กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #41  
เก่า 19-04-2014, 10:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ปฏิวัติครับ ?
ตอบ : ปฏิวัติก็ต้องให้หัวหน้าคณะปฏิวัติลงนาม ต้องโทษพวกเรียนนิติศาสตร์อย่างพวกคุณนี่แหละ ตาชั่งเอียงข้างเห็น ๆ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ถ้าไม่ยึดหลักก็หลักลอย พอหลักลอยคนเขาก็เห็นชัดว่าเป็นอย่างไร แล้วนี่พวกเสื้อแดงจะไหวหรือแดดขนาดนี้ ? ยังขำ ๆ ที่เขาบอกว่าไปเกณฑ์ต่างด้าวมา เขาก็เลยต้องงัดบัตรประชาชนให้ดู เรื่องปล่อยข่าวทำลายกันนี่ต้องบอกว่าน่าเกลียดน่าชังมาก คือเรารู้ว่าการโกหกก็ไม่ดีแล้ว แล้วนี่การโกหกยังเป็นการทำลายคนอื่นด้วย

ส่วนใหญ่ที่เกิดเรื่องนั้นเกิดจากนักวิชาการ ถ้าเราดูประวัติศาสตร์ที่ผ่าน ๆ มา ศึกษาให้ลึกสักนิดหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหน ราชวงศ์ไหน จะมีการหักล้างกันลับ ๆ อยู่ข้างใน เพื่อที่มุ่งหวังยศตำแหน่งที่ตนเองต้องการ
จะได้ จะมีการทำลายล้างผู้อื่นแบบไม่ต้องคำนึงถึงหลักการ เหตุผล หรือศีลธรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ขอให้เกิดชัยชนะก็พอ

คราวนี้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ทำให้สูญเสียโอกาสในการพัฒนาประเทศ สูญเสียทรัพยากรที่มีคุณค่าไปโดยไม่สมควรที่จะเสีย อย่างตอนผลัดราชวงศ์แล้วฆ่าบริวารเก่าจนหมด ส่วนใหญ่ข้าราชการทั้งหลายเหล่านั้นกลายเป็นบุคลากรที่มีคุณค่า มีฝีมือ มีประสบการณ์ในการทำงาน ในการบริหารประเทศ มาในยุคปัจจุบันอย่างเราที่เห็น ๆ ก็บ้านเลขที่ ๑๑๑ ตัดเอาคนมีฝีมือออกไป เหลือแต่มวยชั้นสองชั้นสามมายังอุตส่าห์แพ้เขาอีก เฮ้อ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2014 เมื่อ 14:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #42  
เก่า 20-04-2014, 10:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ความรู้สึกที่ไม่ชอบว่ามีชีวิตอยู่ รู้สึกว่าเราเกิดมาทำไม ไม่มีสาระ ?
ตอบ : อันนี้ต้องบอกว่าปัญญาเริ่มเห็นธรรม ในเมื่อปัญญาเริ่มเห็นธรรมก็ต้องเน้นเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา เพราะว่ายิ่งเน้นก็จะยิ่งชัดขึ้น จนกระทั่งท้ายสุดสามารถก้าวเข้าสู่สังขารุเปกขาญาณ ก็คือปล่อยวาง เห็นความเห็นธรรมดา ยอมรับกฎของกรรมได้ก็จะสบาย ไม่ว่าเกิดสภาวะอย่างไรก็ไม่รู้สึกว่าต้องไปต่อต้านดิ้นรน เพราะธรรมดาเป็นอย่างนั้น ก็จะเกิดความสุขขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ

ถาม : กลัวว่าจะกลายเป็นตัวไม่พอใจ ?
ตอบ : ดูว่าถ้า รัก โลภ โกรธ หลง ยังเกิดก็เป็นกิเลส ถ้า รัก โลภ โกรธ หลง ไม่เกิด พร้อมที่จะจากไปตลอดเวลา อันนั้นเป็นปัญญา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2014 เมื่อ 14:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #43  
เก่า 20-04-2014, 10:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีโยมลองใส่เสื้อยันต์เกราะเพชรพิชัยสงคราม พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "เสื้อไม่สวยที่สุดในโลกหรอก แต่น่าจะขลังที่สุด เพราะด้านหลังมีพระพุทธเจ้า ๓๗ พระองค์เข้าไปแล้ว เขาเอาเคล็ดมาจากโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ธรรมที่เป็นเครื่องตรัสรู้ จะมีอิทธิบาท ๔ สติปัฏฐาน ๔ สัมปธาน ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรค ๘ รวมแล้ว ๓๗ อย่างด้วยกัน แล้วก็มีสมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่อยู่ตรงกลาง แล้วก็มีพระพุทธเจ้า ๓๖ พระองค์ล้อมอยู่

คาถา ๓ ตัวก็กำแพงแก้ว ๗ ชั้น พุทธัง สัตตะปการัง ธัมมัง สัตตะปะการัง สังฆัง สัตตะปะการัง ปกติจะไม่กล้ารบกวนสมเด็จองค์ปฐมท่าน แต่งานนี้เป็นรูปท่าน อย่างไรก็คงต้องเอา"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2014 เมื่อ 14:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #44  
เก่า 21-04-2014, 09:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พี่ที่อยู่นอร์เวย์ได้รับเชิญไปพูดที่โบสถ์คริสต์ให้คริสตศาสนิกชนฟังเรื่องพุทธศาสนา ได้รับคำถามที่น่าสนใจจากคริสตศาสนิกชน เช่น เขาถามว่าอะไรคือแก่นของพุทธศาสนา ?
ตอบ : แก่นแท้ของพุทธศาสนา คือ ละเว้นความชั่วทั้งปวง (ละกายชั่ว - ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม ดื่มสุราเมรัย, ละวาจาชั่ว - ไม่พูดโกหก ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียดให้เขาแตกร้าวกัน ไม่พูดวาจาที่เพ้อเจ้อไร้ประโยชน์, ละความชั่วทางใจ - คิดโลภ อยากได้จนเกินพอดี (ถ้าไม่ผิดกฎหมายและศีลธรรมจัดเป็นสัมมาอาชีวะ) คิดอาฆาตพยาบาท (โกรธได้ แต่โกรธแล้วให้ลืมเสีย) มีความเห็นผิด (คิดว่าไม่มีศาสนาก็เป็นคนดีได้ ฯลฯ)

ทำแต่ความดีให้ถึงพร้อม (ดีด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ตรงข้ามกับข้างบน) พยายามละกิเลส (ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ = หลงผิด เห็นความชั่วเป็นความดี) ให้หมดไปจากใจ

ถาม : อะไรคือหลักคำสอนและหลักปฏิบัติของพระพุทธองค์ที่สามารถนำมาใช้ในการดำรงดำรงชีวิตประจำวันได้ ?
ตอบ : ศีล (สำหรับคนเริ่มต้น) สมาธิ (สำหรับคนที่รักษาศีลได้แล้ว) ปัญญา (สำหรับคนที่รักษาศีลและทรงสมาธิได้)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-05-2014 เมื่อ 16:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #45  
เก่า 21-04-2014, 09:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อะไรคือ Meditation ? ท่านปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ : การสงบนิ่ง ไม่มีการปรุงแต่งให้ รัก โลภ โกรธ หลง เริ่มปฏิบัติด้วยการกำหนดความรู้สึกทั้งหมดไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..เอาความรู้สึกทั้งหมดตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..เอาความรู้สึกทั้งหมดตามลมหายใจออกมา ถ้าเผลอไปคิดเรื่องอื่น รู้สึกตัวเมื่อไรให้รีบดึงความรู้สึกกลับมาที่ลมหายใจใหม่ แรก ๆ ก็ต้องสู้กันหนัก นานไปเมื่อมีความคล่องตัว ก็จะสามารถสงบได้ในทุกเมื่อ

