|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#81
|
||||
|
||||
![]()
"ที่ไปสอนในมหาวิทยาลัย เรื่องวิชาการใคร ๆ ก็สอนได้ แต่ที่ไปนี่คือไปกระตุกจิตสำนึกของท่าน ก่อนที่จะจบคอร์สก็มักจะบอกท่านเสมอว่า “พวกท่านเป็นพระ เป็นเณร ถ้าไม่สามารถทำให้ศาสนาเจริญได้ด้วยตัวเอง ก็อย่าทำให้ศาสนาเสียหายเพราะตัวเราเลย”
ครูต้องเป็นแบบอย่างเขาได้ แล้วคราวนี้การที่จะรักษาแบบอย่างนั้นเหนื่อย หลายวัดพระเณรไม่มีระเบียบ ไม่มีวินัย เพราะว่าตัวครูบาอาจารย์ปล่อยปละละเลย สั่งว่าต้องทำวัตรเช้าทำวัตรเย็น สั่งแล้วก็ปล่อยเขาทำกันเอง คนที่ขยันก็มา คนที่ขี้เกียจก็ไม่มา ของวัดท่าขนุนทำวัตร ๓ รอบ ทำวัตรเช้า ๑ รอบ ทำวัตรเย็น ๒ รอบ ปกติก่อนหน้านี้ก็ทำวัตรเย็นรอบเดียว คราวนี้ก่อนทำวัตรเย็นจะมีพระใหม่ไปซ้อมสวดมนต์กัน พออาตมาเป็นเจ้าอาวาสก็ไปนั่งฟังว่าท่านสวดกันถูกไหม ? ถ้าผิดจังหวะหรือว่าผิดอักขระจะได้ช่วยแก้ไข ปรากฏว่าพอเจ้าอาวาสไปนั่ง บรรดาพระเก่าก็ตูดร้อน ทนไม่ได้ก็ต้องมาด้วย ไป ๆ มา ๆ ก็มากันหมดทั้งวัด เลยกลายเป็นทำวัตรเย็น ๒ รอบ รอบแรกเป็นการซ้อม รอบหลังค่อยเอาจริง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-11-2015 เมื่อ 18:44 |
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#82
|
||||
|
||||
![]()
"คนจะเป็นผู้นำเขาต้องประเภทตื่นก่อนนอนทีหลัง ตอนไปยุโรปก็เหมือนกัน บรรดาพระด้วยกันบอกว่า ไม่เคยทันหลวงพ่อเล็กเสียที ตี ๓ แกหายออกจากห้องไปแล้ว ก็คือไปแล้วก็ต้องไปดูให้คุ้ม ว่าบ้านเมืองของเขาเป็นอย่างไร บางทีเดินไปก็สวนกับคุณโอเล่ ต่างคนต่างถือไปกล้องคนละตัว เพราะนัดกันไว้ว่า ๗ โมงเจอกันที่ห้องอาหาร"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-11-2015 เมื่อ 18:45 |
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#83
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ใครมาเขียนซองสร้างพระทองคำ ๕๐ ศอกครับ ?
ตอบ : ตั้งชาติหนึ่งแล้ว ตอนนั้นเขาเขียนส่งมาให้ก็โยนคืนไปแล้ว มีปัญญาก็ไปสร้างเองสิ พระพุทธรูปทองคำหน้าตัก ๕๐ ศอก ใครไปสร้างไหว ? ยกเว้นพระเจ้าจักรพรรดิ ถาม : ไม่แน่ใจว่าใช่ผมหรือเปล่า ? ตอบ : ไม่ต้องห่วงหรอก ตอนนั้นอาตมาอ่านเจอก็โยนคืนเจ้าของไปแล้ว ถ้าไม่ได้โยนใส่หน้าคุณก็ไม่ต้องไปคิดหรอกว่าเป็นของตัวเอง ต้องบอกว่าเป็นประเภทไม่หาข่าว จะเอาบุญแบบไม่ลืมหูลืมตาอย่างเดียว "กูจะสร้างพระพุทธรูปทองคำ ๕๐ ศอก" ก็ไปสร้างเองสิ ซองนั้นนานเป็นปีแล้ว มาขอดูซองตอนนี้ก็มีแต่ตีนให้ดู...! คนทองผาภูมิเขาว่าอาจารย์เล็กดุกว่าหมาอีก อย่ามาผิดจังหวะเท่านั้น มาผิดจังหวะเจอแน่ ถ้ายิ่งตอนกำลังฉันอยู่ มาบอก "ขอเวลา ๕ นาที" ไม่ถึง ๕ นาทีหรอก เปรี้ยงเดียวนี่ไม่ถึงวินาทีด้วย...! พระกำลังฉันอยู่ ธุระรีบขนาดไหนก็ให้รู้จักรอบ้างสิ เขาบอก "ไม่เป็นไรครับ ขอเวลา ๕ นาที" "ไม่เป็นไรของมึง..แต่กูเป็น..!" ญาติโยมเคยชินกับการเห็นพระเป็นทาส ถึงเวลาไปต้องการอย่างไรต้องได้อย่างนั้น หารู้ไม่ว่ากำลังหาบาปใส่ตัวอยู่ ถ้าไม่ด่าเขาให้หูตาสว่างก็จะไปทำกับพระอื่นอย่างนั้นอีก ก็จะสร้างกรรมใส่ตัวไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น..อาตมายอมเป็นคนปากร้าย คนประเภทนี้อย่าให้เข้ามาในวัดของเราได้ยิ่งดี
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-11-2015 เมื่อ 18:47 |
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#84
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงเข้ากรรมฐาน ๓ วันเหมือนอย่างกับโดนทดสอบอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าจะสอบไปทำไม ? หมาตัวผู้ติดตัวเมียแล้วมากัดกันรอบกุฏิทั้งวันทั้งคืน คือตัวเมียอยู่บริเวณนั้น ตัวผู้ทั้งหมดก็มาระดมกันอยู่รอบกุฏิเจ้าอาวาส เท่ากับบังคับให้ต้องเข้าสมาธิหนี เข้าไปเข้ามาก็รู้สึกแปลก ๆ เพราะโดยปกติจิตกับประสาทจะแยกออกจากกัน ไม่ได้หมายความว่าจิตแยกจากกาย แต่คราวนี้จิตกับกายเหมือนกับแบ่งเป็นคนละมิติ ไม่ได้ถอดจิตออกไป แต่กลายเป็นจิตส่วนจิต กายส่วนกาย อยากจะได้ยินก็ได้ อยากจะไม่ได้ยินก็ได้ ยังงง ๆ อยู่เหมือนกัน ขอไปคลำอีกสักพักหนึ่งว่าคืออะไรกันแน่
ปกติถ้าจิตประสาทแยกจากกัน ก็จะตัดไปเลย จนกว่าสมาธิคลายออกมารับรู้อีกที ถึงจะได้ยินใหม่ คราวนี้เป็นจิตส่วนจิต กายส่วนกาย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-11-2015 เมื่อ 18:49 |
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#85
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ทำไมพวกเป็นทิพย์จึงไม่ได้ยินเสียงตอนเรากรวดน้ำ หรือเทวดาไม่ได้สนใจเสียงมนุษย์ ?
ตอบ : เปรียบเทียบกันไม่ได้ ผีไม่ได้ยินเสียงกรวดน้ำเพราะกรรมบัง ส่วนเทวดาไม่ได้สนใจในมนุษย์ เพราะเขาเพลินอยู่กับความเป็นทิพย์ เหมือนกับคนใช้โทรศัพท์ อยากจะได้ยินก็โทรไป คือเขาต้องตั้งใจกำหนดใจก่อนถึงจะรู้ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-11-2015 เมื่อ 18:49 |
สมาชิก 212 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#86
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัญหาส่วนใหญ่ของการเรียนระดับปริญญาโท ปริญญาเอก ก็คือนิสิตรับแรงกดดันไม่ได้ การเรียนระดับนี้ส่วนใหญ่แล้วอาจารย์ที่ปรึกษาจะไม่มีเวลาให้ เราทำงานแทบเป็นแทบตายบางทีท่านไม่ทันจะดูก็ผลักกลับมาให้ไปแก้ใหม่เลย เส้นตายก็ใกล้เข้ามา งานก็ให้แก้แล้วแก้อีกอยู่นั่นแหละ เครียดมาก ๆ จนบางคนนั่งร้องไห้
หลายท่านเขาว่าการเรียนของไทยยากกว่าเยอะ ต่างประเทศเวลากำหนดหัวข้อวิทยานิพนธ์ได้ ก็เข้าห้องสมุดค้นคว้า ได้งานมา วิเคราะห์ออกมาเสร็จสรรพ พอนำเสนองานได้ก็จบแล้ว ส่วนบ้านเราเรียนแล้วเรียนอีก แถมยังต้องทำวิทยานิพนธ์ และแก้กันไม่รู้จักแล้วจักเลิก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-11-2015 เมื่อ 17:08 |
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#87
|
||||
|
||||
![]()
ท่าน Gembo Dorje พระระดับสมเด็จพระราชาคณะของภูฏานมาเยี่ยม พระอาจารย์กล่าวว่า "ทางด้านภูฏานเป็นประเทศที่ได้รับการยกย่องจากต่างประเทศ เนื่องจากว่าระบบการบริหารบ้านเมืองเน้นความสุขของชาวบ้าน แทนที่จะเน้นในเรื่องของผลผลิต ต้องบอกว่าประชาชนมีความสุขมากที่สุดในโลก เพราะเอาหลักธรรมของพุทธศาสนาไปปฏิบัติในชีวิตจริง เรียกว่าคนภูฏานเป็นคนรู้จักพอ จึงมีความสุขมาก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-11-2015 เมื่อ 16:56 |
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#88
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : การที่เมตตาผู้อื่น ถือว่าเป็นกิเลสหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : การเมตตาต่อคนอื่น ต้องดูว่าเราเมตตาแล้วหวังผลหรือเปล่า ? ถ้าเมตตาแล้วหวังผล ก็เจือไปด้วยกิเลส จะเป็นรัก โลภ โกรธ หลง แทรกเข้ามา ถ้าเมตตาโดยไม่หวังผล รู้ว่าบุคคลนี้ เรารักเขาเสมอตัวเรา เราต้องการความสุขเกลียดทุกข์อย่างไร คนอื่นก็ต้องการสุขเกลียดทุกข์อย่างนั้น ดังนั้น..เราเองก็ต้องกระทำแต่สิ่งที่ดี ๆ พูดแต่สิ่งที่ดี ๆ คิดแต่สิ่งที่ดี ๆ กับเขา ถ้าในลักษณะอย่างนี้ก็จะไม่เป็นกิเลส แต่ถ้าหากว่าเมตตาโดยหวังผล เราสงเคราะห์เขา เขาจะต้องยกย่องเชิดชูเรา เป็นบริวารเรา มากราบไหว้เรา อย่างนั้นก็แทรกไปด้วยกิเลสเต็ม ๆ เลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-11-2015 เมื่อ 16:57 |
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#89
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ความเมตตาที่เจือไปด้วยกิเลส จะได้อานิสงส์หรือเปล่า ?
ตอบ : ได้อยู่...แต่ว่าความหลุดพ้นจะเกิดได้ยาก คืออานิสงส์ของความเมตตาอย่างน้อย ๆ ก็จะทำให้ตนเองมีศีลโดยอัตโนมัติ ก็แปลว่าความดีขั้นต้นเราได้ แต่ก็จะไปได้ไม่เกินนี้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-11-2015 เมื่อ 16:58 |
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#90
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัจจุบันนี้วัดที่เป็นสาขาท่าขนุนจริง ๆ มี ๖ วัด กำลังจะเริ่มมีวัดที่ ๗ เขาให้หาเจ้าอาวาสให้หน่อย ชื่อวัดนพเก้าทายิการาม อยู่ทางบ้านไร่ของทองผาภูมิ ไม่ใช่บ้านไร่ของอุทัยธานี หรือบ้านไร่ของพระแท่นดงรัง กำลังถามความสมัครใจของพระอยู่ ส่วนใหญ่เขาอยู่กับอาตมาแล้วสบาย เขาไม่อยากออกไปเสี่ยง ประเภทไม่กล้า ต้องใช้คำว่าไม่มีขวัญและกำลังใจ
ตอนนี้สาขาของวัดท่าขนุนมี วัดพุทธบริษัท เกาะพระฤๅษี วัดหนองบ้านเก่า วัดห้วยน้ำขาว วัดประตูด่าน แล้วยังมีที่ออกไปด้านอีสานอีกเยอะ แต่ไม่ได้ตามไปดูแล เพราะไกลเกินไป"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-11-2015 เมื่อ 16:59 |
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#91
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวกับท่าน Gembo ว่า "ปกติอาตมาดูแลอยู่ ๖ วัด วัดที่ ๗ กำลังจะมา ก็แปลว่าสิ่งที่รับ ๆ มาต้องกระจายออกไป
ของทางด้านประเทศไทยเรา คณะสงฆ์แบ่งการปกครองออกเป็น ๖ อย่าง อย่างที่ ๑ คือ การปกครอง เป็นไปตามลำดับชั้น สูงสุดคือสมเด็จพระสังฆราช ต่ำสุดคือเจ้าอาวาส อย่างที่ ๒ คือ การศึกษา มีศึกษาบาลี ศึกษาธรรมะ และศึกษาสายสามัญ เรียนลักษณะเดียวกับคนทั่ว ๆ ไป มีปริญญาตรี โท เอก แล้วก็มา อย่างที่ ๓ คือ ด้านการเผยแผ่ เมื่อศึกษาแล้วก็นำคำสอนไปสั่งสอนชาวบ้านเขาต่อ การเผยแผ่ของเราแบ่งเป็น ๒ สาย คือตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ตามโรงเรียนต่าง ๆ ส่วนอีกสายหนึ่งเป็นสายวัดป่า ที่ฝึกปฏิบัติกรรมฐานโดยตรง เมื่อรู้จริงแล้วก็นำมาสั่งสอนชาวบ้าน อย่างที่ ๔ คือ งานด้านสาธารณูปการ เกี่ยวกับการก่อสร้างภายในวัด ดูแลของเก่า สร้างเสริมของใหม่ อย่างที่ ๕ คือ ด้านสาธารณสงเคราะห์ ไม่ว่าชาวบ้านจะลำบากยากจน เกิดอุบัติภัยอะไร ก็ไปช่วยเขา เป็น public อย่างที่เอากฐินไปทอดที่เนปาลก็คือส่วนสาธารณสงเคราะห์ ไปช่วยที่เขาเกิดภัยแผ่นดินไหว อย่างที่ ๖ คือ ศึกษาสงเคราะห์ ช่วยการเรียนทั้งของพระเณร และฆราวาสทั่วไป มีการให้ทุนการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาสจะได้ทุนการศึกษาจากทุกวัด เป็นหน้าที่ซึ่งคณะสงฆ์บังคับเลยว่า เจ้าอาวาสทุกรูปต้องทำงาน ๖ อย่างนี้ งานของทางด้านคณะสงฆ์ไทย จึงแบ่งเป็น ๖ ด้านชัด ๆ อย่างนี้เลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-11-2015 เมื่อ 17:02 |
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#92
|
||||
|
||||
![]()
"อย่างอาตมาปัจจุบันนี้ นอกจากเป็นเจ้าอาวาสแล้ว ยังเป็นเจ้าคณะตำบล ปกครองในเขตตำบลนั้นทั้งหมด เป็น sub-district governor นอกจากการก่อสร้างก็ต้องดูแลช่วยเหลือ วัดต่าง ๆ ที่เขาเดือดร้อน ที่เขามาขอความช่วยเหลือ
เรื่องทุนการศึกษา ปัจจุบันนี้ทางวัดให้ประจำอยู่ ๘ โรงเรียน ปีหนึ่งก็ใช้จ่ายหลายแสนบาท ถ้ารวมทุนการศึกษาของพระก็หลายล้านบาท ปัจจุบันนี้เฉพาะวัดท่าขนุน ส่งเรียนปริญญาตรี ๗ ปริญญาโท ๙ ปริญญาเอก ๓ ค่าใช้จ่ายประมาณเดือนละแสน ถ้าค่าเทอมออกก็ประมาณ ๘ แสนกว่าบาท นี่แค่วัดเดียวนะ ญาติโยมเขาเห็นว่าอาตมาทำงานจริง ๆ ก็เลยมาช่วยสนับสนุน มาช่วยทำบุญ มหาวิทยาลัยสงฆ์ที่อาตมาสอนอยู่ มีการปฏิบัติธรรมของนักศึกษาทุกปี ปีละ ๑๐-๑๕ วัน แล้วแต่ระดับ ตรี โท เอก ปฏิบัติวิปัสสนา ๑๐-๑๕ วันต่อปี ส่วนใหญ่จะปฏิบัติต่อเนื่องกันในประมาณเดือนธันวาคม อาตมาต้องไปเป็นหัวหน้าวิปัสสนาจารย์ให้เขาทุกปี ประมาณช่วงเดือนธันวาคม"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-11-2015 เมื่อ 17:03 |
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#93
|
||||
|
||||
![]()
"ด้านของธรรมทูตจะมีสายปกครองเฉพาะของเขาอยู่ แต่ยังสังกัดอยู่ในส่วนการปกครองทั่วไป จะมีศูนย์พระธรรมทูตของแต่ละจังหวัด พระธรรมทูตจะมีการสอบเป็นรุ่น ๆ ถึงเวลาต้องไปอบรม ๓ เดือน ถ้าสอบไม่ผ่านจะไม่ได้พาสปอร์ต
งานด้านธรรมทูตตอนนี้ไปเจริญทางด้านยุโรป เฉพาะในยุโรปอย่างเดียวช่วง ๓ ปีที่ผ่านมามีวัดของเถรวาทเกิดขึ้นใหม่ ๒๑ แห่ง วัชรยานแบบของท่าน (Gembo) ในประเทศไทยมีอยู่ ๒-๓ แห่ง มาตั้งศูนย์ของตนเอง ส่วนใหญ่แล้วมาจากทิเบต ทางด้านกองงานพระธรรมทูตมีแผนการจะสร้างวัดสุวรรณภูมิ ที่จะเป็นศูนย์กลางของพระธรรมทูตทั้งหมด น่าจะอยู่แถว ๆ สนามบินสุวรรณภูมิ ตอนนี้เริ่มดำเนินการซื้อที่แล้ว วัดกำลังเริ่มสร้าง ต่อไปธรรมทูตต่างประเทศมาก็เข้าพักที่นั่นได้เลย คราวนี้ธรรมทูตสายต่างประเทศที่รับผิดชอบงานตรงนั้นคือท่านเจ้าคุณวีรยุทธ ที่เป็นหัวหน้าธรรมทูตสายอินเดีย-เนปาล ท่านเจ้าคุณวีรยุทธหรือพระเทพโพธิวิเทศ เป็นหัวหน้าโครงการสร้างวัดสุวรรณภูมิ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-11-2015 เมื่อ 17:05 |
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#94
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ในการเจริญสติปัฏฐานที่บอกว่า กายเห็นกาย เวทนาเห็นเวทนา ?
ตอบ : ใครสอนว่ากายเห็นกาย เวทนาเห็นเวทนา ? เขามีแต่กายในกาย เวทนาในเวทนา ในเรื่องของสติปัฏฐาน ๔ ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนทั่วไป ท่านสอนชาวแคว้นกุรุ ซึ่งอาตมาเองฟันธงว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวที่มาอยู่ในบ้านเรา ฉะนั้น..ปัญญาท่านจะสูงมาก ก็เลยนิยมในเรื่องสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งแบ่งออกเป็น กาย เวทนา จิต และธรรม ทั้งหมด ๔ หมวดด้วยกัน กายในกายท่านบอกว่า คนทั่ว ๆ ไป บางทีแม้แต่ร่างกายนี้ก็ไม่รับรู้ว่ามี ยกเว้นแต่เกิดอะไรขึ้นถึงได้รู้สึกว่ามีร่างกายนี้ ก็แปลว่าจิตใจมืดบอดมาก บุคคลที่มีสติ โดยศึกษาในมหาสติ จะรู้กายในกายของตน อันดับแรกก็คือลมหายใจเข้าออก ถ้าสามารถรู้ลมหายใจเข้าออก ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกาย ที่เรียกว่ากายในกาย ก็คือเป็นกายที่มองไม่เห็น ส่วนที่ ๒ ท่านให้ดูอิริยาบถคือการเคลื่อนไหว จะเป็นการเดิน ยืน นั่ง นอน อย่างที่ ๓ ท่านบอกให้ดูในสัมปชัญญะ คืออาการรู้ตัวว่าสภาพร่างกายของเราตอนนี้เป็นอย่างไร จะยืน จะนั่ง จะเหยียดแขน คู้แขน เหลียวหน้า เหลียวหลัง ปกติคนทั่ว ๆ ไปจะไม่รู้ถึงอาการเหล่านี้ เป็นการทำไปโดยอัตโนมัติ แต่คนที่ฝึกสติปัฏฐานมา จะรับรู้อาการทั้งหลายเหล่านี้โดยครบถ้วน ก็จะไล่ไปลักษณะอย่างนี้จนกระทั่งท้ายสุด ไปดูในเรื่องว่าเมื่อถึงความตายจะมีลักษณะต่าง ๆ กัน ๙ อย่าง จะได้เห็นว่าซากศพที่ตายคือกายภายนอก แต่ผู้รู้คือจิตอยู่ภายใน ท้ายสุดท่านจะสรุปว่า เราไม่ควรจะยึดอะไร ๆ ทั้งหมดในโลกนี้ ฝึกสติไปเพื่อให้เห็นในสิ่งที่คนทั่ว ๆ ไปมองข้ามเมื่อรู้เห็นสมบูรณ์พร้อม สติตั้งอยู่เฉพาะหน้า ถ้ารัก โลภ โกรธ หลงเข้ามา จะได้รู้เท่าทันและป้องกันได้ เรื่องของเวทนาก็เหมือนกัน โดยปกติของเราแล้ว เมื่อสุขหรือทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์เกิดขึ้น เราจะไปยินดียินร้ายทันที โดยที่ไม่รู้ว่าการที่เรายินดีก็ทำให้ยึดติด ยินร้ายก็ทำให้ยึดติด ปล่อยวางอาจจะเป็นเพราะปล่อยวางได้ หรือเป็นเพราะความรังเกียจเลยหมางเมินไป ทำอย่างไรจิตใจของเราจึงจะไม่ยึดติดในทั้งสุขทั้งทุกข์ และความไม่สุขไม่ทุกข์เหล่านี้ ต้องค่อย ๆ ดูไปทีละอย่าง เพราะว่าในเรื่องมหาสติกล่าวถึงธรรมที่เป็นส่วนละเอียด ส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องข้างในมากกว่าข้างนอก ถ้าไม่มีพื้นฐานการปฏิบัติมาในระดับหนึ่ง พอไปตอนท้าย ๆ จะไม่รู้เรื่องเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-11-2015 เมื่อ 17:57 |
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#95
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : อรูปฌานมีประโยชน์อย่างไรครับ ?
ตอบ : มีประโยชน์มหาศาลเลย แค่ได้ฌาน ๔ ก็เหลือเฟือที่จะตัดกิเลสแล้ว กำลังเพียงพอที่จะตัดกิเลส แต่ที่ฝึกอรูปฌานเพิ่มเพราะว่าสมัยก่อนมีบุคคลอยู่ส่วนหนึ่งที่แสวงหาความหลุดพ้น โดยเห็นว่าความทุกข์มีขึ้นเพราะมีรูปคือร่างกายนี้ แต่ไม่รู้วิธีในการละรูปที่แท้จริง ก็เลยละด้วยการทิ้งรูป กลายเป็นอรูปไป แต่ความจริงแล้วกำลังสมาธิเท่ากับฌาน ๔ นั่นเอง ถือว่าเดินผิดทางก็ไม่ได้ เพราะว่าถ้ารู้ความจริงแล้ว อาศัยที่กำลังสูง มีการพลิกแพลง พยายามที่จะทิ้งรูปนี้มาอยู่แล้ว โอกาสที่จะหลุดพ้นก็มีมากกว่า ถาม : อรูปฌานกำลังเท่ากับฌาน ๔ ? ตอบ : กำลังเท่ากับฌาน ๔ ถ้าไม่ได้ฌาน ๔ จะทำอรูปฌานไม่ได้ คำว่าทำไม่ได้ คือทำไม่สำเร็จ อาจจะได้ในเบื้องต้นนิด ๆ หน่อย ๆ ในลักษณะน้อมจิตคิดตามไป แต่ว่ากำลังไม่ถึงพอ ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : อย่างเช่นว่าถ้าเกิดเวทนาขึ้นกับร่างกาย คนที่ได้อรูปฌานจะทิ้งร่างกาย ไม่สนใจ ปวดก็เหมือนไม่ปวด เจ็บก็เหมือนไม่เจ็บ หมออยากรักษาก็รักษาไป หายก็หาย ไม่หายก็ช่างมัน ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : อยู่ที่ว่าเวทนาพอไหม ? ถ้าเวทนามากพอ บีบคั้นหนักก็ตาย แต่ว่าเราสามารถที่จะทิ้งเวทนาได้ คือเบียดเบียนเราไม่ได้ เพราะเขาไม่ใส่ใจในร่างกายนี้อยู่แล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-11-2015 เมื่อ 16:54 |
สมาชิก 135 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#96
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ตอนที่เราตายแล้ว เราก็จะไปตามกำลัง ?
ตอบ : ไปตามกำลังนั้น ยกเว้นว่าเราใช้กำลังนั้นไปในทางอื่นแทน โดยเฉพาะบุคคลที่ฝึกมาด้วยความคล่องตัวแล้ว ถึงเวลาจะรู้ว่าตัวเองจะตายในระหว่างฌานไหน ถ้าบุคคลที่ไม่คล่องตัวก็ไปตามกำลังที่ตัวเองได้ เหมือนอย่างกับคนรู้ว่าทางนี้เป็นทางที่ถูก ทางแยกมีหลายทาง แต่คนเคยเดินด้านนี้เป็นประจำก็เดินไปทางด้านนี้ ซึ่งอาจจะไปถึงแค่พรหมชั้นที่ ๑ - ๒ - ๓ อีกคนชำนาญด้านนี้เดินไปทางด้านนี้อาจไปถึงพรหมชั้นที่ ๔ - ๕ - ๖ บุคคลที่รู้ทางจริง ๆ อาศัยกำลังเดินไปในทางที่ถูกก็สามารถหลุดพ้นได้ ถาม : (ไม่ชัด) ตอบ : พิจารณาให้เห็นจริงว่าคุณกลัวหรือไม่กลัวก็ตายแน่ การที่เรากลัวตาย ส่วนใหญ่ก็เกิดจากความไม่พร้อม ความไม่พร้อมในที่นี้คือไม่พร้อมทั้งหมด ในเรื่องของทาน ของศีล ของภาวนา ถ้าเรามีการเตรียมพร้อม มีการพิจารณาให้เห็นว่าธรรมดาเป็นอย่างนี้ ทุกคนเกิดมาต้องการหรือไม่ต้องการก็ตายแน่ แต่ถ้าหากว่าเราตายในลักษณะของคนที่มีปัญญา คือต้องรู้จักเตรียมพร้อม คนที่เตรียมพร้อมก็เหมือนกับคนที่เตรียมตัวฟิตซ้อมอ่านหนังสือมาเต็มที่ ถึงเวลาเข้าสอบก็ไม่มีอะไรหวั่นไหว แต่คนที่ไม่พร้อม หนังสือหนังหาไม่อ่านเลย ก่อนจะเข้าสนามสอบก็เครียดไป ๗ วัน ๘ วัน ความเครียดก็คือกลัว ดูให้เห็นจริง ๆ ว่าคุณกลัวหรือไม่กลัวก็ตายแน่ แต่จริง ๆ ความตายไม่มีอะไรน่ากลัว เป็นการเปลี่ยนรูป เปลี่ยนขันธ์ไปตามบุญตามบาปที่เราสร้างมาเท่านั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-11-2015 เมื่อ 16:55 |
สมาชิก 140 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#97
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : การตัดกิเลสต้องใช้กำลังของฌานสี่หรือครับ ?
ตอบ : ปฐมฌานก็ตัดกิเลสบางส่วนได้แล้ว ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ก็คือฌาน ๔ นั่นแหละ เพียงแต่ว่าบุคคลที่มีความคล่องตัว สามารถจะแยกตอนท้ายออกมาว่าในระหว่างอุเบกขาและเอกัคคตายังมีระดับที่แยกออกได้อยู่ ถ้าคนไม่ละเอียดก็แยกไม่ได้ เหมือนบันไดสองขั้น ถือเป็นขั้นเดียวก็ก้าวข้ามไปเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-11-2015 เมื่อ 16:56 |
สมาชิก 138 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#98
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : พระโพธิสัตว์เป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ท่านยังติดภารกิจอยู่ ในเมื่อใจยังติดภารกิจอยู่ ยังไม่สามารถที่จะหลุดพ้นได้ ถาม : เป็นเพราะว่าพระนิพพานเป็นเป้าหมายระยะสั้นหรือเปล่าครับ ? ตอบ : ต่อให้มีพระนิพพานเป็นที่หมาย แต่ใจท่านยังห่วงงานที่ได้ตั้งใจจะมาทำ ถาม : เทียบเท่ากับพระอริยเจ้าไหมครับ ? ตอบ : ถ้าหากศึกษาอารมณ์พระอริยเจ้า จะสามารถทำได้เทียบเท่าหรือละเอียดกว่า แต่กำลังใจสุดท้ายจะไม่ตัดจริง ๆ ถาม : ถ้ากำลังใจของท่านเทียบเท่าได้กับพระอนาคามีแล้ว จะลดลงมาได้หรือเปล่าครับ ? ตอบ : กำลังใจของพระโพธิสัตว์สามารถลดได้เสมอ ขึ้น ๆ ลง ๆ พูดง่าย ๆ คือว่าต้องมีความระมัดระวังที่จะรักษาอยู่เป็นปกติ ก็คือเหนื่อยยากกว่าพระอริยเจ้า เพราะพระอริยเจ้าท่านได้แล้วได้เลย สมมติว่าพระโสดาบันท่านสร้างบ้านอยู่บนหน้าผาสูง ๑๐ เมตร พอท่านเข้าบ้านไป ท่านก็นอนสบาย ส่วนเราตะกายหน้าผาขึ้นไป ๑๐ เมตร ไม่มีที่พักเลย ถ้าไม่เพียรออกแรงเกาะเอาไว้ก็ร่วง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-11-2015 เมื่อ 16:57 |
สมาชิก 143 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#99
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : แล้วที่ว่าพระโพธิสัตว์สามารถจะทรงปัญญาได้เท่ากับพระอริยเจ้า ?
ตอบ : สามารถเข้าถึงอารมณ์ได้เหมือนพระอริยเจ้าแต่กำลังใจไม่ตัด เหมือนกับว่าเราเดินเข้าไปในบ้านหลังนี้ สำรวจจนรู้ทั่วทุกซอกทุกมุมแล้ว แต่ยังไม่อยู่บ้านหลังนี้ ถึงเวลาก็ออกจากบ้าน เดินทางของเราต่อไป เป็นการเข้าถึงเหมือนอย่างกับเห็น แต่ยังไขว่คว้ามาไม่ได้เพราะไม่มีสิทธิ์ เนื่องจากตัวเองเป็นคนจำกัดสิทธิ์ของตัวเองไว้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-11-2015 เมื่อ 16:57 |
สมาชิก 140 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#100
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : การเป็นพระโพธิสัตว์จะต้องเป็นมนุษย์เพื่อที่จะได้สร้างบารมีได้ง่ายหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จะเป็นมนุษย์ จะเป็นสัตว์อะไรก็ตาม ก็สามารถสร้างบารมีได้ เป็นที่สังเกตได้ง่าย ๆ ว่า พระโพธิสัตว์ไม่ว่าจะเกิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์ จะเป็นผู้นำเสมอ ถ้าสร้างบารมีมาน้อย ก็เป็นผู้นำในหน่วยงานเล็ก ๆ ถ้าสร้างบารมีมามากก็เป็นผู้นำในหน่วยงานที่ใหญ่ขึ้น ถ้าอยู่ระดับอุปบารมีขั้นปลายจะเป็นผู้นำประเทศไปเลย ถ้าหากว่าเป็นสัตว์ก็เป็นจ่าโขลง จ่าฝูง อะไรประมาณนั้น เขามีกติกาอยู่ว่า พระโพธิสัตว์ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์หรือสัตว์ก็ตาม จะมีอัตภาพไม่เล็กไปกว่านกกระจาบ ไม่ใหญ่ไปกว่าช้าง เล็กเกินไปช่วงอายุสั้น สร้างบารมีไม่ทันก็ตายแล้ว ใหญ่เกินไปช่วงอายุยืนนาน ก็ลำบากในการสร้างบารมีในชาติต่อไป เพราะในแต่ละชาติอาจจะได้ทำงานอย่างเดียว อย่างต้น ๆ กัปอายุเกินแสนปี สัตว์ก็น่าจะอายุยืนใกล้เคียงนั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-11-2015 เมื่อ 16:58 |
สมาชิก 139 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|