|
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#61
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนสมัยนี้สงสัยว่า สมัยก่อนการทรงจำพระไตรปิฎกใช้การท่องจำเอา มีความแม่นยำแค่ไหน ? เราดูแค่การสวดมนต์ทุกวันนี้ก็พอ ถ้าสวด ๆ ไปแล้วมีคนสวดผิด เราจะรู้ทันทีว่าเขาผิด
ลักษณะของการท่องจำพระไตรปิฎกก็แบบเดียวกัน เขาท่องพร้อม ๆ กัน เวลาใครผิดก็รู้ จะได้แก้ไขให้ถูก เพราะฉะนั้น...โอกาสที่คนหมู่มากถูก คนส่วนน้อยผิด คนส่วนน้อยก็จะต้องแก้ไขตาม เขาถึงได้ใช้คำว่า สังคีติ ก็คือการร้อยกรอง เหมือนแต่งโคลง แต่งกลอน หรือแต่งเพลง การที่เราสังคายนามาจาก คำว่า สังคีติ ในบาลี ใครผิดส่วนใหญ่จะรู้ทันที แล้วคนผิดก็จงรีบแก้เสียดี ๆ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2017 เมื่อ 20:26 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#62
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : อาการขนลุกเกิดจากเหตุอะไรได้บ้างครับ ?
ตอบ : ขนลุกมีหลายสาเหตุด้วยกัน ถ้าภาวนาอยู่เป็นส่วนหนึ่งของสมาธิ เขาเรียกว่าปีติ เป็นปีติเบื้องต้น แต่ถ้าอยู่ในสถานที่ซึ่งอากาศเย็นก็มีขนลุก หรือผีกำลังจะหลอกก็ขนลุก เพราะฉะนั้น...ต้องดูบริบทด้วยว่าเป็นเพราะอะไร
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2017 เมื่อ 20:26 |
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#63
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ลูกน้องชอบหยุดงาน ไม่เชื่อฟัง ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็แค่ยุติธรรม ตรงไปตรงมา คนไหนไม่เชื่อก็ไล่ลดปลดออก ตัดเงินเดือนอะไรไปก็ได้ พวกเราส่วนใหญ่จะไปกลัวว่าหาคนใหม่ไม่ได้ ไม่ต้องไปกลัว ไล่กระจายไปเลย ถ้าหากว่าเรางานดีเงินดีจริงแล้วมีความยุติธรรม อยู่ที่ไหนเขาก็มาเอง สมัยก่อนที่อาตมาคุมงานอยู่ก็ใช้ระบบนี้แหละ เพราะว่าพวกนี้ส่วนใหญ่แล้วจะถึงกันหมด พอถึงกันหมดนี่เราทำอะไรคนหนึ่งคนอื่นจะรู้ด้วย ถ้าเรามีความยุติธรรมจริง เงินเดือนออกตรงเวลา มีการปูนบำเหน็จลงโทษชัดเจน เดี๋ยวเขาก็มาเอง ถ้ามัวแต่ไปกลัวอยู่เขาก็ขี่หัวเป็นพ่อเรา ไม่ใช่เป็นลูกน้องเรา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2017 เมื่อ 20:28 |
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#64
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : อยากจะเอาลูกชายมาฝากเป็นลูกท่านครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องเอามาหรอก จะดีหรือไม่ดีอยู่ที่การอบรมสั่งสอน ไม่ใช่ว่าเอาไปฝากเป็นลูกพระแล้วลูกจะดี ฝากเป็นลูกพระส่วนใหญ่จะเดือดร้อนทีหลัง ถึงเวลาเผลอไปตีเข้า เดี๋ยวเขาก็ป่วยไข้ไม่มีสาเหตุ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2017 เมื่อ 20:29 |
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#65
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ช่วงนี้ไปปฏิบัติแล้วรู้สึกแห้ง ๆ กลัวว่าฝึกมากไป พอผ่อนแล้วกิเลสจะแรงขึ้นกว่าเดิมครับ ?
ตอบ : ก็พิจารณาสิครับ ให้เห็นว่าเป็นทุกข์เป็นโทษอย่างไร ? น่าเบื่อหน่ายอย่างไร ? ควรที่เราจะละทิ้งแบบไหน ? ถ้าหากว่าสภาพจิตยอมรับ ก็จะถอยห่างออกมาเอง จะไม่กำเริบ ต้องพิจารณาเพิ่ม ไม่อย่างนั้นแล้วไม่ใช่แห้งอย่างเดียว เดี๋ยวจะโดนงัดหงายท้องไปด้วยจะหนักกว่าเดิม เพราะฉะนั้น...ไปพิจารณาเพิ่มอีกหน่อย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2017 เมื่อ 20:30 |
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#66
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เราตั้งใจจะมีเมตตา เคยเมตตาแล้วแต่ใช้ไม่ได้ผลกับคนไม่ดี แล้วเราเปลี่ยนกำลังใจไปอีกอย่างหนึ่ง ?