ถาม : ปรัชญาแห่งศาสนาพุทธและการเจริญสติมีส่วนเหมือนกันหรือสัมพันธ์กันอย่างไร ?
ตอบ : เมื่อมีสติก็จะระลึกได้ว่า เราต้องเว้นจากความชั่วทั้งปวง ทำความดีให้ถึงพร้อม (สมบูรณ์) เพื่อจะได้มีปัญญาในการชำระจิตใจให้ผ่องใสจากกองกิเลส
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-04-2014 เมื่อ 13:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #46  
เก่า 21-04-2014, 09:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เราสามารถนับถือศาสนาพุทธและคริสต์พร้อมกันได้หรือไม่ ?
ตอบ : ศาสนาไหนที่หลักการปฏิบัติไม่ขัดกัน ย่อมสามารถนับถือและปฏิบัติพร้อมกันได้

ถาม : หากให้ท่านจินตนาการว่าพระพุทธเจ้าและพระเยซูคริสต์สนทนากัน ท่านคิดว่าท่านทั้งสองจะสนทนากันเรื่องอะไร ?
ตอบ : เราทั้งสองสอนให้พวกเขาทำความดี ละเว้นความชั่ว หวังว่าพวกเขาคงไม่เอาหลักการเหล่านี้ไปคุยข่มกัน ว่าของใครดีกว่า เพราะจะเป็นการเพิ่มกิเลสแทนที่จะเป็นการลดกิเลส
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #47  
เก่า 21-04-2014, 10:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าประวัติครอบครัวให้ฟังว่า "โยมพ่อแต่งงานกับแม่ใหญ่ที่เมืองจีน แต่ตอนอพยพมาเมืองไทย แม่ใหญ่กับพี่สาวคนโตไม่มาด้วย โยมพ่อก็เลยต้องมากับพี่ชายคนโตเพียงสองคน พอมาเมืองไทยก็มาแต่งงานกับโยมแม่ อายุห่างกันมาก ห่างกันเกือบสองรอบ เพราะถ้าพ่ออยู่ปีนี้อายุ ๑๑๓ ปีแล้ว แม่ยัง ๘๐ กว่าปีอยู่เลย

เมื่อทำงานได้เงิน โยมพ่อก็ฝากเงินไปทางโพยก๊วน สมัยก่อนพวกที่มาจากเมืองจีนต้องฝากเงินผ่านโพยก๊วนกลับไป เพราะไม่มีระบบธนาคาร พวกโพยก๊วนนี่ต้องบอกว่าเป็นต้นตำรับธนาคารนั่นแหละ แต่ว่าเป็นธนาคารที่ส่งไปต่างประเทศโดยเฉพาะ เสียค่าธรรมเนียมให้เขานิดหน่อย แล้วเขาส่งให้ถึงทุกที่ สมัยนี้ยังเก่งสู้ไม่ได้เลย

คนสมัยก่อนเขามีความซื่อตรง ประเภทที่เขาสอนกันว่า “ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน” สมัยเด็ก ๆ เวลารถเมล์วิ่งมา เป็นรถที่มีโครงตัวถังเป็นไม้ ต้องใช้หมุน ๆ หัว กว่าจะสตาร์ทติดเหงื่อท่วมตัว ก็ฝากข้าวฝากของ ฝากเงินฝากทองไปได้ ไม่หาย ฝากไปถึงใครที่บ้านเป็นทางรถเมล์ผ่าน เขาก็ช่วยเอาไปส่งให้ ถ้าเราจะเอาของไปขายในเมือง แล้วตัวเองไม่ว่าง ก็ฝากเขาไปได้ กระเป๋ารถเมล์กับคนขับรถจะไปจัดการให้เสร็จสรรพ เขาก็รับค่าแรงไปนิดหน่อย ดู ๆ แล้วว่าสังคมยุคนั้นดีตรงที่ว่า เพื่อนบ้านรอบข้างช่วยเป็นรั้วแทน ถึงเวลาทำมาหากิน มีอะไรก็แบ่งสรรปันส่วนกัน บ้านโน้นแกงหม้อหนึ่งก็ตักมาแบ่งบ้านนี้ถ้วยหนึ่ง เวลาบ้านนั้นมีอะไรก็เอาไปแบ่งกัน แบ่งปันสู่กันกิน

คราวนี้พอโยมพ่อส่งโพยก๊วนหลายทีก็มีพิรุธให้แม่จับได้ แม่ก็เลยจัดการส่งเอง ถ้าบอกตั้งแต่แรกก็หมดเรื่องไปแล้ว ไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่ตั้งนาน แล้วแม่เขามีนโยบายอย่างที่บอกว่า ส่งลูกให้เรียนทุกคน พวกพี่ชาย พี่สาวส่วนใหญ่จะเรียนภาษาจีน เพราะตอนนั้นสังคมรอบข้างยังใช้ภาษาจีนกันหมด แม้กระทั่งรุ่นอาตมาไปโรงเรียนยังพูดไทยไม่ได้เลย ครูต้องตีบังคับให้พูดไทย พอครูตีอาตมาก็ด่าเป็นภาษาจีน ครูก็ตีหนักขึ้นเพราะครูฟังออก..!

คราวนี้เมื่อลูกเรียนกันมาก ๆ แม่ก็ส่งไม่ไหว รุ่นของพี่ก้องเรียนที่บางลี่บ้านตาบ้านยาย โรงเรียนอุภัยภาดาวิทยาคม มารุ่นของพี่ประสิทธิ์ พี่สุรกานต์เรียนโรงเรียนบ้านยาง (อินทรศักดิ์ศึกษาลัย) ที่กำแพงแสน ต้องขี่รถจักรยานไปกลับวันละ ๒๒ กิโลเมตร รุ่นพี่มุกดา
กับอาตมาเรียนโรงเรียนการบินกำแพงแสน ต้องขี่รถจักรยานไปกลับวันละ ๑๒ กิโลเมตร"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-04-2014 เมื่อ 13:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #48  
เก่า 21-04-2014, 10:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"อาตมาไม่เคยไปโรงเรียนสาย จะไปแต่เช้าทุกวัน ไปช่วยภารโรงเปิดห้องเรียน คราวนี้ห้องเรียนมีเยอะมาก เพราะมีทั้งโรงเรียนประถมฐานบินกำแพงแสน โรงเรียนมัธยมฐานบินกำแพงแสน พื้นที่มีเยอะก็เลยมีสารพัดห้อง ระดับมัธยมมีห้องภาษาอังกฤษ ห้องวิทยาศาสตร์ ห้องภาษาไทย นักเรียนเดินเรียน ครูอยู่กับที่ พอถึงเวลาก็หิ้วกระเป๋า หิ้วรองเท้าเดินไป วางรองเท้าหน้าห้อง เข้าห้องเรียนไปสวัสดีคุณครูแล้วก็เรียน ถ้าอยู่ห้องคิงก์ ถึงเวลาชั่วโมงภาษาอังกฤษเขาจะมารับไปเข้าแล็บ จะมีลิงกัวโฟนที่เขาเอาไว้ฝึกนายทหารไปต่างประเทศ ก็เลยค่อนข้างจะได้เปรียบที่อื่นเขาในเรื่องภาษา

