#21
|
||||
|
||||
![]()
"ความจริงเรื่องหล่อพระ ถ้าอาตมาไม่เกรงใจโยม สามารถไปแบกทองมาเองได้เลย เพราะว่าไปเจอแหล่งมา ตักขึ้นมาเป็นทราย เป็นจอบ ๆ เลย แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ วาระยังมาไม่ถึง ในเมื่อวาระยังมาไม่ถึงก็เลยทำให้ยังไม่สามารถเอาขึ้นมาได้ เพราะถ้าเอาขึ้นมาจะเป็นของผู้มีอำนาจไม่กี่คน ไม่ใช่ของที่เหมาะควรแก่คนทั้งประเทศ ก็เลยต้องลำบากญาติโยมมาช่วยกันทำบุญ หาทองมาคนละสลึง ครึ่งสลึง คนละบาท สร้างกันไปเรื่อย
อาตมาเองถ้าไม่ได้ไปเจอ ไปดูมาด้วยตัวเอง ไม่ได้จับมาด้วยตัวเองก็ไม่เชื่อเหมือนกัน แต่ปรากฏว่าเมืองไทยเราทองมากจริง ๆ บรรดาท่านที่มีความรู้ด้านนี้บางท่านก็บอกว่า อาตมามาอยู่กาญจนบุรีเพื่อมาเฝ้าขุมทองใช่ไหม ? ใครจะมีอารมณ์ไปเฝ้า ทองคำของไทยที่ดังจริง ๆ คือทองที่บางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แล้วก็ทองที่โต๊ะโมะ จังหวัดนราธิวาส ทองบางสะพานเขาเรียกว่าทองเนื้อเก้า บางคนขุดได้เป็นก้อนขนาดหัวแม่มือเลย ส่วนเหมืองทองที่โต๊ะโมะนั้น ขุนวิเศษสุวรรณภูมิ ต้องบอกว่าเป็นปู่หรือตาของครูพนมเทียนก็ไม่ทราบ ท่านไปเจอแหล่งเข้า แล้วก็ขออนุญาตทำทองส่งภาษีให้ส่วนกลาง จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นท่านขุนวิเศษสุวรรณภูมิ สุวรรณภูมิก็คือแผ่นดินทอง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-03-2016 เมื่อ 19:35 |
สมาชิก 144 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#22
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาพระผู้ใหญ่ไปไหนจะมีพระอนุจร คือพระติดตามไปด้วยอย่างน้อย ๑ รูป อันนี้เป็นแบบธรรมเนียมมาแต่โบราณเลย อาตมาเองเริ่มแก่ชราแล้ว คาดว่าอีกไม่นานต้องมีพระอนุจรตามหลังบ้าง แต่โดยปกติแล้วพระที่พ้นพรรษา ๕ ก็จะเริ่มมีพระอนุจรติดตามแล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2016 เมื่อ 03:57 |
สมาชิก 111 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#23
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์หยิบซองในขันแยกออกมาเปิด ปรากฏว่าในซองเป็นทองคำ "พอเห็นแล้วต้องรู้ ...(หัวเราะ)... ไม่รู้ไม่ได้ สมัยนั่งอยู่ข้างหลวงพ่อวัดท่าซุง เวลาโยมทำบุญมา อาตมาก็มีหน้าที่แจกวัตถุมงคลตามราคา อย่างเช่นว่าทำบุญ ๑๐๐ บาท แจกอย่างนี้ ๒๐๐ บาทแจกอย่างนี้ อาตมาเองพอเวลาเขาวางซองก็แจกเลย เล่นเอาลุงเอี๊ยง ลุงพุฒิ ซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ก็งง "ไอ้นี่แจกไม่ดูเลยเว้ย..!" ลุงพุฒิแกก็ฉีกซองตรวจดู "เฮ้ย...ถูกทุกทีว่ะ"
หารู้ไม่ว่าอาตมาอาศัยเวลานั่งข้างหลวงพ่อวัดท่าซุงนั่นแหละ ได้ซ้อมมโนมยิทธิเช้ายันค่ำ มีอยู่รายหนึ่งถวายซองมา อาตมาฉีกหย่อนลงถังขยะไปเลย แล้วส่งแหนบไปให้อันหนึ่ง ลุงเอี๊ยงตาเหลือก รีบล้วงขึ้นมาเปิดดู ปรากฏว่าเขาเอาเศษกระดาษหนังสือพิมพ์พับ ๆ ใส่มา อยากได้วัตถุมงคลแต่คงจะไม่มีสตางค์ ฉะนั้น...เรื่องของมโนมยิทธิสำคัญตรงที่ต้องขยันซ้อม ถ้าไม่ขยันซ้อมโอกาสที่สนิมขึ้นจะมีสูงมาก ระยะหลังอาตมาไม่ค่อยได้ซ้อมแล้ว รอเวลาพระหรือว่าพรหมเทวดาท่านมาสงเคราะห์อย่างเดียว ชักจะสนิมขึ้นแล้วเหมือนกัน คงต้องหาเวลาไปซักซ้อมกันอีกสักที"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2016 เมื่อ 03:59 |
สมาชิก 118 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#24
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า “ครูบา หรือ ครูบาเจ้า ต้องได้รับการยกให้เป็น ไม่ใช่เป็นกันส่งเดช อย่างบ้านเราปัจจุบันนี้ตำแหน่งครูบาหรือครูบาเจ้านี่ส่งเดชกันมากเลย
ครูบาเจ้าเป็นได้ ๒ วิธี วิธีแรก คือ เป็นเชื้อสายของเจ้า ๗ ตนที่ครองเมืองเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน มาก่อน ถ้าหากว่าบวชแล้ว พรรษาได้ ๒๐ เป็นมหาเถระ เขาเรียกว่า ครูบาเจ้า ครูบาเจ้าอีกวิธีหนึ่ง ก็คือ ได้รับการสถาปนาให้เป็นโดยคณะสงฆ์ที่สังกัดสายวัดป่าแดง ซึ่งเป็นสายธรรมสายหนึ่ง คือทางเหนือจะมีสายวัดสวนดอก (วัดบุปผาราม) กับวัดป่าแดง สายวัดป่าแดงจะสถาปนาครูบาเจ้าให้กับพระเถระที่ได้รับความเคารพนับถือจากญาติโยมเป็นอย่างมาก อย่างเช่นครูบาเจ้าศรีวิชัย ถ้าไม่ได้รับการสถาปนาหรือไม่ได้เป็นเชื้อเจ้าอย่างหลวงพ่อเกษม วัดสุสานไตรลักษณ์ จะใช้คำว่าครูบาเจ้าไม่ได้ ครูบาทั่วไป ก็คือ พระภิกษุได้รับการเคารพนับถือจากชาวบ้านเป็นจำนวนมากต่อมากด้วยกัน ทุกคนมีความเห็นเหมือนกันว่าท่านมีศีลาจารวัตรที่งดงาม มีความรู้แตกฉานในพระธรรมวินัย ก็จะถวายสมัญญาว่า “ครูบา” ให้เอง ไม่ใช่ที่เรามาเรียกกันส่งเดชอย่างทุกวันนี้”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2016 เมื่อ 04:00 |
สมาชิก 116 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#25
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพี่พระมหาเอ หรือพระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม เปรียญธรรม ๖ ประโยค วัดปากน้ำภาษีเจริญ ท่านเป็นเจ้าภาพในการหล่อพระ ท่านถวายทั้งค่าปั้นพระ ค่าหล่อพระ ค่าขนส่ง มาเรียบร้อยตั้งแต่ปีที่แล้ว ญาติโยมที่ร่วมบุญมา อาตมาก็เลยสร้างบุญเพิ่มให้ ด้วยการร่วมบุญในการแกะสลักหลวงพ่อพระพุทธปุษยคีรีที่วัดเขาทำเทียม อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี
ฉะนั้น...ในส่วนเกินที่โยมทำบุญมาวันนี้ ถือว่าทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างหลวงพ่อพระใหญ่ที่สุพรรณบุรี เป็นพระพุทธรูปแกะสลักที่หน้าผาเขาทำเทียม ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย หลวงพ่อสะอิ้ง ท่านเป็นพระนักปฏิบัติแบบเสือซุ่ม อาตมาไปรู้ความลับท่าน ตั้งแต่นั้นมาเจอหน้ากันเมื่อไร อาตมาโดนเขกกะโหลกเมื่อนั้น อานิสงส์ในการสร้างพระพุทธรูป จะองค์เล็กเท่าใบหญ้าคาหรือองค์ใหญ่เท่าภูเขา อานิสงส์นี้จะเป็นมหาอำนาจติดตัวไปนับชาติไม่ถ้วน โดยเฉพาะในส่วนของพุทธบูชา ทำให้ท่านทั้งหลายเข้าพระนิพพานได้ง่ายที่สุด"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2016 เมื่อ 04:01 |
สมาชิก 119 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#26
|
||||
|
||||
![]()
มีคณะของพระและญาติโยมมาขอถ่ายรูปร่วมกับพระอาจารย์ "คุณสุภาพบุรุษช่วยมากั้นด้านนี้ไว้ให้หน่อย ไม่อย่างนั้นคนอื่นเขาเห็นพระถ่ายรูปใกล้กับผู้หญิงแลดูไม่งามเลย เราเป็นพระ เราต้องรู้จักระมัดระวังตนเอง อาศัยคนอื่นเขาไม่ได้หรอก โยมเขาเห็นว่าอะไรเหมาะเขาก็ทำ แต่ความเหมาะของโยมบางทีไม่เหมาะสมของพระ ต้องระมัดระวังเอาไว้บ้าง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2016 เมื่อ 04:02 |
สมาชิก 115 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#27
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์ "โถ...นึกว่าเบี้ยแก้สั่น อุตส่าห์รีบล้วงดู ที่แท้เป็นข้อความเข้า"
ถาม : เบี้ยแก้ของหลวงปู่เพิ่มหรือครับ ? ตอบ : ของหลวงปู่เจือ เล็กดี ของหลวงปู่เพิ่มนั่นเบ่อเริ่มเลย ถาม : เบี้ยแก้ต้องเลี่ยมเปิดไหมครับ ? ตอบ : ไม่ต้องหรอก ชอบอย่างไรก็เลี่ยมไป เลี่ยมทองได้ยิ่งดี มีโยมไปเลี่ยมทองมาโดนปรอทกินจนซีดเป็นสีเงินเลย ...(หัวเราะ)... นั่นขนาดปรอทแข็งตัวแล้วนะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2016 เมื่อ 04:04 |
สมาชิก 117 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#28
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของศาสนาอื่นจะทำลายศาสนาพุทธเป็นของยาก เพราะศาสนาพุทธเป็นของจริง แต่คราวนี้พระภิกษุสามเณรในพระศาสนาเราได้ปฏิบัติจริงหรือยัง ? ถ้ายังปฏิบัติไม่จริงจัง ถึงเวลาเป็นที่พึ่งให้แก่ญาติโยมไม่ได้ เป็นที่พึ่งให้แก่ตนเองไม่ได้ ไม่ต้องให้ใครเขามาทำลายหรอก ตัวเรานั่นแหละที่ทำลายตัวเราเอง..!
เมื่อบวชเข้ามาแล้ว จะบวชด้วยเจตนาเพื่อความหลุดพ้น บวชหนีสงสาร บวชผลาญข้าวสุก บวชสนุกตามเพื่อน อกหัก หลักลอย คอยงาน สังขารเสื่อม เอือมเจ้านาย ยายให้บวชแก้บนก็ตาม พอบวชเข้ามาแล้วก็ต้องเล่นให้สมบทบาท บทบาทของเราก็คือพระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนา ถึงเวลาเราก็มานั่งสวดมนต์ “บรรพชิตพึงพิจารณาเนือง ๆ ว่า ขณะนี้เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้ว กิริยาอาการใด ๆ ที่เป็นของสมณะ เราต้องทำกิริยาอาการนั้น ๆ” “บรรพชิตพึงพิจารณาเนือง ๆ ว่า การเลี้ยงชีวิตของเราเนื่องด้วยผู้อื่น เราควรทำตนให้เขาเลี้ยงง่าย” ว่าไปเรื่อยจนกระทั่งถึง “บรรพชิตพึงพิจารณาเนื่อง ๆ ว่า คุณวิเศษของเรามีอยู่หรือไม่ ? เพื่อจะได้ไม่เก้อเขินเมื่อเพื่อนสหธรรมิกไต่ถาม”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-03-2016 เมื่อ 02:38 |
สมาชิก 96 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#29
|
||||
|
||||
![]()
"อย่าสักแต่สวดแต่ท่องเฉย ๆ แต่ให้น้อมนำเข้ามาในใจด้วย มาวัดกับตัวเราเองว่า เราขาดตกบกพร่องตรงไหน ? แล้วแก้ไข ทำให้สุดความสามารถ อย่าทำตัวเหมือนปลาตายลอยน้ำไปวันหนึ่ง ๆ
พระพุทธศาสนาของเราเปรียบเหมือนไม้ใหญ่ มีร่มเงา มีผลดก คนเข้ามาอิงอาศัยมาก ก็ควรที่จะรดน้ำ ใส่ปุ๋ย ดูแลให้เจริญเติบโตยิ่ง ๆ ขึ้นไป ไม่ใช่ทำตัวเป็นหนอนเป็นแมลงคอยกัดคอยแทะอยู่ ผมบอกกับพระนิสิตที่ผมสอนอยู่เสมอว่า “ถ้าเราไม่สามารถทำพระศาสนาให้เจริญได้ด้วยตัวเอง ก็อย่าทำให้ศาสนาต้องพังลงด้วยมือของเราเลย” ทุกวันนี้พุทธศาสนาอยู่ยาก เพราะว่าพระทำดีเท่าไรคนไม่เห็น แต่พอทำไม่ดีนิดเดียว เขาก็ไปเขียนข่าวให้ใหญ่โต มีทั้งพวกไร้จรรยาบรรณ จะขายข่าวอย่างเดียว มีทั้งพวกจ้องขยายผล เพื่อทำลายพระพุทธศาสนา สิ่งเหล่านี้ถ้าเราไม่พึงสังวรไว้ สักวันหนึ่งเราจะพลาด แล้วจะกลายเป็นข่าวเสียเอง ถึงตอนนั้นเราเองนี่แหละ ที่เป็นผู้ทำลายพระพุทธศาสนานี้กับมือของเราเอง" พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. งานหล่อสมเด็จองค์ปฐม - หลวงปู่ปาน - หลวงพ่อวัดท่าซุง วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๙ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย รัตนาวุธ)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-03-2016 เมื่อ 02:40 |
สมาชิก 98 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|