|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#61
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "เราจะเห็นได้ว่า ในเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลง จะกินเราตั้งแต่ลืมตาตื่น จะเด็กจะผู้ใหญ่ก็โดนกินทั้งนั้นแหละ"
ถาม : ในกรณีที่จิตปฏิสนธิก็กินตั้งแต่ตอนนั้นหรือครับ ? ตอบ : กินมาก่อนนั้นอีก แต่นี่หมายถึงว่าในแต่ละวัน สภาพจิตของเราตอนหลับจะทิ้งไปชั่วคราว ลืมตาตื่นขึ้นมาเมื่อไรก็โดนกินใหม่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-04-2014 เมื่อ 02:28 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#62
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตำราโหงวเฮ้งฉบับแรกของโลกที่มีหลักฐานชัดเจนคือมหาปุริสลักษณะ ไม่มีใครเถียงได้ เพราะว่าเขาดูกันมาตั้งแต่โบราณแล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-04-2014 เมื่อ 02:28 |
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#63
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : การงานสะดุด ?
ตอบ : ไปนั่งภาวนาคาถาเงินล้านของหลวงพ่อวัดท่าซุง ทำให้สม่ำเสมอทุกวัน ถ้าทำจริง ๆ จัง ๆ ไม่เกิน ๒ เดือนเท่านั้นแหละ งานจะทับตาย เมื่องานสะดุดก็ต้องหาบุญใหญ่มาช่วย บุญใหญ่ที่สุดก็คือภาวนา แล้วถ้าภาวนาคาถาเงินล้าน ก็จะมีความคล่องตัวมาก ถาม : อย่างเดียวหรือครับ ? ตอบ : อย่างเดียวก็พอแล้วจ้ะ ขอให้ทำจริงเท่านั้นแหละ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-04-2014 เมื่อ 02:00 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#64
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : กำหนดวันกฐินปลดหนี้ที่วัดรัตนานุภาพแล้วยังคะ ?
ตอบ : กำหนดไว้ตั้งนานแล้ว มีอยู่ในเว็บไม่ใช่หรือ ? ในกำหนดการประจำปี ๒๕๕๗ วันที่ ๒๖ ตุลาคม วันอาทิตย์ ต้องไปตั้งแต่วันศุกร์เหมือนเดิม เพราะเราจะไปถึงวันเสาร์แล้วค้างคืนหนึ่ง พอเช้าวันอาทิตย์ทอดกฐินเสร็จก็ตัวใครตัวมัน คงได้เหมารถไฟกันอีกแล้ว คราวที่แล้วเหมารถไฟเขาไปเท่าไร ? ๒ ตู้ใช่ไหม ? ๘๐ ที่นั่ง นอนคุยกันไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-04-2014 เมื่อ 02:01 |
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#65
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : มีวัตถุมงคลที่เป็นคู่ปรับไสยศาสตร์ไหมคะ ?
ตอบ : ยันต์เกราะเพชรอย่างไรเล่า คู่ปรับไสยศาสตร์โดยตรง พกติดตัวแล้วภาวนาอิติปิ โสฯ ๓ ห้องทุกวัน ถาม : ยังมีตะกรุดมหาสะท้อนไหมคะ? ตอบ : เลิกทำแล้วเพราะอันตราย บางคนเอาไปเล่นเขาถึงตาย อาตมาเลยโดนพระท่านตำหนิมา ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ถ้าใครเขาทำอภิญญาแล้วไปใช้วิธีนี้จะเสื่อม ส่วนใหญ่แล้วที่ไสยศาสตร์ทำแล้วมีผลเพราะว่าเรากลัว ถ้าไม่กลัวนี่ ประเภทเรียกว่าชนะไปครึ่งหนึ่งแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-04-2014 เมื่อ 02:02 |
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#66
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : พุทธวจนะที่กล่าวว่า “อวิชชาแต่ก่อนไม่ปรากฏ แต่บัดนี้มี” หมายความว่าอะไรครับ ?
ตอบ : ก็คือ สภาพของจิตของเราถ้ายังไม่ปรุงแต่ง สิ่งทั้งหลายที่เป็นโทษก็ยังไม่เกิดขึ้น พอปรุงแต่งขึ้นมาเมื่อไร สิ่งที่เป็นโทษจะเกิดขึ้นทันที ก็แปลว่าเราทำไปโดยไม่รู้ ความไม่รู้ก็คืออวิชชา มีหลายท่านสงสัยว่าใครเป็นตัวสร้างกิเลส แต่ไม่สงสัยว่าตัวกูเป็นคนสร้างกิเลส..! เพราะว่ามีการปรุงแต่งถึงได้เกิดขึ้น ตัวเองไปชอบใจไม่ชอบใจ ยินดียินร้ายนี่ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ถาม : เป็นเพราะเหตุปัจจุบัน ? ตอบ : อวิชชาเป็นอดีตเหตุ การเกิดมาเป็นปัจจุบันผล ตัณหาเป็นปัจจุบันเหตุ การเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบเป็นอนาคตผล ฉะนั้น..ถ้าเราไม่สร้างเหตุ ผลก็ไม่มี สร้างเมื่อไรก็มีเมื่อนั้น ถาม : ในชีวิตประจำวันตอนที่เราไม่มีสมาธิ เราโดนกิเลสกินอยู่ตลอดเลยใช่ไหมคะ ? ตอบ : ถึงมีสมาธิ มีโอกาสโดนกิเลสละเอียดกินอยู่ตลอดเวลา แต่บางช่วงอย่างเช่นว่าสลบ หมดสติ แล้วไม่ได้ทำอะไร หรือว่าหลับไป ตอนช่วงนั้นก็แค่อยู่ในสภาพจิตของเราที่มืดบอด ไม่ได้ทำดีทำชั่ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2014 เมื่อ 03:16 |
สมาชิก 133 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#67
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : “ในขณะแห่งญาณที่รู้แจ้งซึ่งอวิชชา” รู้อย่างไรครับ ?
ตอบ : เป็นช่วงเวลาที่เห็นว่าสาเหตุนั้นเกิดจากอะไร ก่อนที่จะรู้เห็นอย่างนั้นได้ สติ สมาธิ ปัญญาต้องได้รับการสั่งสมมามากพอ ขณะเดียวกัน สภาพของความแหลมคมของปัญญาก็ต้องสามารถแทงทะลุไปถึงสิ่งที่ถูกปิดบังอยู่ตามลำดับ อย่างเช่นว่าส่วนของกิเลสหยาบที่แสดงออกภายนอก กิเลสปานกลางที่คุกรุ่นภายใน กำลังรอการระเบิดออกมา หรือกิเลสละเอียดที่เป็นสิ่งที่นอนเนื่องอยู่ในสันดานของเรา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2014 เมื่อ 03:08 |
สมาชิก 128 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#68
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : จะมีอาการแบบไหนครับ ที่เป็นญาณทัสนะ ?
ตอบ : ประกอบไปด้วย ๑. รู้เห็น ๒. ใช้ความพยายามในการละ ๓. ตัดละได้ ๔. รู้ชัดว่าตนเองละได้ ๕. ทบทวนอยู่เสมอ ก็คือไม่ประมาท ในตอนสุดท้าย จะทบทวนขึ้นหน้าถอยหลัง ถอยหลังขึ้นหน้า เพื่อความมั่นใจว่าตนเองสามารถละได้แน่นอนแล้ว ถ้ารู้เห็นเฉย ๆ เรียกว่าญาณทัสสนะ ถ้าตัดละได้ เรียกว่าวิมุตติญาณทัสนะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2014 เมื่อ 03:17 |
สมาชิก 131 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#69
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : อนุปาทิเสสนิพพานยังเกิดขึ้นในปัจจุบันได้ไหม ?
ตอบ : เขาบอกว่า ถ้าตราบในที่ไตรสิกขายังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ ตราบนั้นเกิดได้อยู่ตลอด วิสัยของแต่ละคนสั่งสมมาไม่เหมือนกัน ถ้าวิสัยของท่านสั่งสมมาอย่างนั้นก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ถาม : จะมีความแตกต่างอย่างไรระหว่างสอุปาทิเสสนิพพานและอนุปาทิเสสนิพพาน ? ตอบ : ท่านอธิบายไว้ว่า สอุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสแล้วยังมีขันธ์ ๕ อยู่ อนุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสพร้อมกับดับขันธ์ไปด้วย พูดง่าย ๆ คืออย่างหนึ่งเข้าถึงมรรคผลพร้อมกับตาย กับอีกอย่างหนึ่งเข้าถึงมรรคผลแล้วยังอยู่ได้ ถาม : แต่ในพระพุทธวจนะท่านแสดงว่า “ปรากฏแม้ในปัจจุบันอยู่” ตอบ : ในเรื่องของพวกนี้ เรามากล่าวถึงไม่มีประโยชน์ เหตุที่ไม่มีประโยชน์เพราะว่าเราเข้าไม่ถึงจริง ได้แต่คิดว่า คาดว่า ตอบไปก็ไม่รู้ว่าตอบถูกหรือเปล่า คนถามก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถามไปแล้วจะได้ประโยชน์อะไร
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2014 เมื่อ 03:11 |
สมาชิก 126 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#70
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ในขณะแห่งมรรคแต่ละมรรค ตั้งแต่โสดาปัตติมรรคจนถึงอรหัตตมรรคมีความแตกต่างอย่างไรบ้างเป็นนิมิต เป็นอารมณ์ ?
ตอบ : ถ้าเป็นโสดาปัตติมรรคจะมีความรักในพระนิพพานเป็นอย่างยิ่ง ประเภทตีก็ไม่ไปไล่ก็ไม่หนี ถ้ามาถึงสกทาคามีมรรค เหมือนอย่างกับว่าความรักความโกรธหายไปเฉย ๆ ความจริงยังมีอยู่ แต่เนื่องจากอำนาจของการก้าวเข้าถึงสูงกว่าอารมณ์โสดาบันทั่วไปมาก ก็เลยกลายเป็นว่าในส่วนของ ราคะ โทสะ เบาบางลงเหมือนกับไม่เหลือ ในส่วนของอนาคามิมรรคจะรู้สึกรังเกียจร่างกายนี้เป็นที่สุด ไม่ว่าจะตัวเราตัวเขา ประเภทเดินผ่านคนอื่นบางทีอ้วกแตกใส่เขา จะโดนเขาชกหน้าเอา ถ้าในส่วนของอรหัตตมรรคจะอยู่ในลักษณะที่ว่า "ไม่เห็นเลยว่าจะมีอะไรที่ควรค่าแก่การยึดถือไว้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2014 เมื่อ 03:12 |
สมาชิก 134 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#71
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : อย่างไหนถึงเรียกว่ารูปในนาม ?
ตอบ : ถ้าส่วนไหนก็ตาม ที่เราไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยประสาทร่างกายของเรา ก็จัดอยู่ในส่วนของนามทั้งหมด ส่วนประเภทที่ว่ามือเราจับต้องแล้วสามารถสัมผัสได้ หรือว่าสายตามองเห็นเรียกว่ารูป คราวนี้ส่วนไหนก็ตามถ้าเกินจากตรงนี้ไปก็จัดอยู่ในนาม แต่ถ้าสายรูปนามที่เขาเรียนมาละเอียดจริง ๆ เขาก็มีรูปในนามอีกต่างหาก ก็คือเสียงที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่ได้ยิน กลิ่นที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่ได้กลิ่น เป็นต้น ถาม : ประสาทร่างกายก็เป็นส่วนที่สัมผัสไม่ได้ ? ตอบ : ประสาทร่างกายทั่ว ๆ ไปสัมผัสไม่ได้เขาจัดเป็นส่วนของนาม แต่อย่างของเสียง เราสัมผัสได้ แต่ว่ามองไม่เห็น เขาเลยเรียกว่ารูปในนาม ถ้าไปศึกษาสายนี้จะสนุกสนานไปอีกนาน สายนี้ที่สำคัญจริง ๆ ก็คือวัดปราสาททองที่สุพรรณบุรี มีคนปฏิบัติตามสายนี้มากเหมือนกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2014 เมื่อ 03:14 |
สมาชิก 129 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#72
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : คนที่ได้สมาธิแล้วเกิดญาณทัสนะ เห็นสภาพร่างกายมีความแปรเปลี่ยนไป จัดว่าเป็นวิปัสสนาญาณไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเห็นจริงแล้วสภาพจิตยอมรับ ว่าสภาพร่างกายมีธรรมดาเป็นอย่างนั้น ก็จัดเป็นวิปัสสนาญาณ ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นก็เป็นแค่ญาณ คือเครื่องรู้เฉย ๆ ถาม : (ไม่ชัด) ตอบ : ให้เห็นให้ได้ก่อน ส่วนปัญญาเพียงพอที่จะปล่อยวางหรือไม่ค่อยว่ากันอีกที
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2014 เมื่อ 03:15 |
สมาชิก 133 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#73
|
||||
|
||||
![]() ![]() ![]() ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 124 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|