ตอบ : อุเบกขาในเมตตา พูดง่าย ๆ คือเตะสักป้าบหนึ่ง เพราะว่าถ้าหากว่ากูไม่เตะมึงนะ ไปเจอคนอื่นเขาอาจจะฆ่ามึงเลย เพราะฉะนั้น...กูเมตตามึงแค่นี้ ว่าแล้วก็เหวี่ยงซ้ำเข้าให้ อย่าไปเมตตาอย่างเดียว ต้องมีอุเบกขาด้วย การเมตตาไม่ได้หมายความว่าไม่ทำอะไรเลย ถ้าเราไม่สั่งไม่สอน เขาก็จะทำผิดไปเรื่อย ๆ อันนั้นถือว่าไม่เมตตาเสียด้วยซ้ำไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2017 เมื่อ 20:31 |
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#67
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ภาวนาพุทโธ แล้วลมหายใจเบา ๆ ไม่แน่ใจว่าต้องให้นิ่งไปกว่านี้หรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าไม่สามารถไปไกลกว่านี้ก็ถอยออกมาพิจารณา แต่ถ้าไปไกลกว่านี้ได้จะดีกว่า เพราะว่ากำลังจะสูงกว่า เมื่อพิจารณาแล้วสามารถตัดกิเลสได้ง่ายกว่า ถาม : ตอนพิจารณา...? ตอบ : ถ้าปัญญาเห็นจริง สภาพจิตจะยอมรับว่าเป็นไปตามนั้น เมื่อยอมรับแล้วก็รับเลยโดยไม่กำเริบใหม่ อย่างเช่น บอกว่าร่างกายนี้ไม่ดี ก็เห็นว่าไม่ดีจริง ๆ ในเมื่อร่างกายของเราไม่ดี ก็จะเห็นว่าร่างกายของคนอื่นก็ไม่ดีด้วย ไม่ต้องการของเราก็ไม่ต้องการคนอื่นด้วย ตัวปัญญาถ้ายอมรับจะรับแบบเด็ดขาด ภาษาบาลีเรียกว่า สมุจเฉทปหาน ตัดขาดได้เลย ค่อย ๆ ทำ เดี๋ยวจะแซงพระไปไกล
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-09-2017 เมื่อ 20:39 |
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#68
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้น้ำซึ่งท่วมหลายพื้นที่ก็เริ่มคลี่คลายตัวลง ในขณะที่อีกหลายพื้นที่เพิ่งจะเริ่มท่วม ทั้งในประเทศและต่างประเทศโดนท่วมพอ ๆ กัน เอเชียก็ท่วม ยุโรปอเมริกาก็ท่วม ท่วมกันทั่วถึงมาก โดยเฉพาะรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา เห็นว่าน้ำท่วมครั้งนี้น่าจะเสียหายเป็นหมื่นล้านดอลล่าร์ เพราะว่ารัฐเท็กซัสสมัยก่อนค่อนข้างจะแล้งมาก แต่อยู่ ๆ มาเจอพายุเฮอริเคนตามมาด้วยฝนหนัก
ส่วนเมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย มุมไบสมัยก่อนชื่อบอมเบย์ มุมไบเปรียบไปก็เหมือนกับกรุงเทพฯ ของเรา ท่วมไม่มากหรอก แค่คอเท่านั้นเอง..! ในเมื่อเราทำความดีกันน้อยลง ภัยธรรมชาติต่าง ๆ ก็รุนแรงขึ้น การสิ้นกัปหรือว่าการสิ้นโลกของเราจะสิ้นลงไปด้วยน้ำ ด้วยลม ด้วยไฟ ด้วยโรคภัย ด้วยอาวุธ ถ้าเป็นสันตถันตรกัปก็จะโดนทำลายด้วยอาวุธ อย่างนิวเคลียร์ล้างโลก เป็นต้น ถ้าเป็นโรคันตรกัปก็จะโดนทำลายด้วยโรค เรื่องพวกนี้มีระบุเอาไว้นานแล้ว เพียงแต่ว่าคนเราอยู่นาน ๆ ไปก็ห่างศีล ห่างธรรม ห่างความดี เมื่อความชั่วมีมากกว่า กระแสความชั่วแรงกว่า ไม่มีส่วนของความดีมาคอยยับยั้ง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก็จะรุนแรงมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามกรรมที่เราทำไว้เอง ดังนั้น...ถ้าพวกเราไม่อยากเดือดร้อน ก็ต้องปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เป็นปกติ เอาให้ถึงระดับที่บาลีเรียกว่า ฐิตะกัปปี ได้ก็ยิ่งดี ฐิตะกัปปีแปลตรง ๆ ว่า ผู้ยังกัปนี้ให้ตั้งอยู่"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-09-2017 เมื่อ 18:29 |
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#69
|
||||
|
||||
![]()
"ในบาลีบอกว่า บุคคลนั้นจะเข้าถึงมรรคผลตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป ต่อให้โลกจะโดนทำลายแล้วก็ยังทำลายไม่ได้ ต้องรออยู่จนกว่าท่านจะได้มรรคผลตามวาระของท่านเสียก่อน จึงได้ชื่อฐิตะกัปปี ผู้ยังกัปให้ตั้งอยู่
พวกเราทำความดีกันแม้ว่าจะจำนวนน้อย ก็อาจจะแค่รักษาตัวเรา รักษาครอบครัว เอาแค่นี้ก็พอ...ไม่ต้องมาก ถ้ามากไปกว่านั้น ท่านที่ทรงความดีสูง ๆ ก็สามารถรักษาชุมชน จะเล็กจะใหญ่ก็แล้วแต่กำลังความดีของท่าน เราจะเห็นว่าระยะนี้หลวงปู่หลวงพ่อที่ทรงคุณความดี โดยเฉพาะอายุมากเป็นร้อยปี มรณภาพกันหลายรูปหลายองค์ แม้ว่าจะเป็นการมรณภาพ เท่ากับสูญเสียบุคคลที่ทรงคุณความดีไป แต่ก็แลกกับภัยพิบัติ ซึ่งจะรุนแรงมากก็กลายเป็นเบาบางลง ทางบ้านของอาตมาเองคือจังหวัดนครปฐม ก็เพิ่งจะเสียพระเถระที่อายุกาลพรรษามาก คือ หลวงปู่แย้ม วัดสามง่าม อายุ ๑๐๒ ปี ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่เต๋ วัดสามง่าม หลวงปู่เต๋สมัยก่อนโด่งดังมาก สิ่งที่พวกอาตมาอยากได้สมัยนั้นก็มีตะกรุดของหลวงปู่เต๋ บรรดาพ่อค้าแม่ขายก็อยากได้ตุ๊กตาทองของท่าน ตอนหลังตุ๊กตาทองของท่านเขาเรียกกันว่ากุมารทอง หลวงปู่เต๋เป็นสำนักแรก ๆ เลยที่สร้างกุมารทอง ท่านทำตะกรุดแล้วดังขนาดไหนบอกไม่ถูก รู้แต่ว่าถ้าหาวัสดุสร้างตะกรุดไม่ได้ ต้องเอาถุงปูน ปูนก่อสร้าง..ปูนซิเมนต์นั่นแหละ มาทำความสะอาด เขียนยันต์เสร็จแล้วก็ม้วน ถักเชือกให้ลูกศิษย์แทน เพราะว่าหาโลหะไม่ทัน นาน ๆ จะมีตะกรุดถุงปูนหลุดออกมาสักที เราต้องคิดว่าบุคคลที่สร้างวัตถุมงคล ลูกศิษย์ไปขอจนกระทั่งสร้างไม่ทันนั้น ท่านจะเป็นที่เคารพนับถือขนาดไหน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-09-2017 เมื่อ 20:43 |
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#70
|
||||
|
||||
![]()
"บางสำนักอย่างหลวงพ่อแก้ว วัดพวงมาลัย เจ้าของเครื่องรางในตำนานก็คือ พิสมรวัดพวงมาลัย หลวงปู่แก้วหาวัสดุสร้างตะกรุดให้ลูกศิษย์ไม่ทัน ก็เอาสังกะสีมุงหลังคาศาลานั่นแหละ เอามาตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ เขียนยันต์แล้วม้วนเป็นตะกรุดให้ เพราะฉะนั้น...ใครไปเจอตะกรุดสังกะสีผุ ๆ นี่ โปรดอย่าได้มองข้ามเป็นอันขาด อาจจะมองข้ามของดีไปอย่างน่าเสียดาย
ถ้าไปเจอม้วนกระดาษเก่า ๆ มีเชือกผูกหัวผูกท้ายมา ก็อย่าไปคิดว่าใครมาทำอะไรเหลวไหล นั่นคือตะกรุดถุงปูนของหลวงปู่เต๋ วัดสามง่าม ตะกรุดเป็นเครื่องรางชนิดหนึ่งที่ใช้ร้อยเชือกติดตัว ค่านิยมก็คือต้องแขวนไม่ต่ำกว่าเอว สมัยก่อนเป็นหนึ่งในเครื่องคาดราชศัสตรา ก็คือของขลังคู่กายพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งจะมีตะกรุด มีลูกสะกด เป็นต้น ถามว่าทำไมเครื่องรางของขลังกลายเป็นเครื่องคาดราชศัสตราติดพระองค์ของพระมหากษัตริย์ ? ก็เพราะว่าสมัยก่อนเขาถือว่าพระต้องอยู่วัด ดังนั้น...คนสมัยโบราณไม่ได้บูชาพระอยู่กับบ้าน เพราะเห็นว่าบ้านเป็นของต่ำ พระผู้บริสุทธิ์ไม่ควรที่จะอยู่ปะปนกับคน เพราะฉะนั้น...สมัยโบราณเมื่อออกรบอะไรเสร็จสรรพเรียบร้อย ถ้ามีพระติดตัวไป ถึงเวลาเลิกรบแล้วก็เอาพระไปคืนไว้ที่วัด ที่จะติดตัวอยู่ก็มีแต่พวกเครื่องรางเท่านั้น อย่างเช่นว่า ตะกรุด พิสมร แหวนพิรอด สายคาดเอว เป็นต้น ก็เลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องคาดราชศัสตรา"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-09-2017 เมื่อ 20:45 |
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#71
|
||||
|
||||
![]()
"เท่าที่อาตมาเคยได้ข่าวมาก็มี หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ จังหวัดอยุธยา ทำตะกรุดถวายในหลวง มีหลวงพ่อไท วัดไทรย้อย จังหวัดเพชรบุรี ทำเสือมหาอำนาจถวายในหลวง แล้วที่เห็นคาตา ก็คือ หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ถวายมีดหมอดาบฟ้าฟื้นให้ในหลวง ทั้ง ๒ พระองค์เลยนะ ทั้งในหลวงรัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ที่เป็นในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ในปัจจุบัน
สมัยก่อนครูบาอาจารย์หลวงปู่หลวงพ่อแต่ละรูป ท่านสร้างเครื่องรางของขลังให้ลูกศิษย์ ก็พิจารณาแล้วพิจารณาอีก เพราะส่วนหนึ่งเกรงว่าจะเป็นภัยต่อราชบัลลังก์ เกรงลูกศิษย์ได้เครื่องรางของขลังไปแล้วอยู่ยงคงกระพัน อาวุธทำอันตรายไม่ได้ อาจจะคิดการใหญ่ก่อกบฏขึ้นมา ก็เลยมีการระมัดระวังกันเป็นอย่างสูง ท่านที่ทำถวายในหลวง ก็จะทุ่มเทสุดยอดความสามารถในชีวิตของตน เพื่อที่จะสร้างวัตถุมงคลที่มีพลานุภาพสูงสุด ถวายเป็นเครื่องคาดราชศัสตรา อย่างเช่น สายวัดประดู่ทรงธรรม สืบทอดตำราสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ซึ่งได้สร้างเครื่องคาดราชศัสตราถวายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทางสายวัดประดู่ทรงธรรม ก็จะทำตะกรุดมหาจักรพรรดิตราธิราชถวายในหลวง ตะกรุดมหาจักรพรรดิตราธิราชต้องใช้พิธีใหญ่ ล้อมราชวัตรฉัตรธง แล้วจารตะกรุดในพิธี โดยมีพระสงฆ์ ๑๐๘ รูปเจริญพุทธมนต์ แล้วต้องมีการกำหนดว่า เจริญพุทธมนต์บทนี้ต้องลงอักขระชุดนี้ เจริญพุทธมนต์บทนี้ลงอักขระชุดนี้ สวดจบก็เขียนตะกรุดเสร็จพอดี ตะกรุดมหาจักรพรรดิตราธิราชจึงไม่ใช่ของหาง่าย ๆ อาตมาเรียนมาจากตำราสายหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม ที่ถ่ายทอดไปถึงหลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี แล้วหลวงพ่อสาย วัดท่าขนุน ศึกษามาอีกต่อหนึ่ง ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีโอกาสทำเมื่อไร เพราะว่าต้องใช้พระ ๑๐๘ รูป ตั้งปะรำพิธี ๔ ทิศ ทิศละ ๒๗ รูป"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 14-09-2017 เมื่อ 14:32 |
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#72
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้ในสื่อสังคมมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างร้อนแรง ความจริงนั้นเกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ที่ดังขึ้นมาอีกรอบก็คือ เรื่องที่คุณเนติวิทย์ ประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโดนปลดออก
คุณเนติวิทย์คัดค้านการที่นิสิตไปหมอบกราบพระบรมราชานุสาวรีย์ ๒ รัชกาล ในเมื่อคัดค้านแล้ว ทำให้มีความปั่นป่วนขึ้นในพิธี มหาวิทยาลัยก็เลยลงโทษด้วยการตัดคะแนนความประพฤติ จนกระทั่งคะแนนไม่พอ จึงหลุดออกจากสภานิสิต ฯ ซึ่งเรื่องนี้ในความเห็นของอาตมาว่า ทางมหาวิทยาลัยทำถูกแล้ว เหตุที่ทำถูกแล้ว ไม่ใช่ว่าการเห็นต่างของคุณเนติวิทย์เป็นความผิด แต่คุณเนติวิทย์ทำแบบไม่ดูกาละเทศะ ไม่ดูขนบธรรมเนียมหรือจารีตประเพณี โบราณว่า เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม แต่คุณเนติวิทย์เป็นคนตาดีเพียงคนเดียว ก็เลยอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ยาก ถ้าว่ากันในด้านของหลักธรรม คุณเนติวิทย์ขาดข้อธรรมที่ว่า ปูชา จ ปูชนียานํ การบูชาบุคคลที่ควรบูชา ในหลวงรัชกาลที่ ๕ มีคุณความดีขนาดไหน คนรู้กันทั้งในและต่างประเทศ คุณเนติวิทย์จะบอกว่าพระองค์ท่านเลิกทาสแล้ว ทำไมต้องไปหมอบ ไปกราบ ไปไหว้อยู่ด้วย ในเมื่อไม่รู้จักบุคคลที่ควรบูชายังไม่ว่า ยังไม่รู้กาลเทศะอีกต่างหาก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-09-2017 เมื่อ 20:48 |
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#73
|
||||
|
||||
![]()
"กาละ คือ เวลาที่เหมาะสม เทศะ คือ สถานที่อันเหมาะสม
แปลว่าขาดศิลปะในการดำรงชีวิต ก็คือขาดมงคลอีกข้อหนึ่งที่ว่า การมีศิลปะเป็นอุดมมงคล คือ สิปปัญจะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง ในเมื่อขาดศิลปะในการดำรงชีวิต ไม่รู้จักคล้อยตามเสียงส่วนใหญ่ แปลว่าเป็นบุคคลที่กระด้าง คำว่ากระด้างก็คือ ส่วนใหญ่ต้องการอย่างไรตัวเองไม่สนใจ คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นถูกแล้ว ดีแล้ว อย่างเดียว บุคคลประเภทนี้จะอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นได้ยาก สมมติว่าเรียนจบไปแล้วถ้าไปสมัครงาน ไปบริษัทไหน ถึงเวลายื่นใบสมัคร เขาเห็นว่าชื่อเนติวิทย์ ทุกบริษัทก็คงจะคิดหนัก ว่าบุคคลมีความสามารถแต่ไม่รู้กาละเทศะ ไม่เคารพธรรมเนียมแบบนี้ ควรที่จะรับเอาไว้ในบริษัทของตนหรือไม่ ?"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-09-2017 เมื่อ 20:50 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#74
|
||||
|
||||
![]()
"เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็จะเห็นว่า ในส่วนของหลักธรรมคุณเนติวิทย์ก็ขาด ในด้านของสังคมก็บกพร่อง ท้ายที่สุดก็เลยเหลือในเรื่องของปัญญา
ในเรื่องของปัญญานั้น คุณเนติวิทย์สามารถสอบเข้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศได้ ในเรื่องของปัญญาที่เป็นสุตมยปัญญา ก็คือ ความจำ ถือว่าดีมาก แต่ว่าปัญญาในการเอาตัวรอดที่เป็นเนปักกปัญญาไม่มี ก็เลยต้องไปขัด ต้องไปสะดุดกับระบบ ไปสะดุดกับธรรมเนียมประเพณีของคนส่วนใหญ่ ซึ่งไม่เป็นที่ถูกใจของตนเองที่เป็นชนกลุ่มน้อย เป็นเสียงส่วนน้อย ในเมื่อตนเองเป็นเสียงส่วนน้อย ไม่รู้จักเคารพเสียงส่วนมาก ปัญหาจึงเกิดขึ้น บุคคลประเภทนี้อยู่ที่ไหนก็จะสร้างความวุ่นวายให้กับสังคมที่นั่น เพราะว่าถือตัวเองเป็นศูนย์กลาง เห็นว่าตัวเองทำดีแล้ว ทำถูกแล้ว บุคคลอย่างคุณเนติวิทย์เกิดเร็วเกินไป หรือเกิดผิดสถานที่ คำว่าเกิดเร็วเกินไปก็คือ ถ้าต่อไปอีกสัก ๑๐๐ - ๒๐๐ ปี สังคมอาจจะเปลี่ยนแปลงไปในแนวที่เขาต้องการ ขณะเดียวกัน ถ้าไปเกิดอยู่ในสังคมตะวันตก ที่เชื่อความสามารถของคนมากกว่าเชื่อความดีของคน ก็สามารถที่จะอยู่ร่วมกับเขาได้ แต่ว่าในสังคมของบ้านเรายังเชื่อในความดีของคน ยังมีการแสดงออกในลักษณะของกตัญญูกตเวทิตา ก็จะอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นได้ยาก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-09-2017 เมื่อ 20:52 |
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#75
|
||||
|
||||
![]()
"ดังนั้น...เรื่องของคุณเนติวิทย์จึงขอสรุปลงตรงที่ว่า เป็นบุคคลที่ขาดหลักธรรมในการดำเนินชีวิต ไม่เข้าใจสภาพสังคมส่วนใหญ่ว่ามีความต้องการอะไร และบกพร่องทางปัญญา แสดงออกโดยไม่ดูกาลเทศะ ไม่ดูขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณี จึงทำให้ตนเองและบุคคลที่ไม่เห็นด้วยกับตนเองเดือดร้อน
เรื่องการเห็นต่างของคุณเนติวิทย์เป็นของดี เพราะว่าบุคคลอื่นจะได้ดูว่า สิ่งที่คุณเนติวิทย์ว่ามานั้นมีความจริงเท่าไร แต่เราจะต้องคำนึงถึงสภาพของส่วนรวมด้วย ไม่ใช่ว่าเราไปได้คนเดียว แต่มหาวิทยาลัยไปไม่ได้ มหาวิทยาลัยของเราไปได้ แต่ประเทศชาติไปไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าสิ่งที่เราทำนั้นไม่ถูกต้อง ความจริงเรื่องของคุณเนติวิทย์ไม่น่าจะดังขึ้นมา แต่ที่ดังขึ้นมาเพราะว่าเมื่อเขาแสดงการต่อต้านระบบแล้ว อาจารย์ก็แสดงออกด้วยความรุนแรง เรื่องจึงดังขึ้นมา เราเองเมื่ออยู่ในกระแสสังคม เราต้องรู้จักกลั่นกรองด้วยสติ ด้วยปัญญา จะได้เห็นว่าอะไรดีจริง อะไรไม่ดีจริง อะไรเหมาะสม อะไรไม่เหมาะสม ไม่อย่างนั้นแล้ว มัวแต่ใช้อารมณ์ ก็อาจจะสร้างกระแสร้อนแรง โหมกระพือไฟ จนกระทั่งกลายเป็นความแตกแยกในสังคม ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเป็น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-09-2017 เมื่อ 20:53 |
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#76
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานฉลอง ๘๐ ปีตุ๊พ่อสิงห์ ได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายจนสำเร็จลงด้วยดี ต้องบอกว่าจัดได้ดีกว่าที่อาตมาคาดไว้มาก เพราะว่าไม่มีเวลาดูแลใกล้ชิด แต่ท่านที่รับช่วงไปดูแลมีความสามารถจริง ๆ โดยเฉพาะในส่วนของซุ้มสืบชะตา ทำได้สวยมาก ยังบอกกับท่านเอาไว้ว่า เดี๋ยวพออีก ๒ ปี จะจัดงานของตัวเอง ๖๐ ปีบ้าง ขอให้พระชุดนี้ไปช่วยงานที่วัด ท่านเจ้าอาวาสวัดศรีปิงเมืองท่านตกลงแล้วนะ
เรื่องของการจัดงาน ๘๐ ปีให้ตุ๊พ่อสิงห์ ต้องบอกว่าประสบความสำเร็จในหลายด้านด้วยกัน ด้านความรักความสามัคคีในหมู่ศิษย์ถือว่าประสบความสำเร็จมาก ทุกคนพร้อมใจกันช่วยกันคนละไม้คนละมือ จนงานออกมาดีมาก ในเรื่องของความกตัญญูกตเวทีต่อครูบาอาจารย์ก็ถือว่าได้ทำอย่างเต็มที่ เพราะว่าในช่วงวันที่ ๑๙ ตุ๊พ่อก็ได้มาติกาบังสุกุล ทำบุญถวายบรรพบุรุษก่อน พอวันที่ ๒๐ คณะศิษย์ก็จัดงานสืบชะตาหลวงถวายท่าน คือตุ๊พ่อท่านได้แสดงความกตัญญูกตเวที ต่อพ่อแม่พระอุปัชฌาย์อาจารย์ คณะศิษย์ได้แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อตุ๊พ่อ ฉะนั้น...ในส่วนเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่งดงามของไทยเรามาแต่เดิม ซึ่งปัจจุบันค่อนข้างจะเลือนลางจางหายไปในกระแสสังคมยุคใหม่ พวกเราก็ได้ทำให้ปรากฏชัดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง จึงถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-09-2017 เมื่อ 18:23 |
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#77
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเราระยะนี้ให้ระมัดระวังเรื่องน้ำไว้ด้วย ตอนนี้น้ำท่วมทั่วโลกเลย ไม่ใช่แต่บ้านเรา ได้ยินกรมอุตุนิยมวิทยาเตือนในเรื่องของพายุเข้าประเทศไทย ก็ระมัดระวังล่วงหน้าไว้สักนิดหนึ่ง
ในเรื่องของการอุตุนิยมวิทยาสมัยใหม่ ความรู้ความสามารถมีมากขึ้น เพราะว่าเครื่องมือเครื่องไม้ดีขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น ทำให้ทำนายได้แม่นยำ ลักษณะเดียวกับประเทศอังกฤษ ประเทศอังกฤษทำนายสภาพอากาศทุกชั่วโมง ใครจะออกจากบ้านนี่จะโทรถามก่อน ถึงเวลาจะได้รู้ว่าจะฝนตก แดดออก หิมะลงอย่างไร จะได้ระวังป้องกันไว้ล่วงหน้า เรื่องของกรมอุตุนิยมวิทยา โดยเฉพาะคุณสมิทธ ธรรมสโรช ซึ่งปัจจุบันเป็นประธานมูลนิธิเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ยอมรับความสามารถของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เพราะว่าในหลวงรัชกาลที่ ๙ บอกอะไรก็เป็นอย่างนั้น จนคุณสมิทธงงว่า ตนเองมีเครื่องไม้เครื่องมือในการตรวจสภาพอากาศครบถ้วน ยังทำนายไม่ได้อย่างในหลวงรัชกาลที่ ๙ ท่านเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-09-2017 เมื่อ 18:28 |
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#78
|
||||
|
||||
![]()
"ตอนช่วงปีนั้นพายุแองเจล่ากำลังจะเข้าปักษ์ใต้ คุณสมิทธก็รีบทูลเกล้าถวายรายงาน เพราะว่าถ้าขึ้นฝั่งเมื่อไรบรรลัยแน่นอน เหตุว่าแรงกว่าวาตภัยที่แหลมตะลุมพุกอีก ในหลวง ร.๙ ยืนยันกับคุณสมิทธว่า พายุไม่ขึ้นฝั่ง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ เนื่องจากว่าอย่างไรพายุก็ต้องขึ้นฝั่ง
แต่กระนั้นในหลวงรัชกาลที่ ๙ ก็ไม่ได้ทรงประมาท สั่งให้เรือหลวงจักรีนฤเบศร์ลอยลำเตรียมช่วยเหลือผู้คน ถ้าไม่เป็นไปตามที่พระองค์ท่านตรัสไว้ สั่งมูลนิธิราชประชานุเคราะห์เตรียมช่วยเหลือผู้คนล่วงหน้าไว้แล้ว แต่พอพายุใกล้จะเข้าถึงฝั่งก็หักเลี้ยวออกทะเลไปเฉย ๆ แทนที่จะเข้าประเทศไทยก็ไปถล่มเวียดนามแทน ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงตรัสในวันที่ ๓ ธันวาคมว่า พระองค์ท่านไปขอความช่วยเหลือจากนางมณีเมขลา ซึ่งเป็นเทวดาที่ดูแลสภาพดินฟ้าอากาศและมหาสมุทร นางมณีเมขลาบอกว่าจะลองช่วยดู แล้วพระองค์ท่านก็สรุปว่า ตกลงว่านางเมขลาแข็งแรงกว่า ก็เลยปล้ำจนพายุยอมเปลี่ยนทิศไปได้ ซึ่งไม่เคยปรากฏขึ้นที่ไหนในโลก เมื่อเห็นคนฟังทำหน้างง ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ก็เลยสรุปว่านางมณีเมขลา ก็คือ สัญลักษณ์ของกรมฝนหลวง ก็ในเมื่ออยากโง่ดีนัก พระองค์ท่านก็เลยลากออกทะเลไปเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-09-2017 เมื่อ 03:23 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#79
|
||||
|
||||
![]()
"มีอยู่ปีหนึ่งที่อากาศแห้งแล้งมาก ปรากฏว่าอยู่ ๆ ฝนหลงฤดูก็ตก ตั้งแต่กุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายนเลย ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ตรัสว่า พระองค์ท่านไปขอร้องท้าวมหาราช ให้พาเทวดาไปเล่นสงกรานต์ที่สุวรรณภูมิหน่อย เพราะว่าชาวบ้านเขาเดือดร้อน เนื่องจากฝนแล้ง
ท้าวมหาราชท่านตอบว่า เมื่อพระราชาของแคว้นสุวรรณภูมิขอร้องก็จะจัดให้ แต่อาจจะมีบางที่ได้รับความเดือดร้อนจากน้ำมากเกินไป ในหลวงก็ตรัสว่าถ้าคนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์ คนส่วนน้อยเดือดร้อน ก็ต้องยอมรับว่าเป็นกฎของกรรม ให้เอาส่วนใหญ่แล้วกัน ท้าวมหาราชท่านก็เลยจัดเต็มให้ นี่คือสิ่งที่ในช่วงท้าย ๆ ของการทรงงาน แล้วพระองค์ท่านเปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผีเรื่องของเทวดานางฟ้านั้น ล้วนแล้วแต่เป็นจริงอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก และพระองค์ท่านสามารถติดต่อพูดคุยได้ ขอร้องให้มาช่วยบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชนของพระองค์ได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-09-2017 เมื่อ 18:29 |
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#80
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยที่ยังอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเตือนไว้นักหนาว่า ถ้าไปรับตำแหน่งเจ้าอาวาสที่ไหน ให้ทำการบวงสรวงบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางและครูบาอาจารย์ไว้เสมอ เพราะว่าเรื่องของเทวดา เรื่องของพรหม รับปากอะไรใครไว้ก็ให้เฉพาะคนนั้น ถ้าคนใหม่มาต้องทำความตกลงกันใหม่
ฉะนั้น...บางแห่งบางสถานที่เมื่อละเลยตรงจุดนี้ เกิดสิ่งที่ไม่ดีขึ้น เราก็จะได้เข้าใจว่าเกิดจากสาเหตุอะไร เพราะว่าเรื่องของพรหม เทวดา ท่านยอมรับกฎของกรรมมากกว่าเรา ถ้าเราไม่ได้ขอร้อง ท่านก็วางเฉย แต่ถ้าเราขอร้อง โดยความสัมพันธ์ โดยหน้าที่ หรือว่าโดยวาระบุญวาระกรรมที่ผูกพันกันมาแต่เดิม ท่านก็จะช่วยสงเคราะห์ผ่อนหนักเป็นเบา จากเบาเป็นหายให้ได้ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกมากต่อมากด้วยกัน ไม่ว่าจะในเทวตาสังยุตต์ พรหมสังยุตต์ มารสังยุตต์ กล่าวถึงเรื่องของพรหม เรื่องของเทวดา เรื่องของมาร หรือว่าในส่วนของวิมานวัตถุ เปตวัตถุ กล่าวถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้วทั้งที่เสวยสุขและเสวยทุกข์ แต่ว่าคนสมัยหลัง ๆ ความสามารถไม่ค่อยจะถึง สภาพจิตไม่มีความผ่องใสเพียงพอ ไม่สามารถรับรู้เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ได้ ส่วนหนึ่งก็กล่าวหาว่าเป็นการหลอกลวงกัน โดยไม่ได้ดูว่า หลวงปู่หลวงพ่อหลายท่านอาศัยการสงเคราะห์ของพระ ของเทวดาอยู่เป็นปกติ ก็เลยกลายเป็นว่าคนยุคใหม่ไม่ค่อยเชื่อในเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ก็ดีอยู่อย่างเพราะว่าพรหม เทวดา ไม่ค่อยเดือดร้อน ในเมื่อไม่เชื่อก็ไม่มาขอให้ช่วย แต่คราวนี้พรหม เทวดา ไม่เดือดร้อน ปัจจุบันเห็นว่าพญานาคเดือดร้อนมาก ใคร ๆ ก็ไปหาพ่อปู่ศรีสุทโธที่คำชะโนด...ใช่ไหม ? หมดท่าหมดทางก็ทำน้ำท่วมคำชะโนดไปเลย จะได้ไม่ต้องไปกันอีก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-09-2017 เมื่อ 19:56 |
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|