กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 01-07-2014, 15:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,399
ได้ให้อนุโมทนา: 157,996
ได้รับอนุโมทนา 4,479,749 ครั้ง ใน 36,008 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๗

ให้ทุกคนขยับนั่งในท่าที่สบายและถนัดของตนเอง ตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้เฉพาะหน้า คือเอาความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ วันนี้ได้กล่าวถึงเรื่องราวสมัยเก่า ๆ หลายเรื่องด้วยกัน จึงอยากจะนำเอาแนวทางในการปฏิบัติของอาตมาเองในสมัยต้น ๆ มากล่าวไว้ในที่นี้ เผื่อว่าใครเห็นดีเห็นงาม อยากจะปฏิบัติตามแนวนั้นก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลาค้นคว้าด้วยตนเอง

ในสมัยนั้นการเริ่มต้นปฏิบัติก็จะเป็นการกราบพระสวดมนต์เสียก่อน หลังจากนั้นก็สมาทานพระกรรมฐาน นึกทบทวนศีลของตนเองทุกสิกขาบท ถ้าหากว่ามีข้อใดขาดตกบกพร่องก็จะตั้งใจว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะมีศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์ แล้วก็เริ่มภาวนาจับลมหายใจเข้าออก คำภาวนาก็ใช้ง่าย ๆ คือพุทโธ

โดยลมหายเข้าออก คืออานาปานสตินั้น เป็นพื้นฐานใหญ่ของกองกรรมฐานทั้งปวง ต้องบอกว่าเป็นแม่บทของกรรมฐาน ใครภาวนาโดยไม่จับลมหายใจ ชีวิตนี้อย่าหวังเลยว่าจะประสบความสำเร็จในด้านสมาธิภาวนา ส่วนที่ควบกับพุทธานุสติ เพราะว่าพระพุทธโฆสาจารย์ผู้รจนาวิสุทธิมรรค ท่านยืนยันเอาไว้ในตำราวิสุทธิมรรคว่า พุทธานุสติเป็นกองกรรมฐานที่ช่วยให้เข้าสู่พระนิพพานได้ง่ายที่สุด ซึ่งเมื่อปฏิบัติไปจนถึงระยะหลังอาตมาจึงเชื่ออย่างแท้จริง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2014 เมื่อ 17:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 01-07-2014, 15:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,399
ได้ให้อนุโมทนา: 157,996
ได้รับอนุโมทนา 4,479,749 ครั้ง ใน 36,008 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลังจากที่ภาวนาจนกระทั่งอารมณ์ใจเริ่มทรงตัว หรือว่าภาพพระชัดเจนแจ่มใส จิตใจนิ่งสงบแล้ว ไม่สามารถจะดำเนินต่อไปได้ เพราะสมาธินั้นเมื่อดำเนินไปถึงที่สุด ก็เหมือนกับเดินชนกำแพง จะเคลื่อนคล้อยถอยหลังมาเอง

ถ้าหากว่าช่วงนี้เราไม่หาสิ่งดี ๆ ให้คิด ให้ภาวนา ทางด้านกิเลสจะเอากำลังสมาธิไปฟุ้งซ่านทางด้าน รัก โลภ โกรธ หลง แทน ทำให้หลายต่อหลายคนคิดว่า “ยิ่งปฏิบัติ กิเลสยิ่งมาก” ความจริงกิเลสไม่ได้มากขึ้น กิเลสมีเท่าเดิม แต่กำลังดีขึ้นเพราะได้พื้นฐานสมาธิของเราไปช่วย

ดังนั้น...วิธีก็คือเมื่อจิตเริ่มคลายออกมา อาตมาจะใช้วิธีแผ่เมตตาไปสู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกภพทุกภูมิ ทุกหมู่ทุกเหล่า ขอให้เขาทั้งหลายล่วงพ้นจากกองทุกข์ ขอให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นอยู่เย็นเป็นสุข ขอให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นอย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

เมื่อภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัวเยือกเย็นแล้ว ถ้าหากว่าสมาธิทรงตัวตั้งมั่นกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ก็จะใช้กำลังนั้นในการพิจารณาร่างกายนี้ โดยพิจารณาในลักษณะของกายคตานุสติ ซึ่งเป็นกองกรรมฐานที่สำคัญสุดยอดอีกกองหนึ่ง เพราะว่าถ้าหวังบรรลุมรรคต้องอาศัยกายคตานุสติทุกคน ถ้าหากไม่ผ่านกรรมฐานกองนี้ ก็อย่าไปคาดหมายถึงเรื่องของมรรคผล เพราะว่าเรายังจะยึดตัวตนแน่นหนา สักกายทิฐิไม่สามารถจะตัดขาดลงได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2014 เมื่อ 17:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 02-07-2014, 09:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,399
ได้ให้อนุโมทนา: 157,996
ได้รับอนุโมทนา 4,479,749 ครั้ง ใน 36,008 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อพิจารณาร่างกายไป แยกออกเป็นชิ้นส่วนต่าง ๆ แล้ว บางทีก็รู้สึกว่ายังไม่ได้อย่างใจ ก็จะนำเอาธาตุ ๔ เข้ามาประกอบด้วย คือแยกส่วนที่เป็นดิน ส่วนที่เป็นน้ำ ส่วนที่เป็นลม ส่วนที่เป็นไฟขึ้นมา เมื่อแยกแล้วก็ประกอบกลับเข้าไปเป็นร่างกายใหม่ ประกอบกลับเข้าไปแล้วก็แยกออกมาอีก ทำอย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า จนสภาพจิตยอมรับว่าร่างกายนี้ไม่มีแก่นสารจริง ๆ ร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราจริง ๆ สักแต่ว่าเป็นรูป สักแต่ว่าเป็นธาตุ สักแต่ว่าเป็นเพียงธาตุ ๔ ที่ยืมจากโลกนี้มาใช้งานแค่ชั่วคราว

ในเมื่อร่างกายนี้ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายได้ เราก็ควรจะไปพระนิพพานดีกว่า ก็จะกลับมาน้อมนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงยืนยันว่า พระพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่อื่นใดเลยนอกจากพระนิพพาน การที่พระองค์ท่านเสด็จไปที่ต่าง ๆ ให้เราเห็นนั้น เป็นฉัพพรรณรังสีที่พระองค์ท่านเปล่งไปปรากฏเฉพาะหน้า เหมือนกับพระองค์ท่านเสด็จมาด้วยพระองค์เอง

ดังนั้น..อาตมาจึงสรุปความว่า เมื่อเราเห็นพระรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แปลว่าเราอยู่ใกล้กับพระองค์ท่าน การที่เราอยู่ใกล้กับพระองค์ท่านแปลว่าเราอยู่บนพระนิพพาน เมื่อกำลังใจจับมาถึงจุดนี้ อาตมาก็จะใช้วิธีย้อนกลับมาดูลมหายใจเข้าออกใหม่ ถ้าหากว่ายังมีลมหายใจอยู่ ก็จะตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออก ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ ก็จะตามดูตามรู้คำภาวนาทั้งหลายเหล่านั้นไป โดยที่ตั้งใจว่า ถ้าหากว่าเราหมดอายุขัยตายลงเมื่อไร ขอมาอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานนี้แห่งเดียว แล้วหลังจากนั้นก็ภาวนาและพิจารณาไปตามอัธยาศัยของตน

ซึ่งญาติโยมทั้งหลายสามารถน้อมนำไปเป็นหลักปฏิบัติได้ ถ้าทำจนเกิดความช่ำชองชำนาญแล้ว จะสามารถแตกแขนงไปสู่กองกรรมฐานอื่น ๆ ได้โดยไม่ยากเลย ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-07-2014 เมื่อ 10:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:40



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว