#1
|
||||
|
||||
![]()
ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เราถนัดและเคยชินมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ในวันนี้พระครูสมุห์ธรรพ์ณธร ธมฺมทินฺโน เจ้าอาวาสวัดหนองบ้านเก่า ท่านนำคลิปวิดีโอมาให้อาตมาดู เป็นภาพของเด็กวัยก่อนเกณฑ์ เรียกง่าย ๆ ว่าเด็กอนุบาล เถียงกับผู้ใหญ่ซึ่งอายุมาก และโดยเฉพาะเป็นแม่ค้าในตลาด ซึ่งถ้าโดยทั่วไปพวกเราก็คงเข้าใจคำว่า "แม่ค้าปากตลาด" เป็นอย่างไร แต่ปรากฏว่าเด็กคนนี้กล้าเถียงผู้ใหญ่ และเถียงแบบมีเหตุมีผล ท่านพระครูสมุห์ธรรพ์ณธรถามว่า "หลวงพ่อครับ...เด็กเขาเอากำลังใจอย่างนี้มาจากไหน?" นั่นคือประเด็นว่าเด็กเอากำลังใจแบบนี้มาจากไหน? ต้องมีความเข้มแข็งของจิตมากเท่าไร ? ถึงจะกล้าเถียงผู้ใหญ่กลางที่ชุมชน โดยเฉพาะอายุห่างกันไม่หนี ๔๐-๕๐ ปี เรื่องแบบนี้ถ้าใครฝึกปฏิบัติสมาธิภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัว ก็จะทราบว่าเป็นเรื่องปกติ บุคคลที่สมาธิทรงตัวจะไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด ๆ รอบข้าง โดยเฉพาะเรื่องของกิเลสต่าง ๆ ที่ชวนให้เรา รัก โลภ โกรธ หลง แต่ถ้าหลุดออกจากสมาธิภาวนาเมื่อไร ถ้ารักษาอารมณ์ไว้ไม่เป็น รัก โลภ โกรธ หลง ก็จะกินใจเราได้ทันที กำลังใจของเราที่ฝึกต่อต้านกิเลสนี่แหละ ที่จะเข้มแข็งขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามลำดับของสมาธิที่เราทำได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2016 เมื่อ 04:07 |
สมาชิก 60 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
เมื่อกำลังใจของเราเข้มแข็ง ถึงเวลาก็ย่อมกล้าที่จะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ โดยไม่หวั่นไหว แล้วถ้าหากมีคำถามว่าเด็กตัวแค่นั้นเอง ขุดกำลังใจมาได้อย่างไร ? ก็ต้องบอกว่าเป็นของที่ติดตัวข้ามชาติข้ามภพมา
การทำบุญทำบาปของเราทั้งหลายไม่ได้สูญหายไปไหน ถึงเวลาสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ย่อมกลายเป็นวิบาก ก็คือการส่งผลต่อเราในภายภาคหน้า ฉะนั้น...การที่ท่านทั้งหลายมาฝึกปฏิบัติภาวนา ก็ให้ดูตัวอย่างเด็กเล็ก ๆ เอาไว้ว่า เรามีความกล้าหาญ มีความมุ่งมั่น กล้าพูดกล้าทำอย่างเขาหรือไม่ ? ถ้ายังไม่มี...แปลว่ากำลังใจของเรายังใช้ไม่ได้ จำเป็นที่เราจะต้องมาฝึกซ้อมในเรื่องของสมาธิภาวนาให้มากยิ่งกว่านี้ โดยเฉพาะอานาปานสติ หรือการตามดูตามลมหายใจเข้าออก ซึ่งจะสร้างสมาธิของเราให้ทรงตัวมั่นคงได้ มีกำลังในการต่อต้านกระแสกิเลส ถ้าท่านทั้งหลายที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมจะทิ้งเรื่องของสมาธิภาวนา โดยเฉพาะลมหายใจเข้าออกไม่ได้เลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-08-2016 เมื่อ 19:50 |
สมาชิก 56 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลที่ทรงฌานสมาบัติมารจะมองไม่เห็น ที่มารจะมองไม่เห็นเพราะบุคคลที่ทรงฌานตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป สภาพจิตสะอาดปราศจากรัก โลภ โกรธ หลง ชั่วคราว เสนามารต่าง ๆ รบกวนไม่ได้ ในเมื่อไม่มีอะไรรบกวนได้ ต้นตำรับก็คือพญามาร ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าบุคคลผู้นี้ทำอะไรอยู่ที่ไหน พระองค์ท่านถึงได้ตรัสว่ามารจะมองไม่เห็น
ฉะนั้น...ในการที่เราปฏิบัติสมาธิภาวนา หรือปฏิบัติพระกรรมฐานของเรา ก็ควรจะตั้งเป้าไว้ให้ชัดเจนว่า อย่างน้อยในชีวิตนี้เราต้องเข้าถึงปฐมฌานให้ได้ ถ้าได้ฌาน ๒ ฌาน ๓ ฌาน ๔ ยิ่งดี เราจะเกิดความมั่นคงยิ่ง ๆ ขึ้นไป ทำให้มารทั้งหลายไม่สามารถที่จะหาเราพบ ไม่สามารถที่จะส่งเสนามารมารบกวนเราได้ แม้ว่าจะเป็นแค่ฌานโลกีย์ก็ตาม ก็มีอำนาจในการกดกิเลสให้ดับลงชั่วคราว บุคคลที่ทรงฌานได้จะมีความสุขอย่างยิ่ง เพราะ รัก โลภ โกรธ หลง ที่เป็นไฟ ๔ กองคอยเผาสัตว์โลกอยู่ตลอดเวลา โดนดับลงชั่วคราวด้วยอำนาจของฌานสมาบัติ เราจะมีแต่ความสงบความเยือกเย็นทั้งกายและใจ ถ้าหากว่าใครสามารถรักษาเอาไว้ยาวนานเท่าไร ก็จะได้รับความสุขความสงบได้นานเท่านั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2016 เมื่อ 19:22 |
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
แต่ขอให้อย่าได้ยินดีเพียงแค่นั้น ให้ทุกคนมุ่งลัดตัดตรงเข้าหาการละกิเลสตามสังโยชน์ โดยเฉพาะทำความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้แน่นแฟ้นจริงจัง ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง แม้เคยล่วงเกินไปแล้ว ก็ให้หมั่นกราบขอขมาพระรัตนตรัยเอาไว้เสมอ
พยายามรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล เห็นผู้อื่นละเมิดศีลเราก็ไม่ยินดีด้วย และท้ายที่สุดให้ทำความรู้สึกตัวไว้เสมอว่า เราจะต้องตายแน่นอน ถ้าขึ้นชื่อว่าตายแล้วการเกิดมามีความทุกข์เช่นนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก สถานที่เดียวที่พ้นจากความทุกข์ทั้งปวงที่รอเราอยู่นั่นคือพระนิพพาน ให้ทุกคนวางกำลังใจสุดท้ายเอาไว้ที่พระนิพพาน ลำดับต่อไปให้ทุกท่านตั้งใจกำหนดภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี วันศุกร์ที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๙ (ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2016 เมื่อ 19:23 |
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|