พอเรียนจบ มศ.๓ อยากจะเรียนต่อ แต่แม่บอกว่าส่งไม่ไหวแล้ว ให้น้องเรียนบ้าง เพื่อน ๆ ก็ชวนไปสมัครเรียนกัน อาตมาไปเป็นเพื่อนเขาเฉย ๆ ตอนนั้นโรงเรียนพาณิชยการบ้านโป่งเปิดเป็นปีแรกพอดี พอเอาใบสุทธิ สมัยก่อนไม่ใช่ รบ. นะ เป็นใบสุทธิ เอาไปให้ เขาเห็นเปอร์เซ็นต์การเรียน เขาบอกว่า “ไม่ต้องสมัคร รับเลย” แค่จ่ายค่าเทอมเท่านั้นพอ กลับมาบอกแม่ว่าค่าเทอม ๑,๒๐๐ บาท แม่บอกไม่มีปัญญาส่งหรอก แพงโคตรเลย..สมัยนั้น

สมัยนั้นการเรียนระดับพาณิชยการหรือว่า ปวช. เริ่มดัง คนนิยมเรียนกันมาก เพราะถือว่าเรียน มศ.๔ มศ.๕ กับมหาวิทยาลัยรวมแล้วเสียเวลาไปตั้ง ๖ ปี ไปเรียนพาณิชย์ ๒ ปีก็ทำงานได้แล้ว เขาก็เลยนิยมเรียนกัน อาตมาไม่มีสิทธิ์เรียน แม่ยืนยันว่าส่งไม่ไหว ฉะนั้น..ไปทำงานเถอะ ก็เลยต้องเข้ากรุงเทพฯ มาหัดงาน

ไม่อยากจะบอกว่า ที่แรกที่มาหัดงานในกรุงเทพฯ ก็คือตรงตลาดพลูนี่แหละ น่าจะประมาณต้นปี ๒๕๑๙ พอออกจากชั้น มศ.๓ ก็มาหัดงาน สมัยก่อนถ้าอยากทำงานเป็น ต้องไปรับใช้จนกระทั่งนายช่างเขายอมถ่ายทอดวิชาให้ พี่ชายคือพวกพี่ก้องเกียรติ พี่ประสิทธิ์ พี่สุรกานต์ ไปหัดงานกันถึงปากช่อง นครราชสีมา ไปฝึกงานซ่อมรถยนต์ แล้วก็มาเปิดอู่ซ่อมรถกัน

อาตมาเองก็มาหัดงาน จำได้ว่าชื่อร้าน จ.แสงยนต์ เป็นตึกแถว ๓ ชั้น ตอนนั้นถือว่าเป็นอาคารที่ใหญ่โตมโหฬารในความรู้สึกของตัวเอง เพราะว่าสมัยนั้นอาคารที่สูงที่สุดในกรุงเทพฯ ก็คือตึกโชคชัยสเต็กเฮาส์
ของฟาร์มโชคชัย สูงตั้ง ๒๒ ชั้น อยู่ตรงสุขุมวิท แล้วก็มีอีกที่คือโรงแรมอินทรา ตรงประตูน้ำออกมาทางด้านราชปรารภ ที่สูงกว่าใครในช่วงนั้น เขาคงรื้อทิ้งไปนานแล้ว ตึกสูงที่สุดในประเทศไทยสูงตั้ง ๒๒ ชั้น สมัยนี้ ๒๒ ชั้นเป็นเรื่องปกติทั่วไป คอนโดมีเนียมที่ไหนก็ทำได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-04-2014 เมื่อ 20:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #49  
เก่า 21-04-2014, 10:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"หัดงานอยู่ ตื่นตี ๕ นอนตี ๓ ไม่ได้พูดเล่นนะ เรื่องจริง เพราะว่าเขาต้องใช้งานจนคุ้ม ทำงานก็ดึก ๆ ดื่น ๆ งานหนัก แล้วบางทีง่วงมาก ๆ เวลาถอดล้อรถยนต์พวก ๖ ล้อจะโดนทับตาย เพราะว่าสมัยนั้นยังตัวเล็ก ๆ ผอม ๆ อยู่ พอไปถอดล้อรถก็ต้องใช้กากบาท ไม่มีแม่แรงลมเหมือนสมัยนี้ ถอดน็อตเสร็จถึงเวลางัดล้อออกมา มัวแต่งงขี้ตาอยู่เพราะง่วงจัด จะโดนล้อรถทับตาย..!

ทำงานอยู่หลายปี น่าจะ ๒ ปีกว่าเริ่มเป็นงาน จึงไปสมัครงานที่โรงงานไทยญี่ปุ่นเมตัลอุตสาหกรรม อยู่ท้ายซอยอ่อนนุช เป็นโรงงานผลิตตู้เซฟยี่ห้อโตโยมิสุ ตู้เซฟยี่ห้อนี้ไม่รู้ว่ายังมีอยู่หรือเปล่า ? ถ้ามีอยู่อาตมามั่นใจว่าปลดล็อกได้ทุกตู้ ไม่ต้องใช้คาถาอะไรหรอก เพราะจำรหัสได้ จะตั้งรหัสเดียวกันทุกตู้ เวลาออกจากโรงงานจะเป็นรหัสเดียวกันหมด
ถึงเวลาก็ให้เจ้าของไปเปลี่ยนรหัสใหม่เอาเอง ถ้าใครไม่เปลี่ยนอาตมาสามารถปลดล็อกได้หมด

ทำอยู่ ๗ เดือนเขาเลื่อนให้เป็นหัวหน้าแผนกสี เข้าไปใหม่ ๆ ค่าแรงวันละ ๒๕ บาท ๖ วันจ่ายที เขาจะจ่ายเป็นสัปดาห์ แล้วก็รอไปเถอะ เถ้าแก่มาจ่ายเงินไม่เป็นเวลาหรอก บางวัน ๔-๕ โมงเย็นก็มาแล้ว บางวัน ๓ ทุ่มกว่ายังไม่มาเลย จนกระทั่งไปโวยวายกับแม่บ้านชื่อพี่เอื้อย ว่าทำไมเถ้าแก่ไม่เห็นใจพวกผมเลยหรือ ? มาจนดึกขนาดนี้ นี่พวกผมยังต้องกลับบ้านอีก เขาบอกว่า “เราก็ต้องเห็นใจเถ้าแก่ด้วย พกเงินมาทีเยอะ ๆ ถ้ามาตรงเวลาถูกเขาดักปล้นเอาได้เหมือนกัน” ก็จริงของเขา แกมาไม่เคยตรงเวลาสักครั้ง มาเช้า มาเย็น มาสาย มาดึก ค่าแรง ๒๕ บาทต่อวัน กินอยู่เอง
รับเงินครั้งแรก ๑๕๐ บาทรู้สึกว่าเยอะจริง ๆ

ทำงานไปทำงานมา ๗ เดือน เขาเลื่อนขึ้นให้เป็นหัวหน้าแผนกสี ค่าแรง ๗๐ บาทต่อวัน ก็คิดว่า เออ..ฝีมือของเราเพียงพอที่จะหางานทำที่อื่นแล้ว ก็เลยลาออก เพราะว่าอายุก็น้อย โตเร็วเกินไป คนที่หมั่นไส้ก็มี เลยลาออกไปหางานทำที่อื่น ไปได้งานอู่ซ่อมรถยนต์ กลายเป็นเด็กหัดใหม่อีก การทำสีตู้เซฟ ตู้เซฟเป็นเหลี่ยม ๆ คุณทำอย่างไรก็ได้ ให้เป็นสี่เหลี่ยมเรียบกริบขึ้นมาก็ใช้ได้แล้ว แต่รถยนต์ชิ้นส่วนมีโค้ง ๆ ตายละวา..ต้องมาเริ่มต้นใหม่อีกแล้ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-04-2014 เมื่อ 20:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #50  
เก่า 22-04-2014, 13:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"พระครูแสงเขาทำงานมาก่อน พระครูแสงติดนิสัยพี่ชายคนใหญ่มา ทำงานละเอียดมาก ทั้ง ๆ ที่เป็นคนใจร้อน นิสัยขี้โมโห แต่ถ้าเรื่องของงานศิลป์นี่เขาจะละเอียด พระครูแสงเขาวาดรูปเก่งมาตั้งแต่เด็ก เขาเลียนแบบการ์ตูนได้เหมือนต้นฉบับเลย เขาก็เลยทำงานได้ดีกว่า ทำไปทำมาพี่ประสิทธิ์เปิดอู่ซ่อมสีรถ พี่ก้องเกียรติเปิดอู่ตั้งศูนย์ถ่วงล้อ พี่สุรกานต์ช่วยงานพี่ก้องเกียรติอยู่ พี่ชูชาติเป็นพี่เขยก็ซ่อมเครื่อง กลายเป็นคนละทิศคนละทางกันหมด

คราวนี้อาตมาถนัดงานสี ออกมาก็เลยกลายเป็นมาช่วยงานพี่ประสิทธิ์ จากที่ตัวเองมีค่าแรงวันละ ๗๐ มาช่วยงานพี่ประสิทธิ์กลับไม่มีค่าแรง เพราะพี่ประสิทธิ์เขาบอกว่า “เอ็งทำ ๆ ไปเถอะ เดี๋ยวกิจการนี้ข้าก็ยกให้เอ็ง” พี่ประสิทธิ์เขาตั้งใจอยู่อย่างหนึ่งว่าจะบวช งานทุกอย่างก็ทำเพื่อพ่อ เพื่อแม่ เพื่อพี่น้อง ไม่ได้เพื่อตัวเองเลย แกคิดจะบวชอย่างเดียว

ช่วงที่มาทำงานกับพี่ประสิทธิ์นี่แหละ มีโอกาสได้เจอหลวงพ่อฤๅษี เพราะว่าช่วงนั้นประมาณปี ๒๕๑๙ ปลาย ๆ ปี ได้ยินชื่อเสียงหลวงพ่อฤๅษีมาตั้งแต่ปี ๒๕๑๘ ตอนที่โยมพ่อตาย พี่ก้องเกียรติก็เอาหนังสือคู่มือปฏิบัติกรรมฐานไปให้ ตอนนั้นพิมพ์เป็นครั้งแรกเลย เห็นว่าอาตมาดูแลพ่อมาทั้งวันทั้งคืน ๖ ปีเต็ม ๆ ก็เลยเอาหนังสือกรรมฐานไปทิ้งไว้ให้ บอกว่า “อ่านดู..ถ้าทำได้ก็ทำ จะได้ไม่ต้องเสียใจที่พ่อตาย”

พออ่านก็เสร็จ..ติดหนับเลย ก็แอบฝึกไปเรื่อย คราวนี้พอความสนใจมากขึ้น ๆ ประกอบกับ ๒ ปีก่อนหน้านั้นครูเขาสอนพื้นฐานการปฏิบัติกรรมฐานให้แล้ว ช่วงนั้นใคร ๆ ก็เลยว่าครูกับลูกศิษย์คู่นี้มันบ้า อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่าเขาชวนไปทำบุญกับหลวงพ่อ ใหม่ ๆ ไม่ไปหรอก ฝากเงินไปทำบุญครั้งละ ๑๐ บาท สมัยนั้นยังมีธนบัตรใบละ ๕ บาท ๑๐ บาทอยู่ พอทำไปทำมาก็สงสัยว่าเขาไปอะไรกันทุกเดือน ๆ ก็เลยเกาะท้ายมอเตอร์ไซค์พี่เขาไปด้วย เสร็จแล้วฝึกมโนมยิทธิได้ ท้ายสุดไม่ต้องให้เขาชวนหรอก ไปเองเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-04-2014 เมื่อ 17:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #51  
เก่า 22-04-2014, 13:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ทำงานไปจนอายุ ๒๑ ปี มีหมายเกณฑ์มา ให้ไปคัดเลือกทหาร ช่วงนั้นเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อให้ตัดสินใจ เพราะว่าพี่ประสิทธิ์หมายมั่นปั้นมือว่าจะให้เป็นคนรับช่วงกิจการ แต่ว่าพระครูแสงเขาไปทำอยู่ก่อนแล้วตั้ง ๓ ปี พระครูแสงเรียนจบ ป.๗ ก็เข้ากรุงเทพฯ มาทำงานเลย ไม่เรียนมัธยม ส่วนอาตมายังตื๊อเรียนมัธยมมาอีก ๓ ปี หาเงินเรียนเอง คราวนี้ด้วยความที่พระครูแสงมาก่อน แกก็ทำงานแบบไม่มีเงินเดือนเหมือนกัน โดยมีความหวังว่า ท้ายสุดกิจการนี้ก็เป็นของแกเหมือนกัน ก็มานึกแบบเอาใจเขามาใส่ใจเราว่า ถ้าเรามาก่อน ๓ ปี เขาบอกว่ากิจการนี้จะยกให้เรา แล้วอยู่ ๆ พอพี่ชายมาเขาบอกจะยกให้คนอื่น ถึงเป็นพี่เราก็คงยอมไม่ได้เหมือนกัน จึงอยู่ในช่วงที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของการตัดสินใจ

พอมีหมายเกณฑ์มาเลยตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่า ตกลงเราไปดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาแย่งสมบัติกัน ก็เลยตัดสินใจว่าจะไปเป็นทหาร แต่คราวนี้แม่สิ แม่ไม่เคยยอมให้ลูกเป็นทหารสักคน ไปวิ่งเต้นเสียเงินเสียทองให้กับทางอำเภอมาทุกคน ก็ห้ามแม่ไว้ว่าอย่าไปเสียเงิน แม่ก็เลยเอาแบบว่า มีหลวงปู่หลวงพ่อที่ไหนศักดิ์สิทธิ์พาไปหมด ไปบนไม่ให้ลูกเป็นทหาร

อาตมาไปถึงก็จุดธูปจุดเทียนกราบงาม ๓ ครั้ง บอกว่า “หลวงพ่อครับ อยู่เฉย ๆ นะครับ ผมอยากเป็น” ไม่อยากให้หลวงพ่อมายุ่งกับอนาคตของตัวเอง ว่าอย่างนั้น พอถึงวันคัดเลือกก็ไปสมัคร เสร็จสรรพเรียบร้อยก็ออกมาบอกว่า “แม่..เรียบร้อยแล้วครับ ได้ใบแดง” แม่บอกว่า “เอ็งไม่ต้องมาโกหก ปีที่แล้วเขาจับกันตอนบ่าย เอ็งไปสมัครใช่ไหม ?” แม่พาลูกมาหลายคน..แกรู้ จากอำเภอมาถึงบ้าน แม่แกด่าจากอำเภอ
ยันมาถึงบ้านเลย..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-04-2014 เมื่อ 14:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #52  
เก่า 22-04-2014, 13:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"วันแรกเขาพามาแยกตัวกันที่มณฑลทหารบกที่กรุงเทพฯ นี่แหละ ตรงกองพลที่ ๑ เขาแจ้งว่าวุฒิฯ มัธยม อายุยังไม่เกิน ๒๓ ปี สามารถเรียนต่อนักเรียนนายสิบ ได้จะเรียนไหม ? ก็เกิดแรงบันดาลใจว่า เราอยากเรียนมานานแล้ว สมัยนั้นไม่รู้จริง ๆ ว่าการเรียนทหารไม่เสียเงินเสียทอง เพราะไม่เหมือนกับสมัยหลัง ๆ ที่ทางโรงเรียนจะมีคนเข้าไปแนะแนวการศึกษาให้ สมัยนั้นต้องตรัสรู้เอง ก็เลยไม่รู้ ถ้ารู้นี่โดดเข้าไปเรียนนานแล้ว

พอเข้าไปแล้วถึงจะรู้ว่าไม่ต้องเสียอะไรเลย เสื้อผ้า ที่อยู่ที่กินอะไรเขาให้หมด แล้วมีเบี้ยเลี้ยงให้อีกต่างหาก พอมีให้เรียนก็เลยไปเรียน ผลการเรียนก็ดันออกมาเกินชาวบ้านชาวเมืองเขาอีก เพราะฉะนั้น..ถึงเพื่อนฝูงเขาจะเหม็นขี้หน้าขนาดไหน เขาก็ต้องพึ่งพาอาศัย เพราะเขาต้องให้ช่วยเขาในเรื่องเรียน

จนกระทั่งไปถึงจุดอิ่มตัวตรงที่ว่า ทำงานตรงไปตรงมาแล้วไปขวางทางเพื่อน เขาก็เลยฟ้องร้อง ตอนนั้นอาตมามีหน้าที่คุมพวกของหนีภาษีไปส่งคลัง ปกติแล้วจะหายหกตกหล่นเข้ากระเป๋าคนอื่นเป็นประจำ คราวนี้อาตมาไปลงบัญชีทุกชิ้น มีการเซ็นรับเซ็นส่ง เบี้ยวไม่ได้ กลายเป็นไปเกะกะทางเขา เขาก็เลยฟ้องเอา

ตอนแรกก็ไม่รู้ตัวว่าโดน มารู้เอาตอนที่จ่ากองพันเขามากระซิบถามว่า “เอ็งไปทำอะไรผิดหรือเปล่า ? เจ้านายเขาสั่งตรวจสอบบัญชีทุกธนาคาร แล้วก็ไปรษณีย์ด้วย ว่ามีการฝากเงิน โอนเงิน ส่งเงินกลับบ้านหรือเปล่า ?” อาตมาก็สังหรณ์ใจว่าเรื่องอะไร อยู่ ๆ เจ้านายมาตรวจสอบ ตอนนั้นก็ยังซื่อเกินไป ไม่รู้หรอกว่าโดนเพื่อนเล่นเข้าให้แล้ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-04-2014 เมื่อ 14:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #53  
เก่า 22-04-2014, 13:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ในที่สุดก็มีหนังสือจากกองพันแจ้งมาว่า ให้เข้าไปที่กองพลเพื่อรับการสอบสวน พอได้ยินเท่านั้นแหละ เกิดความรู้สึกว่า “ในเมื่อกูทำดีไม่ได้ดี แล้วจะทำไปทำไม ?” ก็เลยพิมพ์ใบลายัดใส่อกเสื้อไปด้วย พอไปให้เขาสอบสวนก็ให้การตามความเป็นจริง ปรากฏว่าคณะกรรมการตัดสินว่าไม่มีความผิด อาตมาก็วางใบลาโป้ง..! ลงต่อหน้าคณะกรรมการเลย บอกว่าผมขอลาออกครับ บรรดาเจ้านายเขาก็ตกอกตกใจกัน

ส่วนใหญ่แล้วทหารไม่มีใครกล้าลาออกจากงาน เพราะเขาทำอย่างอื่นไม่เป็น แต่อาตมาทำอะไรก็ได้ เขาก็ยังบอกว่า “ถึงออกไปแล้วมาทำงานให้กูแล้วกัน กินเงินเดือนกู” อาตมาก็บอกว่า “ไม่เอาหรอกครับ คนอย่างผมถ้าไปแล้วไปเลย” สรุปว่าเพื่อนเขาอ่านขาด แต่อาตมาไม่เข้าใจเพื่อนเอง เพื่อนเขารู้ว่าถ้ามัวหมองขึ้นมาลักษณะอย่างนี้อาตมาจะไม่อยู่ ต้องถอยให้เขาอยู่ดี แต่อาตมาเองไม่รู้จักเพื่อน ว่าเพื่อนเราถึงเวลาแล้วไปขัดผลประโยชน์ เขาก็มาเหยียบกันอย่างนี้ก็ได้..!

เพราะว่าถึงแม้ว่าคุณจะไม่มีความผิด แต่ประวัติติดตัวแดงไปแล้ว ว่าเคยโดนสอบสวนข้อหาทุจริต พอถึงเวลาถ้าเป็นคู่แข่งใครเพื่อตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง เขายกตรงนี้ขึ้นมาตีนี่เสร็จเลย ก็เลยตัดสินใจออก มาหางานทำใหม่"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-04-2014 เมื่อ 14:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #54  
เก่า 22-04-2014, 13:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ช่วงที่ไปสนุกสนานกับชีวิตทหาร พี่ประสิทธิ์ที่ตั้งใจว่าจะบวช กลับไปแต่งงาน เนื่องจากว่าพี่เขาไปถามหลวงพ่อฤๅษีกลางบ้านสายลมต่อหน้าคนเป็นร้อย ๆ เลย ด้วยความเคยชิน นิสัยไม่กลัวใคร เสียงดังฟังชัดอยู่แล้ว ไปถึงก็ถามว่า “หลวงพ่อครับ ถ้าผมบวชแล้วจะได้เป็นพระอรหันต์ไหมครับ ?” หลวงพ่อท่านก็ตอบกลับมาเสียงดังฟังชัดเหมือนกันว่า “โคตรแม่มึงทำเองแล้วกูจะไปบอกได้อย่างไรเล่า..!” เพราะถ้าขยันก็ได้ ถ้าขี้เกียจก็อด

แต่คราวนี้พี่ประสิทธิ์น่าจะวาระกรรมมาถึง เพราะว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงเวลาท่านทดสอบลูกศิษย์นี่ท่านใส่หนัก ๆ ชนิดไม่เลี้ยงเลย ประเภทที่ว่าถ้าผ่านได้ก็ไปเลย ถ้าผ่านไม่ได้ก็ติดแหง็กอยู่แค่นั้นแหละ พี่ประสิทธิ์แกไปตีความว่าบวชไปก็ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น..แต่งงานดีกว่า น่าจะคิดว่าไปเป็นพระอรหันต์ของลูกดีกว่า อะไรอย่างนั้น

เรื่องการแต่งงานอาตมาต้องชมพี่สะใภ้ พี่สะใภ้เขาครอบพี่ชายอยู่หมัดเลย จนกระทั่งทุกคนในบ้านบอกว่า "ตกลงนี่เอ็งแต่งออกหรือแต่งเข้า ?" เพราะว่าจากที่ทำทุกอย่างเพื่อพี่ เพื่อน้อง เพื่อพ่อแม่ กลายเป็นทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวข้างโน้น ต้องบอกว่าพี่สะใภ้คนนี้เก่ง ขนาดพี่เขาถูกรางวัลที่หนึ่งพวกเราก็ไม่มีใครรู้ พี่สะใภ้แอบเอาเงินซื้อที่ไว้ ๒๐ กว่าไร่ที่หนองจอก พวกเรามารู้เอาตอนที่แกจะตายแล้ว ก็ต้องชมว่าเป็นความสามารถเฉพาะตัว แต่ว่าลูกผู้หญิงถ้าทำลักษณะอย่างนั้น ทางบ้านผู้ชายจะไม่มีใครคบด้วยแน่ ๆ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-04-2014 เมื่อ 14:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #55  
เก่า 23-04-2014, 10:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ฝ่ายพี่ชายที่แต่งงานมีพี่ชายใหญ่แต่งกับพี่บุญฉัตร พี่วิเชียรแต่งกับพี่หงส์ ต้องบอกว่าเป็นพี่สะใภ้ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา พี่ก้องแต่งกับพี่หอม พี่ประสิทธิ์แต่งกับพี่เตียง พี่สุรกานต์คบหาสมาคมกับแฟนมาเป็น ๑๐ ปี ถึงขนาดประเภทส่งเสียให้ร่ำเรียน แต่ปรากฏว่าพอเขาไปเจอที่ถูกใจกว่าเขาก็ไปเลย ตกลงพี่สุรกานต์เขาเลยกลายเป็นโสด

ทางด้านฝ่ายพี่สาวมีพี่อรทัยแต่งกับพี่ไพบูลย์ ก็ไปเป็นเจ้าแม่ทุ่งคอก พี่อรทัยเขาขยัน ทำงานเก็บเงิน ได้เงินมาซื้อห้อง ซื้อตึก ซื้อจนกระทั่งตลาดทุ่งคอกเกือบทั้งตลาดเป็นของเขาหมด พอมีลูกก็ยกให้ลูกคนละหลัง ยกให้หลานคนละหลัง ลูกหลานแต่ละคนทำกิจการ กลายเป็นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ต้องบอกว่าพี่ไพบูลย์แกทำบุญมาโคตรจะดีเลย ไม่ต้องทำอะไรเลย วัน ๆ ก็เดินแกว่ง กินกาแฟ เล่นหมากรุก กิจการทุกอย่างพี่อรทัยทำหมด พี่เขยคนนี้สุดยอดจริง ๆ ไม่เคยลำบากเลย

พี่พนารัตน์แต่งกับพี่อุดม ต้องบอกว่าพี่พนารัตน์เป็นที่พึ่งของครอบครัวอยู่หลายปี ก่อนหน้านั้นทางพี่อรทัยกับพี่พนารัตน์จะมีเพื่อนซี้อยู่ก็คือพี่อ๋ากับพี่แมว ทั้งสี่สาวนี่ดังระเบิดเถิดเทิง เหมือนอย่างกับว่าเป็นดอกไม้งามอยู่กลางป่า มีแต่คนกล่าวขวัญถึง ขึ้นบ้านกันหัวกระไดไม่แห้ง แล้วก็ประเภทหนังเหนียวจริง ๆ ไม่ยอมแต่งกับใครง่าย ๆ ช่างเลือก ท้ายสุดก็แต่งงานแต่งการไปทุกคน

ถ้าจำไม่ผิด พี่อ๋าไปแต่งกับเจ้าของโรงสีที่นนทบุรี พี่แมวแต่งกับเสมียนโรงแรมวันชัย ที่ปากช่อง ใกล้ทางขึ้นเขาใหญ่ แต่ว่าไม่ได้พึ่งกิจการสามีเท่าไรหรอก เพราะว่างานเสมียนสมัยก่อนก็อย่างว่าแหละ ดูแลกิจการเหมือนกับเป็นของตัวเอง ทุ่มเท แต่ได้เงินเดือนหน่อยเดียว พี่แมวเขามาเปิดร้านขายอาหารชื่อพรมงคลอยู่ที่ตลาดปากช่อง พอดีช่วงนั้นการออกอีสานมีอเมริกาตัดถนนให้ ปากช่องกลายเป็นชุมทางใหญ่ โอ้โฮ..รวยไม่รู้เรื่องเลย เพราะว่ารถทัวร์พอถึงเวลาก็มาจอง ขนาดทำอาหารไม่ไหว จ้างลูกจ้างเป็น ๑๐ คนก็สู้ไม่ไหว ต้องบอกว่าแต่ละคนเขาก็มีทางชีวิตของเขาเอง

พี่อรวรรณแต่งกับพี่ชาติ พี่ชาติจริง ๆ ก็ทำงานอยู่กับพี่ก้องนั่นแหละ ทำไปทำมาก็เลยคว้าเอาพี่อรวรรณไปด้วย ประเภทที่ว่าทำงานอยู่ด้วยกันมานาน จากลูกน้องก็มาเป็นน้องเขยแล้วกัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-04-2014 เมื่อ 11:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #56  
เก่า 23-04-2014, 10:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"คนสุดท้ายในบ้านที่แต่งงานก็คือพี่มุกดา คงไม่มีใครรู้ว่าพี่มุกดาก็มีครอบครัวเหมือนกัน พอแต่งงานก็ไปดูแลบริหารกิจการงานให้เขาเจริญรุ่งเรือง แต่พี่มุกดาตกต้นไม้ พิการตั้งแต่เด็กก็เลยไม่มีลูก ทางด้านคุณสามีเขาเป็นคนจีน ครอบครัวเขาเลยตั้งข้อรังเกียจ เขาก็เลยไปหาเมียน้อยมายัดให้ลูกชาย โดยที่พี่มุกดาได้แต่นั่งตาปริบ ๆ ทำอะไรไม่ได้

ท้ายสุดพี่มุกดาคงเห็นว่า ทำอะไรให้เขาทุกอย่างแล้วยังทำกันอย่างนี้อีก ก็อย่าไปอยู่กับเขาเลย จึงออกมาเฉย ๆ เขามาตามง้ออยู่เป็นปีเหมือนกัน แต่ว่าพี่เขาฉลาด เขาไม่กลับไปหรอก ด้วยความที่พี่มุกดาแกบริหารงานทุกอย่าง พอออกมาแล้วสะใภ้คนใหม่เขาทำงานไม่เป็น แล้วพี่เขยก็กำลังเล่นการเมือง คือสมัคร สก. ก็เลยไม่ได้ไปดูแล ให้พี่สะใภ้คนใหม่บริหารงาน เจ๊งเรียบร้อย เรื่องของงาน ถ้าไม่ได้ทุ่มเทดูแลใกล้ชิด แล้วไว้วางใจให้คนอื่นทำแทน ถ้าได้คนที่ไว้วางใจได้ก็ดี ถ้าไว้วางใจไม่ได้นี่มีโอกาสเจ๊งสูงมาก

สรุปว่าที่บ้านตั้งแต่อาตมาลงไปไม่มีใครแต่งเลย เพราะว่าแต่ละคนเขาเหมือนกับรอให้ไปตามลำดับ อาตมาก็บอกแล้วว่าไม่ต้องรอ แต่งได้แต่งไปเลย จนกระทั่งท้ายสุดน้องสาวคนเล็กก็คือนิด มาแต่งเอาตอน ๔๐ กว่า เพราะว่าเห็นใจว่าผู้พันจี๊ดตามมาตั้งแต่สมัยเพิ่งจะติดนายร้อยใหม่ ๆ คิดดูว่าร้อยตรี ร้อยโท ร้อยเอก พันตรี ผ่านไปกี่ปี ? ในเมื่อผู้ชายเขาอึดขนาดนั้นจึงยอมแต่งด้วย

ตอนที่ขึ้นไปแต่งงาน เขากล่าวอะไรกันบนเวทียังขำ ๆ เขาบอกว่าเพื่อนฝูงอย่าหาว่าเขามีรสนิยมวิปริตนะครับ เขาก็นิยมพวกสูงยาวขาวตึงเหมือนกัน แต่กลายเป็นสูงอายุ สายตายาว ผมขาว หูตึง ไปแล้ว รอนานไปหน่อย เขารอได้นานขนาดนั้นจริง ๆ ต้องบอกว่าอึดใช้ได้เลย สมัยนี้นะหรือ ? ประเภทส่งไลน์ไป ๓ ครั้งไม่ตอบก็เลิกกัน เอาแค่นี้ก่อน..เดี๋ยวนินทาชาวบ้านเขาเยอะ"


