้านไปคดข้าวใส่กับมาให้ แกกินเสร็จก็นอนอยู่บนเก้าอี้โยกของแก แล้วก็หลับไปเฉย ๆ ตายไปตอนไหนก็ไม่มีใครรู้ มารู้เอาตอนที่เห็นว่าค่ำแล้วเดี๋ยวยุงจะกวนมาก ก็ไปเรียกเพื่อจะให้แกกลับเข้ามานอนในบ้าน ปรากฏว่าแข็งไปหมดแล้ว 
		
		
		
		
		
		
			ลำดับถัดมาก็พ่อตาย ตอนนั้นบอกตรง ๆ ว่าดีใจ เพราะว่าอาตมาเป็นคนเฝ้าไข้ ทั้งกลางวันทั้งกลางคืนอยู่ ๖ ปีเต็ม ๆ ด้วยความที่เป็นวัยรุ่น เพิ่งจะอายุ ๑๐ ปีนิด ๆ กำลังกินกำลังนอนแล้วโดนเรียกทั้งคืน รู้สึกเหมือนกับตกนรกทั้งเป็น เพราะฉะนั้น...เวลาท่านตายแทนที่จะเสียใจก็เลยกลายเป็นดีใจ แต่ก็ดีใจไม่จริง เพราะว่าเมื่อถึงเวลากลางคืนเข้านอน เตียงก็กว้างเท่าเดิม แต่พอไม่มีพ่ออยู่ ทำไมรู้สึกว่ากว้างอะไรขนาดนั้น เวิ้งว้างไปหมด นอนไม่หลับ ท้ายสุดก็เลยต้องไปนอนอยู่ข้างศพ มุดเข้ามุ้งไป เพราะเขากางมุ้งครอบศพเอาไว้ให้ ไปนอนอยู่ข้างศพ แตะถูกตัวท่านเย็นเจี๊ยบเลย เออ...อย่างนั้นกลับหลับได้..! 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-11-2017 เมื่อ 10:18  | 
| สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#133  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ลำดับต่อมายายตาย แม่ตาย นี่ไม่ต้องพูดถึง ยายตายอาตมาบวชได้ ๔ พรรษาแล้ว แม่ตายนี่ได้ ๒๐ กว่าพรรษา ก็เลยกลายเป็นว่า ผู้ใหญ่ที่บ้านตาย มีตอนอายุ ๒ ขวบกว่าตอนย่าตายเท่านั้นที่ร้องไห้ นอกนั้นไม่เคยร้องไห้กับใคร 
		
		
		
		
		
		
			ถามว่าทำใจได้ไหม ? มาทำใจได้ตอนยายกับแม่ เพราะว่าตอนช่วงนั้นบวชแล้ว ส่วนท่านอื่น ๆ ก็อย่างที่บอก ถ้าไม่ใช่เพราะไม่รู้ความก็คือไม่มีอะไรให้ตกใจ พอมาพ่อตายนี่ดีใจ เหมือนกับไม่ใช่ทำใจได้ ดีใจที่ตัวเองพ้นงานเสียที งานหนักเหลือเกิน หนังสือก็ต้องเรียน กลับมาก็ต้องดูแลท่าน กลางวันก็ไม่ได้นอน กลางคืนก็ไม่ได้นอน ต้องบอกว่าตอนที่ดูแลพ่ออยู่ ๖ ปี เป็นคุณูปการให้ฝึกกรรมฐานได้แบบไม่ได้ตั้งใจ เพราะว่าไปโรงเรียนแล้วง่วง ทนไม่ไหว ยกมือขออนุญาตนอน ครูก็บอกว่านอนได้ แต่ว่าวิชานี้ห้ามตก ก็เลยทำอย่างไรที่นอนแล้วต้องฟังให้ได้ยิน เพราะถ้าฟังจะจำได้ ก็พยายามใช้วิธีนอนแล้วเงี่ยหูฟัง ก็เลยสามารถที่จะทำได้ตั้งแต่สมัยที่ยังเรียนประถม มัธยมอยู่ก็คือ หลับแต่ตา ใจไม่ได้หลับ ใจตื่นเพื่อจดจำบทเรียน มารู้ทีหลังว่าเป็นพื้นฐานฝึกกรรมฐานทั้งนั้นเลย แต่ว่าตอนนั้นไม่ได้รู้สึกอะไร รู้สึกอย่างเดียวว่าง่วงสุดชีวิต อย่างไรก็ขอนอนเถอะ แต่ก็ตั้งใจฟัง 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-12-2017 เมื่อ 19:30  | 
| สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#134  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ความจริงแล้วทิดเต้ย (สุรจิตร) ในส่วนของกิริยามารยาทอาจจะกระโดกกระเดกไปหน่อย แต่ความรักแม่นี่เต้ยมีให้สุด ๆ แต่คราวนี้ว่าในส่วนที่จะทำใจ สำหรับคนที่ผ่านมาแล้วพูดก็เหมือนกับง่าย แต่คนที่เผชิญหน้าอยู่ บางทีเหมือนกับแบกภูเขาไว้ทั้งลูก จะโดนทับตายตอนไหนก็ไม่รู้ ? เพราะว่าเรื่องมาเกิดกับคนที่เรารักมากที่สุด แต่ถ้าหากว่ารู้จักพิจารณาว่า ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข การพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่ชอบใจเป็นทุกข์ ก็จะเป็นเวลาที่จะสามารถที่จะพิจารณาธรรมได้ดีที่สุด  
		
		
		
		
		
		
			แต่ว่าส่วนใหญ่ พอเหตุเกิดขึ้นแล้ว ปัญญามักจะไม่มี เพราะว่าสภาพจิตส่งส่ายวุ่นวายไปกับเรื่องที่เกิดขึ้น ปัญญาก็เลยไม่เกิด 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 18-02-2019 เมื่อ 01:04  | 
| สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#135  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ตอนพ่อเสียนี่ในความรู้สึกของคนอื่นเหมือนกับว่าอาตมาอกตัญญู เพราะว่าไม่ร้องไห้ อาตมาจะบอกได้อย่างไรว่าดีใจเป็นบ้า ที่ท่านตายได้สักที  ทรมานเหลือเกิน ๕ นาที ๑๐ นาทีท่านจะแข็งเกร็งไปทั้งตัว ถ้าไม่นวดให้คลายก็จะปวดร้องโอย ๆ ๆ  คนที่อยู่กับท่านทั้งกลางวันกลางคืนอย่างอาตมาจะตายเอา คนอื่นเขาจะไปรู้อะไร 
		
		
		
		
		
		
			อาตมามีโอกาสดูแลพ่ออยู่ ๖ ปี ด้วยการลงความเห็นว่า "เอ็งเป็นลูกผู้ชายที่โตที่สุดที่ยังไม่ได้ทำงาน" พอไปดูแลแม่อยู่ ๓ ปี เขาลงความเห็นว่า "เอ็งเป็นลูกชายที่โตที่สุดที่ยังไม่ได้แต่งงาน" ตกลงว่าเป็นความผิดของตูทั้งนั้น..! ฉะนั้น...ปัจจุบันนี้เวลาอาตมามีเด็ก ๆ อยู่ด้วย จะตามใจเยอะมาก เพราะว่าชีวิตช่วงวัยรุ่นของตัวเองไม่มี ต้องรับผิดชอบดูแลพ่อตั้งแต่เรียนอยู่ชั้น ป.๕ พอสิ้นท่านไปแล้วอยากจะเรียนต่อ แม่ก็ไม่มีปัญญาส่ง ต้องทำงานไปหาเงินเรียนไป ในเมื่อชีวิตวัยรุ่นไม่มี พอเห็นเด็กวัยรุ่นแล้ว ตอนเด็กเราอยากได้อย่างไร เขาก็คงอยากได้อย่างนั้น เรื่องกินเรื่องเที่ยวนี่ไม่เคยมีเลย ได้ยินเสียงหนังประกาศโครม ๆ ที่วัด วัดกับบ้านก็มองหลังคากันเห็นแค่นั้น แต่ไปไม่ได้ คนอื่นเขาไปกันหมด แต่อาตมาต้องดูแลพ่อ ในเมื่อตัวเราไม่มีช่วงเที่ยวช่วงเล่น ถึงเวลาเขาเอาเด็ก ๆ มายกให้เป็นลูก ก็ให้ลูกเขามีแทนก็แล้วกัน ไม่ใช่ต้องไปล้างแค้นว่า "กูไม่มีมึงก็ต้องไม่มีด้วย..!" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-12-2017 เมื่อ 19:28  | 
| สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#136  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ช่วงเดือนเศษที่ผ่านมาพี่ชายคนโตตาย นับว่าแกตายช้ามาก อยู่ยัน ๙๐ ปี  ปกติคนกินเหล้าแทนน้ำไม่น่าจะอายุยืนได้ขนาดนั้น ก็ยังคิดขำ ๆ อยู่ว่า สงสัยแกจะกินมากไปจนเชื้อโรคตายหมด ก็เลยอยู่มายัน ๙๐ ปี เป็นอันว่าพี่ ๆ ทั้งลูกแม่ใหญ่ ทั้งลูกแม่เดียวกันตายไป ๓ - ๔ คนแล้ว ใกล้ตัวเองเข้ามาเรื่อย ๆ แล้วนะ..! 
		
		
		
		
		
		
			ถัดมาไม่กี่วันก็น้าสะใภ้ตาย ตอนแรกเขาส่งข่าวมา ไปนึกว่าน้าชายตาย น้าชายคนโตก็ ๘๐ กว่าปีแล้ว แปลกใจไหม ? น้า ๘๐ กว่า แต่พี่ ๙๐ ปี สมัยก่อนเขาแต่งงานกันเร็ว แม่แต่งงานอายุ ๑๖ ปี พ่อเขามีพี่ใหญ่ก่อน แล้วค่อยมาเมืองไทย แล้วมาแต่งกับแม่ เพราะฉะนั้น...แม่กับน้าก็เลยกลายเป็นว่ารุ่นไล่เลี่ยกันกับพี่ชายคนโต 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-12-2017 เมื่อ 19:30  | 
| สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#137  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม :  เอารถไปเจิมกับเสาเรียบร้อยแล้ว ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : แสดงว่าถวายทาสทานไว้เยอะ ใช้ของดีไม่ได้ ต้องมีตำหนิก่อนจึงจะสบายใจ ถือว่าเป็นพวกเดียวกัน อาตมาเองขนาดจีวรใหม่ ๆ เลยนะ ไม่มีร่องรอยอะไรเลย ซักปุ๊บขาดปั๊บ อย่างไรก็ต้องเอาให้ขาดให้ได้ ถ้าไม่ขาดจะไม่สมกับบุญบารมีที่สร้างมา...! แสดงว่าทำทาสทานไว้เยอะเหมือนกัน ถ้าไม่อยากให้รถยนต์มีร่องมีรอยนะ มาถึงเอามีดกรีดไว้ก่อนเลย โน่น...บังโคลน กรีดกากบาทไปทั้ง ๒ ข้างเลย ทำเครื่องหมายไว้แล้ว ไม่ต้องมาทำซ้ำ ถาม : เกี่ยวอะไรกับจีวรด้วยคะ ? ตอบ : ก็ใช้ของใหม่ไม่ได้ ต้องใช้ของมีตำหนิหรือของเก่า แทนที่จะให้เขาทำเป็นรอย เราก็ทำเสียเอง ให้มีรอยอยู่ในที่ไม่น่าเกลียด ใครจะลองวิธีนี้ก็ได้นะ 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-12-2017 เมื่อ 23:49  | 
| สมาชิก 151 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#138  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "ใครที่โทรมาหาอาตมาแล้วรอจนอาตมารับไม่ได้   อาตมาไม่เคยโทรกลับไปสักราย โดยเฉพาะประเภทยิงมากริ๊งเดียวจะให้โทรกลับ...รอไปเถอะ 
		
		
		
		
		
		
			มีอยู่เที่ยวหนึ่งพระวินัยธรกอล์ฟ ตอนนั้นยังเป็นพระสมุห์อยู่ ถามว่าอาจารย์ทำไมไม่โทรกลับ ? "ก็กูไม่มีธุระอะไรกับมัน มันมีธุระกับกู ก็ให้มันโทรมาสิ" ตอบให้ชัด ๆ ไปเลย ถือว่าเสียมารยาทมาก โทรมาแล้วตัดสายจะให้คนอื่นโทรกลับ" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-12-2017 เมื่อ 23:50  | 
| สมาชิก 151 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#139  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "เมื่อเช้าคุณกิตติพงษ์มารับมีดหมอหลวงพ่อเงิน  วัดพระปรางค์เหลือง  กับมีดหมอหลวงพ่อโสก  วัดปากคลองบางครก   จังหวัดเพชรบุรี   อาตมาลืมให้โมทนาบัตรไป   
		
		
		
		
		
		
			ครูบาอาจารย์บางท่านที่เป็นต้นตำรับเลย อย่างหลวงพ่อขำ วัดเขาแก้ว หลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล หรือหลวงพ่อเงิน วัดพระปรางค์เหลือง ในชีวิตท่านทำมีดหมอน่าจะไม่เกินหลักสิบ ขนาดคลุกอยู่ในวงการเต็ม ๆ ยังหายากหาเย็น โดยเฉพาะประเภทมีดหมอ ๒ บูรพาจารย์ อย่างหลวงพ่อรุ่ง-หลวงพ่อเดิม ยิ่งหายากเข้าไปใหญ่ เพราะมีประวัติแค่ว่าหลวงพ่อเดิมไปหัดทำมีดหมอจากหลวงพ่อรุ่ง เพราะหลวงพ่อรุ่งสำเร็จวิชาก่อน เมื่อศึกษารูปแบบแล้วก็กลับมาทำเองบ้าง พอทำได้ก็ใส่เกวียนไปให้หลวงพ่อรุ่งช่วยเสกให้อีกครั้ง คราวนี้ก็ต้องมาดูว่า เมื่อศึกษาจากหลวงพ่อรุ่งไป รูปแบบก็ต้องมีฝังโลหะ ขณะเดียวกันทำอย่างไรจึงจะมีเอกลักษณ์ของหลวงพ่อเดิม ก็คือยันต์รูปพระ ถ้าไม่มียันต์รูปพระก็ต้องยันต์พุทธซ้อน ก็เลยกลายเป็นอะไรที่หายากเย็นสุด ๆ" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-12-2017 เมื่อ 17:34  | 
| สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#140  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "คุณสุธรรมเปิดให้แสดงความจำนงว่าอยากได้เครื่องรางของขลังอะไร  ปรากฎว่ามีคนเสนอมา  อย่างเช่นตะกรุดโสฬส หลวงปู่เอี่ยม  อยากจะถามว่าสู้ราคาจริงหรือเปล่า ?  อาจารย์วิสุทธิ์บอกว่า ไปเจอสองกษัตริย์ด้านนอก เขาเปิดไว้ ๗๐๐,๐๐๐ บาท..! 
		
		
		
		
		
		
			ความจริงแล้วตะกรุดที่หายากกว่านั้นมีอยู่ ก่อนหน้านี้เป็นที่เสาะหากันมาก แต่เนื่องจากว่าคนมีไม่ปล่อยเด็ดขาด ก็เลยกลายเป็นว่าเงียบไปเฉย ๆ ตะกรุดหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง จึงขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งแทน ตะกรุดที่หายากมาก ๆ ที่เขาต้องการก็คือ ตะกรุดไมยราพณ์สะกดทัพ หลวงพ่อกุน วัดพระนอน จ.เพชรบุรี นั่นแหละ...สมัยก่อนประเภทลูกผู้ชายจะต้องห้าว อยากจะขึ้นบ้านใคร พกตะกรุดหลวงพ่อกุน สอดไว้ใต้เรือน ขึ้นไปได้เลย หลับหมดทั้งบ้าน แล้วก็ตะกรุดหลวงปู่จีน วัดท่าลาด พวกเรานี่กระทั่งชื่อยังไม่รู้จักเลยกระมัง ? ถ้าถามว่าหลวงปู่จีนเป็นใคร ? ก็เป็นรุ่นอาจารย์ของหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม ของทั้งสองท่านที่ว่ามาอยู่ในประเภทมีเงินก็หาซื้อไม่ได้" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-12-2017 เมื่อ 23:53  | 
| สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]()  | 
	
	
		
| ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
		
  | 
	
		
  |