ถาม : นี่ก็ครบพี่น้องทุกคนแล้วครับ ?
ตอบ : หลานยังมีอีกเยอะ หลาน ๓๐ กว่าคน เหลนอีกเป็น ๑๐ คน และยังมีตามมาอีกเรื่อย ๆ เลยจากหลานไปนี่จำได้ไม่กี่คน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 23-04-2014 เมื่อ 15:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #57  
เก่า 23-04-2014, 10:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีเรื่องตลกว่าพ่อกับแม่ส่งเงินไปเมืองจีนเท่าไร ๆ เขาก็บอกว่าไม่พอ จึงต้องถามว่าทำไม ? ท้ายสุดทางด้านพี่สาวใหญ่ทางโน้นบอกว่าจะเอาไปซื้อจักรยาน คือในสมัยนั้นจักรยานเป็นความใฝ่ฝัน เหมือนคนไทยอยากขี่รถเบนซ์ อย่าลืมว่าประเทศเขาเคยครองตำแหน่งประเทศที่มีจักรยานมากที่สุดในโลก เพิ่งจะมาเห่อรถยนต์กันไม่กี่ปีนี่เอง โตโยต้าวีออสโรงงานใหญ่ที่สุด กำลังผลิตเต็มที่ปีละ ๓๐๐ คัน คนจีนจองปีหนึ่งแสนกว่าคัน ผลิตให้ทันไหมล่ะ ?

ในช่วงเด็ก ๆ มีอาเจ็กอยู่คนหนึ่ง เรียกฮุ้นเจ็ก ชื่อแกแปลว่าเมฆ อาเจ็กคนนี้เป็นบัณฑิตแล้วหนีมา เพราะว่าสมัยนั้นเมืองจีนเขากวาดล้างปัญญาชน แกมาแล้วต้องบอกว่าแกคิดผิด แกคิดจะมายึดอาชีพเป็นครูสอนหนังสือ แกมาก็มาอาศัยอยู่ในกลุ่มคนจีน เพราะว่าสมัยนั้นเขาจะ
อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ๆ อย่างคนจีนก็จะรวมกลุ่มกันแถวนครปฐม แถวท่ามะกา หรือไม่ก็แถวสมุทรสาคร ท่าจีนแถวนั้น

ก็ปรากฏว่าอาเจ็กตระเวนไปหางานสอนหนังสือไม่ได้ เพราะว่าทุกคนที่มาล้วนแล้วแต่มาเริ่มต้นชีวิตกันทั้งนั้น ต้องทุ่มเทให้กับงาน พอมีลูกมีหลานก็ใช้เป็นแรงงานในบ้านหมด ไม่มีโอกาสไปเรียนหนังสือ จากบุคคลที่ต้องบอกว่าเหมือนจบปริญญาสมัยก่อน ซึ่งน่าจะประสบความสำเร็จในชีวิตมากที่สุด กลายเป็นคนที่ไม่มีความสำเร็จในชีวิตอะไรเลย เพราะผิดที่ผิดทาง พวกที่มาเป็นกรรมกรตั้งหลักได้ก่อน แต่บัณฑิตไม่มีงานทำ แกก็เที่ยวไปอยู่บ้านโน้นนิด บ้านนี้หน่อย อาศัยเขากินไปวัน ๆ ท้ายสุดมาอาศัยอยู่ที่บ้านอาตมานานที่สุด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-04-2014 เมื่อ 11:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #58  
เก่า 23-04-2014, 10:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สมัยนั้นโยมพ่อไปหักร้างถางพงได้ที่มา ๒๐๐ ไร่ กลายเป็นที่พักชั่วคราวของพวกที่มาจากเมืองจีน พอถึงเวลาใครยังหาญาติพี่น้องไม่เจอ ยังไม่มีที่ทำกินของตัวเองก็มาอยู่มากิน มาทำงานที่บ้านก่อน ก็จะมีอาเจ็กคนนี้กับอาเจ๊อีกคนหนึ่งที่มาอยู่กันทั้งครอบครัวเลย จนกระทั่งจำได้ว่าเรียนหนังสือ ป.๓ หรือ ป.๔ แล้ว ครอบครัวเจ๊น่ำฮวยแกถึงลงหลักปักฐานได้ จึงย้ายไปอยู่ในที่ของตัวเอง

สมัยก่อนเรื่องการอาศัยกันอยู่ เขาถือว่าเพิ่มตะเกียบคู่เดียว ฟังดูแปลก ๆ ไหม ? ก็เพิ่มตะเกียบคู่เดียว ถึงเวลาก็เพิ่มอาหารให้เขาหน่อยแค่นั้นเอง เพราะอยู่กินกับกงสี แล้วพ่อทำไร่ยาสูบ ลูกน้องตั้ง ๓๐-๔๐ คน ก็แค่เพิ่มข้าวมาชามสองชามไม่ได้มากมายอะไร พึ่งพาอาศัยกัน แต่ว่าเห็นอาเจ็กแกเครียดเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่อาตมาเป็นเด็กยังรู้ รู้เพราะว่าตัวอาเจ็กความรู้สูงแต่หางานทำไม่ได้ ต้องมาอาศัยชนชั้นต่ำที่ตัวเองเคยดูถูกว่าเป็นคนละชั้นกันกิน

ที่รู้ว่าแกเครียดเพราะแกต้องเมาทุกวัน ไม่เมาแล้วจะคิดมาก ด้วยความที่แกเมานี่แหละ วันนั้นก็เลยกลายเป็นเรื่องตลก เพราะว่าโยมพ่อบอกให้ไปซื้อน้ำมันก๊าดมา อาตมาคว้าขวดเหล้าจอนนี่วอล์กเกอร์ได้ก็วิ่งไปซื้อมา พอกลับมาวางไว้ยังไม่ทันจะเติมตะเกียงเลย อาเจ็กแกเดินเซเข้ามาถึงแกก็กรอกอั้ก ๆ เข้าไปเลย แล้วสักพักแกก็ เอ๊ะ..ไม่ใช่เหล้านี่หว่า กินเข้าไปตั้งเยอะแล้วนะ

ดีตรงที่ว่าแกเคยเป็นโรคพยาธิ ถ่ายออกมาหมดเลย พยาธิก็คงไม่คิดว่ามีใครกินยายี่ห้อนี้ถ่ายพยาธิ ยี่ห้อน้ำมันก๊าด ไม่เป็นอะไรนะ..ถ่ายออกมาเฉย ๆ ในสมัยนั้นที่เห็นก็เห็นอาเจ็กคนนี้แหละ ฮุ้นเจ็กเรียนมาสูงแต่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต เป็นบัณฑิตแต่สู้กรรมกรไม่ได้ แล้วก็มาเห็นบรรดาเพื่อนฝูงที่เตี่ยช่วยเอาไว้ กลายเป็นว่าสนองคุณด้วยโทษ บุกรุกพื้นที่บ้าง ยึดพื้นที่บ้างอะไรให้ยุ่งไปหมด เพราะว่าเตี่ยไม่รู้หนังสือ ไม่รู้ว่ากฎหมายไทยมีการครอบครองโดยปรปักษ์ได้ ให้เขาอยู่เป็น ๑๐ ปี เขายึดที่เป็นของเขาเองหมดเลย แล้วเตี่ยก็ไม่อยากมีเรื่อง คนจีนเขาถือว่าขึ้นโรงขึ้นศาลกินขี้หมาดีกว่า จึงเสียพื้นที่ให้เขาไปเยอะแยะ

ถึงได้เห็นว่าแม้ว่าเราจะตั้งใจช่วยเขาก็จริง แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะสำนึกบุญคุณ พอถึงเวลาก็ตอบแทนด้วยความแสบชนิดที่เราคิดไม่ถึง พอดีโยมพ่อทำงานหนักมาตั้งแต่หนุ่ม ๆ พออายุมากก็เจ็บไข้ได้ป่วยต้องรักษาตัวเอง เงินทองต้องรักษาตัวเองด้วย ส่งให้ทางเมืองจีนด้วย ลูก ๑๐ กว่าคนแม่ก็ตั้งใจให้เรียน ก็เลยกลายเป็นชักหน้าไม่ถึงหลัง พอถึงเวลาแม่ไปเที่ยวหยิบยืมเขา คนที่
เราเคยช่วยเขามากลับไม่ช่วยเลย เป็นเรื่องแปลกมาก เหมือนอย่างกับต่างคนต่างมีข้ออ้าง เขาไม่ได้นึกถึงตอนที่เขาลำบากแล้วมาให้เราช่วยบ้างเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 23-04-2014 เมื่อ 15:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #59  
เก่า 24-04-2014, 13:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อาประเสริฐเป็นคนที่พ่อช่วยเขาน้อยที่สุด แต่เขาช่วยกลับมาเยอะที่สุด ก็อย่างว่านั่นแหละ ทางแม่ถือเรื่องศักดิ์ศรี ติดหนี้ใครก็ต้องใช้คืนเขา พยายามที่จะรบกวนคนอื่นให้น้อยที่สุด จำได้ว่าหลังงานศพของพ่อทุกคนเหลือแต่ตัว พี่ชายมีตึกสามชั้นอยู่ตลาดพลูต้องขายตึก อีกคนหนึ่งขี่มอเตอร์ไซค์วิบากอย่างดีก็ต้องขาย เอาเงินมาทำกงเต๊กให้พ่อ ๗ วัน ๗ คืน

ถ้าจำไม่ผิดกงเต๊กตอนนั้นคืนหนึ่งตั้งเจ็ดแปดพัน แล้วทองบาทละ ๒,๐๐๐ บาทเท่านั้น ถามว่ามีความจำเป็นด้วยหรือที่จะต้องทำ ? เพราะว่าลำบากทุกคนนะ..ไม่ได้ลำบากคนเดียว พี่ ๆ บอกว่าถ้าไม่ทำเดี๋ยวคนอื่นดูถูกเอา อาตมาได้ยินแล้วเซ็ง ทำอย่างกับว่าทำไปแล้วเขาจะไม่ดูถูกอย่างนั้นแหละ กลายเป็นอะไรที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก และทำให้ทุกคนต้องขยันโดยอัตโนมัติ ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ทำกันเหมือนไอ้บ้า อย่างที่บอกว่านอนตี ๓ ตื่นตี ๕ ประมาณ ๔-๕ ปีกว่าจะกลับมาตั้งหลักได้ตามเดิม แล้วพี่ ๆ ก็ทยอยกันแต่งงาน

อาตมาเองตอนดูแลพ่อ เหตุผลของพี่ ๆ ก็คือ “เอ็งเป็นคนโตที่สุดที่ยังไม่ได้ทำงาน” เหตุผลตอนที่ดูแลแม่ก็คือ “เอ็งเป็นคนโตที่สุดที่ยังไม่ได้แต่งงาน” อาตมาโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง ตอนดูแลพ่อยังเรียนหนังสืออยู่นี่ เป็นคนโตที่สุดที่ยังไม่ได้ทำงาน พอมาดูแลแม่ก็เป็นคนโตที่สุดที่ยังไม่แต่งงาน เป็นอะไรที่ตลกแต่หัวเราะไม่ออก

จำได้ว่าตอนดูแลพ่อ พอถึงเวลามีหนังขายยา มีลิเก มีงานวัด ถึงอยากจะไปก็ไม่ได้ไปหรอก คนอื่นเขาไปกันหมด อาตมาต้องดูแลพ่อ แล้วพ่อก็เรียกทั้งคืน เพราะแกเป็นโรคอะไรไม่รู้ กึ่ง ๆ อัมพฤกษ์ พอนอนไปสัก ๕-๑๐ นาทีเหมือนกับแข็งเกร็งไปทั้งตัว จะปวดเมื่อยทรมานมาก ต้องเรียกให้นวดทั้งคืน คราวนี้เด็กที่เรียน
ระหว่าง ป.๕ ถึง ม.ศ.๓ โดนปลุกทั้งคืนก็เหมือนกับตกนรกทั้งเป็น..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-04-2014 เมื่อ 14:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #60  
เก่า 24-04-2014, 13:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ไปโรงเรียนต้องไปขออนุญาตครูนอนหลับในห้อง ถึงเวลาก็ยกมือ “ครูครับ..ไม่ไหวแล้วครับ ผมขออนุญาตนอนครับ” คุณครูก็รู้ สมัยก่อนนี่ครูเขารู้จักลูกศิษย์ลึกซึ้งจริง ๆ แต่ละคนพื้นฐานครอบครัวเป็นอย่างไรท่านรู้หมด ครูบอกว่า “นอนได้..แต่วิชานี้ห้ามตกนะ” ด้วยความที่กลัวครู เกรงครูด้วย เลยกลายเป็นว่าถึงหลับก็ต้องพยายามฟัง เพราะถ้าไม่ฟังก็จะไม่รู้เรื่อง เลยกลายเป็นฝึกกรรมฐานได้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ประเภทหลับแล้วหูต้องได้ยิน ฝึกอยู่ตั้งหลายปี เล่นจนคล่องเลย

ฉะนั้น..เวลาอาตมาหลับอยู่นี่ห้ามนินทานะ ได้ยินชัดกว่าตอนตื่นอีก ต้องฝึกนอนโดยให้ได้ยินอย่างหนึ่ง แล้วก็ได้พื้นฐานการเรียนกรรมฐานจากท่านอาจารย์ณรงค์เดช บุญมี อีกอย่างหนึ่ง อาจารย์ณรงค์เดช บุญมีจะสอนอยู่ ๒ แนว ก็คือตามแนวหลวงพ่อวัดปากน้ำก็คือ สัมมาอะระหัง ผ่าน ๑๘ กายให้ได้ และตามแบบของหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม สอนให้ภาวนาคาถานั่นคาถานี่ไปเรื่อย แล้วค่อยเลี้ยวกลับมาพิจารณาใหม่ แต่ตอนช่วงนั้นไม่มีโอกาสกลับมาพิจารณา เพราะมัวแต่สนุกกับคาถาอยู่ ไปได้พื้นฐานจากตรงนั้นมามาก

พอโยมพ่อตาย พี่ชายเอาตำราคู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อวัดท่าซุงไปให้ ก็เลยกลายเป็นของง่าย พอมาปี ๒๕๒๑ ไปฝึกมโนมยิทธิได้ก็ยิ่งไปกันใหญ่ คราวนี้ตีก็ไม่ไปไล่ก็ไม่หนีแล้ว จากที่เคยคลุกคลีตีโมงกับหลวงปู่หลวงพ่อสายหลวงปู่มั่นมาตั้งแต่เด็ก เพราะว่าโยมแม่ไปเป็นกรรมการร่วมสร้างมหาเจดีย์ให้หลวงพ่อวิริยังค์ที่วัดธรรมมงคล ไปบวชชีทุกปี ๆ ละ ๑๐ วัน แม่ก็เอาอาตมาไปเป็นเพื่อน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-04-2014 เมื่อ 14:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:16



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว