กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #101  
เก่า 07-12-2013, 19:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,637
ได้ให้อนุโมทนา: 158,515
ได้รับอนุโมทนา 4,488,467 ครั้ง ใน 36,246 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาพระเจริญสมาธิ เวลาท่านเห็นร่างกายคนอื่นเป็นอสุภะ ท่านเห็นตลอดเวลาหรือเฉพาะเวลาท่านเจริญกรรมฐานครับ ?
ตอบ : ก็ต้องไปถามท่านเอง ว่าท่านทรงอยู่ตลอดเวลาหรือเปล่า ? เพราะในลักษณะนั้นเป็นการทรงฌานในอสุภกรรมฐาน ถ้าคลายสมาธิลงก็จะไม่เห็น ถ้าทรงสมาธิอยู่ก็จะเห็น ต้องถามท่านว่าทรงอยู่ตลอดหรือเปล่า ถ้าทรงเป็นระยะก็เห็นเป็นระยะ ถ้าทรงเฉพาะตอนปฏิบัติก็เห็นแค่ตอนนั้น

ถาม : เวลาเห็นอสุภะต้องพิจารณาเพศตรงข้ามหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าว่ากันตามตำราจริง ๆ ท่านบอกว่า ให้พิจารณาร่างกายของเพศเดียวกัน เพื่อป้องกันกามราคะกำเริบ เพราะถ้าไปคิดถึงเพศตรงข้าม เผลอเมื่อไรเดี๋ยวจิตจะปรุงแต่งไปเรื่องของ รัก โลภ โกรธ หลง แต่สมัยนี้ที่ชอบเพศเดียวกันก็มี เพราะฉะนั้น..ให้ไปพิจารณาเพศที่เราไม่ชอบก็แล้วกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2014 เมื่อ 03:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #102  
เก่า 07-12-2013, 19:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,637
ได้ให้อนุโมทนา: 158,515
ได้รับอนุโมทนา 4,488,467 ครั้ง ใน 36,246 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : แล้วเราจะทราบได้อย่างไรครับว่า ตอนไหนควรพิจารณาเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เพราะเราต้องรู้ว่าคันนี้เป็นรถวอลโว่ คันนี้เป็นรถเบนซ์ นี่เป็นหญิงชื่อคนนั้นคนนี้ ?
ตอบ : แสดงว่าเรายังคุมกำลังใจไม่ได้ ถ้าตราบใดที่การรับรู้เริ่มขยายมากขึ้น จิตจะปรุงแต่งมากขึ้น กิเลสก็จะกินเราได้ง่ายขึ้น เพราะฉะนั้น..ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ในตอนฝึกใหม่ ๆ จะเหมือนกับคนไม่เอาใคร เพราะจะเอาแต่รักษากำลังใจตัวเอง จะเข้าสังคมกับเขายาก จนกว่าจะเกิดความคล่องตัว สามารถตั้งกำลังใจเมื่อไรก็ได้ ถ้าอย่างนั้นจึงจะกลับไปเป็นคนปกติอีกทีหนึ่ง

ถาม : เราจะรู้ว่าเป็นธาตุ เราต้องรู้ว่าเป็นหญิงชายก่อนไหมครับ ?
ตอบ : เขาเห็นจนกระทั่งจิตยอมรับจริง ๆ ว่าไม่มีอะไร ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เกิดจากธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบกันขึ้นมา ในเมื่อเห็นในลักษณะนั้นก็เลยสักแต่เห็นว่าเป็นรูป เห็นว่าเป็นธาตุ การปรุงแต่งของใจจะไม่มี แต่ก่อนที่จะถึงระดับนั้น เผลอเมื่อไรก็ปรุง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-12-2013 เมื่อ 03:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #103  
เก่า 07-12-2013, 20:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,637
ได้ให้อนุโมทนา: 158,515
ได้รับอนุโมทนา 4,488,467 ครั้ง ใน 36,246 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : สุภสัญญา ของที่ไม่สวยงามกลายเป็นของสวยงาม ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วในความหมายของเขา สุภสัญญาจัดเป็นวิปลาสอย่างหนึ่ง คำว่าวิปลาสก็คือความเห็นผิด สภาพทั่ว ๆ ไปของร่างกายของบุคคลชายหญิง ประกอบไปด้วยธาตุ ๔ มีเลือด มีน้ำเหลือง น้ำหนอง มีความสกปรกเป็นปกติ แต่ปัญญาเราไม่พอ เลยไปเห็นว่าสวยงาม

ในเมื่อเราไปเห็นว่าสวยงามขึ้นมา ก็เลยทำให้เราไปยึดไปเกาะ ในเมื่อเกิดความยึดเกาะในร่างกายของตนเอง เกิดความยึดเกาะในร่างกายของคนอื่น ก็ไม่สามารถจะพ้นไปได้ เขาเรียกว่าวิปลาสในอสุภสัญญา ว่าเป็นสุภสัญญา คือเห็นของไม่สวยงามเป็นของที่สวยงาม ต้องแก้ไขโดยการให้เห็นตามความเป็นจริง ก็คือให้ไปเจริญอสุภกรรมฐาน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-12-2013 เมื่อ 03:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #104  
เก่า 07-12-2013, 20:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,637
ได้ให้อนุโมทนา: 158,515
ได้รับอนุโมทนา 4,488,467 ครั้ง ใน 36,246 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในกรณีที่ว่าพระไปบิณฑบาตแล้วได้ของกินที่ดูไม่ได้ ท่านทำใจอย่างไรให้บริโภคอาหารเข้าไปได้ ?
ตอบ : พิจารณาว่าเรากินเพื่อรักษาอัตภาพร่างกายนี้ไว้ปฏิบัติธรรม เพื่อให้ถึงจุดหมายที่ตัวเองต้องการเท่านั้น เพราะว่าอาหารจะอร่อยหรือไม่อร่อย ประณีตหรือไม่ประณีตก็ตาม ถึงเวลากินลงไปแล้วก็ย่อยสลายออกมา กลายเป็นของปฏิกูลน่าเกลียดเหมือน ๆ กันหมด ในเมื่อมองในลักษณะนั้น ท้ายสุดก็ฝืนกินลงไปจนได้

ต้องดูที่พระพุทธเจ้าบิณฑบาตครั้งแรก พระองค์ท่านเห็นอาหารแล้ว เหมือนกับลำไส้จะปลิ้นออกมาทางด้านนอก ก็คือจะอ้วก เพราะว่าอยู่ในวังเคยเจอแต่ของดี ๆ ทั้งนั้น ไปเจออาหารชาวบ้านจึงฉันไม่ได้ ท้ายสุดก็ตัดใจว่า ถ้าเราไม่สามารถที่จะละสิ่งทั้งหลายแค่นี้ได้ เราก็ไม่สามารถจะไขว่คว้าหาโมกขธรรมที่เราต้องการได้ ในเมื่อการเจตนา ตั้งใจหาโมกขธรรมของเรา เพื่อช่วยเหลือคนหมู่มาก ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น เรื่องเล็ก ๆ แค่นี้ทำไมเราจะทำไม่ได้ พระองค์ท่านก็ฉันลงไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2014 เมื่อ 03:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #105  
เก่า 07-12-2013, 20:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,637
ได้ให้อนุโมทนา: 158,515
ได้รับอนุโมทนา 4,488,467 ครั้ง ใน 36,246 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อานาปานสติยกขึ้นสู่อรูปฌานได้ไหมครับ ?
ตอบ : อานาปานสติจริง ๆ เป็นส่วนของอรูปฌานอยู่แล้ว เพราะว่าอรูปฌานไปจากรูปฌานนั่นแหละ เพียงแต่อาศัยกสิณกองใดกองหนึ่ง ที่ไม่ใช่อากาสกสิณ ถึงเวลาแล้วก็เพิกภาพกสิณนั้นเสีย แล้วก็หันไปพิจารณาแทน เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของอานาปานสติต้องมีอยู่เป็นปกติ แต่มีอยู่ในลักษณะเข้าถึงความชำนาญ อยากได้ระดับใดก็เข้าถึงระดับนั้นแล้ว แล้วถึงไปจับเรื่องอรูปฌานได้

ถาม : ที่บอกว่าอานาปานสติมีอรูปฌานอยู่แล้วในตัว ?
ตอบ : อรูปฌานเป็นอานาปานสติอยู่ในตัวอยู่แล้ว

ถาม : ลมหายใจนี่เป็นรูป ?
ตอบ : เป็น..สามารถสัมผัสได้ สามารถกำหนดได้ ถึงเวลาเขาก็จะเข้าไปตามระดับของเขาเลย ในเมื่อเข้าตามระดับของเขาเลย จึงไม่ไปตามขั้นตอนของรูปฌานตามปกติ เพราะว่าเราทำรูปฌานตามปกติจนคล่องตัวระดับเข้าออกเมื่อไรก็ได้แล้ว ก็อาศัยกำลังนั้น พอไปเพิกภาพเสีย ก็เข้าไปตามระดับสมาธิที่ตนเองต้องการ พูดง่าย ๆ ว่าแทบไม่ต้องไปสนใจว่าเป็นลมหายใจเลย กระโดดข้ามบันไดไปที่ละขั้นตามที่ตนเองต้องการได้เลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-12-2013 เมื่อ 03:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #106  
เก่า 09-12-2013, 20:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,637
ได้ให้อนุโมทนา: 158,515
ได้รับอนุโมทนา 4,488,467 ครั้ง ใน 36,246 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "พุทธาภิเษก ๒ ครั้งหลัง อาการหนักหน่อย พอนั่งลง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็นั่งทับกองวัตถุมงคลเลย ท่านนั่งเคี้ยวหมาก "บอกพระครูองอาจด้วย อะไรที่ไม่ใช่พระ..เสกยาก อย่าใส่เข้ามามากนัก" อาตมาเลยถามหลวงพี่องอาจว่าหลวงพ่อว่าอย่างนี้ หลวงพี่ท่านก็..แหะ ๆ "ก็มีบ้าง" ก็มีบ้างนี่คงเป็นคันรถแล้ว

ปรากฏว่าไปงานหลวงพ่อสิงห์เหมือนกันเลย ช้างเต็มคันรถ เจอไปเป็นชั่วโมง ลืมโลกไปเลย เพราะเสกของที่ไม่ใช่พระให้มีอานุภาพเหมือนพระ..ยากมาก ถ้าเป็นรูปพระอยู่จะเสกง่ายกว่า"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2013 เมื่อ 02:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #107  
เก่า 09-12-2013, 21:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,637
ได้ให้อนุโมทนา: 158,515
ได้รับอนุโมทนา 4,488,467 ครั้ง ใน 36,246 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปกติออกพรรษาแล้ว อาตมาจะไปไหว้พระแก้วมรกต พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และวัดปฐมเจดีย์ ตอนนี้ยังขาดพระพุทธชินสีห์อยู่ เพราะหาจังหวะไปไม่ได้ คนเยอะ ปกติจะเปิดทุกวันพระ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2013 เมื่อ 02:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #108  
เก่า 09-12-2013, 21:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,637
ได้ให้อนุโมทนา: 158,515
ได้รับอนุโมทนา 4,488,467 ครั้ง ใน 36,246 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าสมมติเป็นลูกยาเธอ เป็นเจ้าฟ้า พอบวชได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า จะใช้ฉัตรสามชั้นหรือฉัตรตามยศตัวเองครับ ?
ตอบ : ปกติแล้วก็แค่ ๓ ชั้น อยู่ที่ว่าจะได้รับพระราชทานพิเศษหรือเปล่า ? ในอดีตมายังไม่มีเจ้าฟ้ามาบวชจนถึงระดับพระสังฆราช มีแต่ระดับพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2013 เมื่อ 03:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #109  
เก่า 09-12-2013, 21:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,637
ได้ให้อนุโมทนา: 158,515
ได้รับอนุโมทนา 4,488,467 ครั้ง ใน 36,246 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่เป็นไร...เดี๋ยวค่อยชวน เดี๋ยวเขาใจอ่อนก็มาเอง สมัยฆราวาสอาตมาใช้เวลา ๗ ปี พาเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเข้าวัด แรก ๆ อาตมาเขียนบทความเกี่ยวกับการสะสมดวงตราไปรษณียากรหรือแสตมป์ เขียนไปเขียนมา ก็มีการแจกแสตมป์ เขาก็ติดต่อมา หลังจากนั้นก็เห็นว่าบ้านใกล้กัน เลยไปมาหาสู่กัน

คราวนี้เวลาไปไหนเขาก็ไปด้วย เพราะเขายังไม่มีเพื่อนผู้ชาย จะไปกินไปเที่ยวไปดูหนังฟังเพลงอะไรก็ไป แต่ถ้าถึงเวลาวัดท่าซุงมีงาน หรือว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมาบ้านสายลม อาตมาจะบอกเขาว่า ช่วงนี้ไม่ไปด้วย เพราะต้องไปวัด เขาเองก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้ขอตามมา ปีหนึ่งก็แล้ว ๒ ปีก็แล้ว ๓ ปีก็แล้ว ๗ ปีผ่านไป เขาถามว่าวัดมีอะไรดี ถึงได้ไปทุกเดือน เลยบอกเขาว่าถ้าอยากรู้ให้มาเอง เขาก็ตามมา ปรากฏว่าเอาเขาไปฝึกมโนมยิทธิแล้วได้เลย ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ต้องเสียเวลาชวน เขามาเอง

ต้องบอกว่าบางทีกว่าวาระเขาจะเปิดให้ก็นาน แรก ๆ ถ้าอยู่ ๆ เราไปนำเสนอ ถ้าเขาไม่สนใจก็ไม่ว่า แต่ถ้าอาจจะมีการปรามาสแล้วจะเกิดโทษกับตัวเอง ก็เลยใช้วิธีนี้แหละ ถึงเวลาไปไหนไปด้วย แต่ถ้าตรงกับบ้านสายลมหรืองานที่วัดก็ทิ้งเขาไปงานที่วัด เลยเป็นการวัดความอดทนว่าใครทนกว่า อาตมาไม่ได้ทนหรอก เพราะทำเป็นปกติอย่างนี้อยู่แล้ว

แต่ฝ่ายที่ต้องทนก็คือเขา เพราะปกติไปไหนไปด้วย พอมีงาน..ก็ไม่ไป ๆ ในที่สุดเขาแปลกใจ เอ่ยปากถามเอง กว่าจะถามผ่านไป ๗ ปีเต็ม ๆ ตั้งแต่อาตมาอายุ ๑๘ ปี จนถึงอายุ ๒๕ ปี แล้วหลังจากนั้น ๒ ปี เขาเข้าวัดเอง พอปีที่ ๓ อาตมาก็บวช สรุปว่า ๘ ปี ถ้าอาตมาบวชเสียก่อนเขาคงไม่ได้เข้าวัด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2013 เมื่อ 03:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #110  
เก่า 09-12-2013, 22:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,637
ได้ให้อนุโมทนา: 158,515
ได้รับอนุโมทนา 4,488,467 ครั้ง ใน 36,246 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

บางคนอาจจะสงสัยว่า อายุแค่ ๑๗ - ๑๘ ปี เขียนบทความลงนิตยสารให้เขาได้ อาตมาเขียนหากินตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ...(หัวเราะ)... เขียนบทความ เขียนเรื่องสั้น เขียนสารคดี สารคดีเขียนยากที่สุดเพราะว่าต้องมีการอ้างอิง มีการค้นคว้าข้อมูลที่ชัดเจน บทความไม่หนักขนาดนั้น

เรื่องสั้นนี่โม้ได้เลย แรก ๆ ก็ได้ค่าเขียนหน้าละ ๕๐ บาท อยากได้เงินเยอะก็เขียนเยอะหน่อย ไป ๆ มา ๆ มีคนติดตามมากขึ้น ๆ เขาเพิ่มให้หน้าละ ๗๕ บาท แต่อาตมาเสียท่าเขาเพราะว่าต้นฉบับเขียนด้วยลายมือ แล้วลายมือตัวเล็ก คนลายมือตัวใหญ่เขาได้เปรียบ รับหน้าละเท่ากัน สมัยนั้นกระดาษเอสามด้วย ไม่ใช่เอสี่ ได้ยินทีหลังว่า บก.ต้องเอาไปพิมพ์ดีดให้อีกที แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เมื่อเขาไม่ได้ว่าอะไร อาจเป็นเพราะดูลายมือแล้วสบายตา ก็ปล่อยเลยตามเลย เขียนไปเรื่อย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2013 เมื่อ 03:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #111  
เก่า 09-12-2013, 22:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,637
ได้ให้อนุโมทนา: 158,515
ได้รับอนุโมทนา 4,488,467 ครั้ง ใน 36,246 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นในเว็บต่าง ๆ เขาเอาวัตถุมงคลของอาตมาไปออกกันเป็นที่ครึกครื้นรื่นเริง ต่างคนต่างก็อ้างว่าเป็นสายตรง ใกล้ชิด บอกเขาไปเลยว่า กระทู้ไหนที่ไม่มีพระขรรค์โสฬส ๘๔ ปีธรรมิกราช มาออกก็ไม่ใกล้ชิดจริงหรอก หรือถ้าจะให้ใกล้ชิดจริง ๆ ต้องเอาไม้ครูมาออก ไม้ครูทำเลียนแบบได้ แต่ลายมือเลียนแบบไม่ได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2013 เมื่อ 03:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #112  
เก่า 10-12-2013, 19:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,637
ได้ให้อนุโมทนา: 158,515
ได้รับอนุโมทนา 4,488,467 ครั้ง ใน 36,246 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "ส่วนใหญ่เวลาเจ้าใหญ่นายโตไปตามหาถึงวัดท่าขนุน ถามหาวัตถุมงคลรุ่นนั้นรุ่นนี้ เรียนท่านไปว่าขนาดคนทำยังไม่มีเลย..!

ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ ๙ ท่านมาหา ส่วนใหญ่แล้วข้าราชการที่ย้ายมาจากที่อื่น พอถึงเวลาย้ายเข้าพื้นที่ตรงไหน ก็ให้ลูกน้องไปเสาะหาว่ามีครูบาอาจารย์อะไรที่ชาวบ้าน
แถวนั้นเขานับถือ แล้วไปกราบ ก็ถือเป็นนโยบายที่ดี โดยเฉพาะนายอำเภอทุกท่านที่ย้ายเข้าทองผาภูมิ ต้องเข้าวัดท่าขนุนก่อน ...(หัวเราะ)...

นายอำเภอบางท่าน อย่างท่านเลิศพรชัย ชัยฤทธิ์ ตัวเล็กนิดเดียว ขยันอย่าบอกใคร วัน ๆ ไม่ได้อยู่เฉยเลย เป็นนายอำเภออยู่ ๒ - ๓ ปี เข้าวัดนับครั้งไม่ถ้วน ส่วนใหญ่กิจกรรมรวมชาวบ้านก็มักจะอาศัยวัดเป็นหลัก ท่านเองก็ไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย เวลาไปร่วมงานส่วนใหญ่ก็ประกาศเชิญท่านเป็นประธานฝ่ายฆราวาสอยู่แล้ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-12-2013 เมื่อ 02:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #113  
เก่า 10-12-2013, 19:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,637
ได้ให้อนุโมทนา: 158,515
ได้รับอนุโมทนา 4,488,467 ครั้ง ใน 36,246 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาไปดูในเว็บไซต์ต่าง ๆ เขาเขียนถึงบรรดาครูบาทางเหนือ ใช้คำว่า "ครูบาเจ้า" ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เพราะคำว่าครูบาเจ้ามีที่มาที่ไปชัดเจน อันดับแรกคือบุคคลที่มีเชื้อสายเจ้า ๗ ตนของทางเหนือบวชเข้ามา ชาวบ้านจะเรียกว่าครูบาเจ้า อย่างเช่น ครูบาเจ้าเกษม เขมโก วัดสุสานไตรลักษณ์ ท่านเป็นเชื้อเจ้าลำปาง

อีกส่วนหนึ่งก็คือ เขาทำพิธียกขึ้น เป็นพระที่ได้รับความเคารพจากชาวบ้านมากเป็นพิเศษ ทำพิธีสวดยกขึ้นในท่ามกลางสงฆ์ให้ยกขึ้นเป็นครูบาเจ้า อย่างเช่น ครูบาเจ้าศรีวิชัย วัดบ้านปาง ถ้าไม่ได้อยู่ใน ๒ ฐานะนี้ เรียกว่าครูบาเจ้าไม่ได้

ปัจจุบันนี้เชื้อสายเจ้า ๗ ตนก็หายากมาก โอกาสแทบไม่มี ครูบาเจ้าที่ได้รับการสวดยกขึ้น ปัจจุบันนี้ได้ยินอยู่ท่านเดียว ก็คือครูบาเจ้ามนตรี ธมฺมเมธี วัดสุโทนมงคลคีรี ที่จังหวัดแพร่ ทางด้าน ๑๒ ปันนาทำพิธีสวดยกขึ้น เพราะว่าท่านไปสร้างคุณประโยชน์ให้กับเขามาก

บางทีหนังสือพิมพ์บางแห่งเขาใช้คำว่าครูบาบ่มแก๊ส เร่งให้โตเร่งให้สุก เพราะปกติส่วนใหญ่สมัยก่อนจะบวชกันมา ๒๐ - ๓๐ พรรษา สร้างคุณประโยชน์ให้กับชาวบ้านมาก เขาถึงได้เรียกว่าครูบา ซึ่งมาจากครูบาอาจารย์นั่นแหละ อย่างสมัยก่อนเรียก บาจารี ก็คืออาจารย์ผู้เป็นแบบอย่าง เป็นทั้งครู เป็นทั้งอาจารย์เขา ก็เลยเรียกสั้น ๆ ว่าครูบา

ปัจจุบันนี้ในเมื่อต่างคนต่างเรียกกันเป็นปกติ ก็เรียกกันไปตามนั้น แต่ถ้าถึงขนาดครูบาเจ้า อาตมาซึ่งรู้ที่มาที่ไป รู้สึกค่อนข้างจะเกินไป คือคนเรียก ๆ ด้วยความเคารพแต่ไม่รู้ที่มา คนรับก็ไม่รู้เหมือนกันว่าได้ทักท้วงบ้างหรือเปล่าว่าไม่ถูกต้อง เลยจะทำให้ไปกันใหญ่ จำเป็นที่จะต้องคอยเตือนสติกันไว้หน่อย ถ้าไม่รู้ธรรมเนียมเก่า ๆ แล้วไปทำผิด ก็จะผิดต่อไปเรื่อย ๆ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-12-2013 เมื่อ 02:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #114  
เก่า 10-12-2013, 20:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,637
ได้ให้อนุโมทนา: 158,515
ได้รับอนุโมทนา 4,488,467 ครั้ง ใน 36,246 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "การสวดยกพระภิกษุสงฆ์ขึ้นไปสู่ตำแหน่งอันเป็นที่เคารพ ถ้าว่าตามแบบพวกเราก็จะมีพิธีมหาสมณุตมาภิเษก คือการยกสมเด็จพระสังฆราชที่เป็นเชื้อพระวงศ์ ขึ้นเป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า เช่น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส มีอยู่แค่ ๓ พระองค์เท่านั้น ที่เป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า เพราะว่าได้รับพิธีมหาสมณุตมาภิเษกยกขึ้นให้เป็น และทั้ง ๓ พระองค์นี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรม พระปรมานุชิตชิโนรส สังกัดมหานิกายอยู่พระองค์เดียว

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ปัจจุบันนี้ยังมีพระราชาฐานานุกรมของท่านอยู่ ยังมีพระปลัดซ้าย ปลัดขวา ปลัดกลาง

ปกติในสมัยปัจจุบันจะมีแค่พระครูปลัด ถ้าเป็นสมเด็จพระสังฆราชจะมีพระมหานายก พระจุลนายก แต่ว่าในสมัยโบราณจะมีพระปลัดซ้าย ปลัดขวาอยู่ จะมีพระทักษิณคณิสร พระอุดรคณารักษ์ เป็นปลัดซ้ายขวา ปลัดกลางเขาเรียกว่า พระสมุหวรคณิสสรสิทธิการ พระราชาคณะปลัดกลาง มีวัดเดียว เป็นพระราชาคณะสถาปนาคอยดูแลพระอัฐิ ฉะนั้น ๓ ตำแหน่งนี้เป็นของวัดโพธิ์อย่างเดียวเลย วัดอื่นมีไม่ได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-12-2013 เมื่อ 02:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #115  
เก่า 10-12-2013, 20:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,637
ได้ให้อนุโมทนา: 158,515
ได้รับอนุโมทนา 4,488,467 ครั้ง ใน 36,246 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "เชือก ๓ ปม ของวัดท่าซุง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเรียกว่าเชือกสงคราม สมัยก่อนหลวงปู่รอด นครสวรรค์ ท่านถ่ายทอดวิชานี้สืบต่อกันมา แต่เวลาขอดเชือกต้องกลั้นหายใจว่าคาถา การกลั้นหายใจว่าคาถาบังคับให้สมาธินิ่ง พอถึงเวลาหลวงพ่อท่านออกมานั่งรอเวลาฉันเพล มาถึงท่านก็ม้วนดึง ม้วนดึง ม้วนดึง หายใจเฮือก "เฮ้อ..ตอนหนุ่ม ๆ ไม่เห็นเหนื่อยอย่างนี้วะ ตอนแก่แล้วกลั้นหายใจนาน ๆ ไม่ไหว"

ความจริงหลวงพ่อทำตามตำรา ตรงไปตรงมา ถ้าเป็นอาตมาเองแหกคอกกระจายไปแล้ว ในเมื่อต้องการสมาธิ ก็เข้าสมาธิให้สูงไปเลย หมดเรื่องหมดราว แต่ก็ว่าไม่ได้..วิชาของโบราณนี่แปลก อาตมาเคยแหกคอกมาหลายครั้งแล้วแต่ไม่สำเร็จ ถึงจะรู้ว่าเข้าสมาธิระดับนั้น แต่ถ้าไม่ทำตามเคล็ดของเขาก็ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ประเภทแหกคอกกระจายอย่างอาตมาไม่ค่อยจะสำเร็จหรอก

หลวงพ่อท่านเรียนวิชาขอดเชือกนี้มาตั้งแต่ก่อนจะบวช แสดงว่าได้รับการถ่ายทอดมานานมาก สมัยที่ท่านเป็นทหารอยู่แล้วต้องไปรบในสงครามมหาเอเชียบูรพา ท่านทำเชือกให้ทหารในหมวดของท่าน ถึงเวลาขอดเสร็จก็วางให้ยิงเลย ยิงออกแต่ไม่ถูกสักนัด จ่อยิงเลยก็ไม่ถูกอีก เขาถึงได้ต้องการ ท่านเลยต้องไปขอดให้
ลูกน้องทั้งหมวด อย่างไม่มี ๆ ก็หมวดละ ๓๐ กว่าคน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-12-2013 เมื่อ 02:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #116  
เก่า 11-12-2013, 12:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,637
ได้ให้อนุโมทนา: 158,515
ได้รับอนุโมทนา 4,488,467 ครั้ง ใน 36,246 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงพ่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรมหาเถระ) พระอุปัชฌาย์ของหลวงปู่มหาอำพัน ท่านไปสร้างวัดไว้ ๓ วัด คือวัดจุฬามณี วัดตรีรัตนาราม วัดสนามรัตนาวาส หลวงปู่มหาอำพันท่านเห็นว่าวัดสนามรัตนาวาสทรุดโทรมมาก ท่านจึงไปบูรณะให้

ปัจจุบันหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ท่านก็สร้างวัดพุทธานุภาพ วัดธรรมานุภาพ วัดสังฆานุภาพ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-12-2013 เมื่อ 17:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #117  
เก่า 11-12-2013, 12:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,637
ได้ให้อนุโมทนา: 158,515
ได้รับอนุโมทนา 4,488,467 ครั้ง ใน 36,246 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เตียงนอนที่คนอื่นเขานอนสบายกัน แต่ผมนอนทีไรปวดหลังทุกที เป็นเพราะว่าเป็นกรรมอะไร ?
ตอบ : พวกกรรมกรเก่าเหมือนอาตมา อาตมาก็นอนเตียงไม่ได้ นอนเตียงทีไรปวดหลังแทบตาย ขนาดไปยุโรป ค่าห้องคืนหนึ่ง ๗๐๐ ยูโร ประมาณ ๒๘,๐๐๐ บาท อาตมายังต้องไปนอนกับพื้นเลย..!

ถาม : เป็นนิสัยเก่าที่ติดมาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่รู้..อาตมาคงทำทาสทานมา ให้ของไม่ดีคนอื่นไว้เยอะ ถึงเวลาใช้ของดีไม่ได้ ต่อไปถึงเวลาจะทำอะไร ต้องให้แต่ของดี ๆ

หลวงปู่มหาอำพันเวลาจะทำบุญท่านประณีตมาก คัดแล้วคัดอีก รองเท้าต้องซื้อที่ร้านนี้ ร่มต้องซื้อร้านนี้ ผ้าไตรจีวรต้องซื้อร้านนี้ ย่ามต้องซื้อร้านนี้ คนที่เหนื่อยที่สุดคือพี่พรทิพย์กับพี่รุ่งเรือง ท่านจะเน้นเลยว่าร้านนี้ของอย่างนี้คุณภาพดี ต้องร้านนี้เท่านั้น บางร้านอยู่ยงคงกระพันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ ๖ ท่านก็ยังตามเป็นลูกค้าอยู่เพราะเขาขายของมีคุณภาพ เขารักษาชื่อเสียง ยังดีที่หลวงปู่มหาอำพันไปพระนิพพานแล้ว ไม่อย่างนั้นเกิดใหม่คงมีของประณีตทุกชิ้น พวกเราทำทาสทานไว้เยอะ จงยอมทนต่อไปเถอะ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-12-2013 เมื่อ 17:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #118  
เก่า 11-12-2013, 12:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,637
ได้ให้อนุโมทนา: 158,515
ได้รับอนุโมทนา 4,488,467 ครั้ง ใน 36,246 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าทำกรรมฐานแต่ไม่พิจารณา กิเลสจะดึงกำลังไปนาน ประเภทเอาไม่หยุดฉุดไม่อยู่ ถ้าจะแงะกิเลสตัวนั้นออกได้ต้องเข้าถึงสมาธิระดับเดิมใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องถึงระดับเดิมก็ได้ แต่ให้ถึงปฐมฌานขึ้นไปจะกดกิเลสได้ชั่วคราว

เวลากิเลสพาเราเตลิดไปแล้ว จะเอาคืนยากมาก หลายวันเชียวกว่าจะได้คืน ฉะนั้น..อย่าเผลอปล่อยให้เป็นทีของเขา ต้องพยายามให้เป็นทีของเราไว้เสมอ ถ้าไม่สามารถรักษาอารมณ์ให้หลับกับตื่นรู้ตัวเท่ากันได้ ก็ต้องรีบตื่นขึ้นมาหาความดีใส่ใจให้เร็วที่สุด เพราะว่าความดีความชั่วเข้ามาในใจของเราได้อย่างเดียว ไม่สามารถจะชั่วกับดีปนกันได้ ถ้าให้ความชั่วเข้ามาก่อน เราก็ฟุ้งซ่านเดือดร้อนทั้งวัน ถ้าให้ความดีเข้ามาก่อน ความชั่วเข้าไม่ได้ เราก็มีความสุข เย็นกายเย็นใจไปทั้งวัน แต่ถ้ากำลังไม่พอ อาจจะได้ชั่วโมงเดียว ก็ต้องเริ่มต้นกันใหม่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-12-2013 เมื่อ 17:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #119  
เก่า 11-12-2013, 12:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,637
ได้ให้อนุโมทนา: 158,515
ได้รับอนุโมทนา 4,488,467 ครั้ง ใน 36,246 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น อาตมาจะถือเรื่องเรียนเป็นใหญ่ พอดีว่าเพื่อนร่วมกลุ่มทำโครงร่างวิทยานิพนธ์เสร็จช้า ทางมหาวิทยาลัยไม่มีวันให้สอบ แล้วอยู่ ๆ ก็แจ้งด่วนมาถามว่า จะสอบร่วมกับทางรัฐประศาสนศาสตร์ไหม ? ก็เรียนท่านไปว่า ถ้าสอบได้ก็เอา ปรากฏว่าวันสอบของรัฐประศาสนศาสตร์ตรงกับวันตักบาตรเทโว ไปถึงแล้วอาจารย์เพิ่งนึกได้ ท่านบอกว่า "ผมลืมไปจริง ๆ ครับว่ามีวันตักบาตรเทโว ห่างวัดไปหน่อย" อาตมาบอกว่า "ไม่เป็นไรครับอาจารย์ อย่างเก่งผมขาดรายได้ไป ๑๕๐,๐๐๐ บาทเท่านั้นเอง" คนทั้งอำเภอเตรียมมาตักบาตร ทาง ททท. เตรียมกล้องมาถ่ายสารคดี แต่เจ้าอาวาสไม่อยู่ เสียท่าเลย จะเห็นว่างานสำคัญระดับ ททท. จะยกเป็นแหล่งเที่ยวของจังหวัดก็ยังต้องทิ้ง เอาเรื่องเรียนไว้ก่อน

จากที่ไม่มีวันสอบ คาดว่าต้องหลุดถึงปีหน้าแน่ ๆ กลายเป็นสอบก่อนเพื่อนเลย เพื่อนฝูงเขาโวยวายว่าแซงทางโค้งเขาไปเมื่อไร อาตมาก็รู้สึกดีใจที่ได้สอบก่อนเพื่อน ตอนแรกก็คิดว่าผลสอบออกมา ๒ อย่าง อย่างแรกคือโดนอาจารย์สับเละเป็นโจ๊ก อย่างที่สองก็คือ อาจจะไปสร้างมาตรฐานใหม่จนเพื่อนเดือดร้อน แต่ก็ดีใจที่ได้สอบก่อน เพราะว่าท่านที่หัวข้อวิทยานิพนธ์ใกล้เคียงกัน อาจจะโดนอาจารย์เปลี่ยนหัวข้อ พวกสอบก่อนจึงได้เปรียบ

พอเข้าไปสอบเข้าจริง ๆ ปรากฏว่า ตัวประธานคณะกรรมการสอบ คือท่านเจ้าคุณพระเมธาวินัยรส ของมหามกุฏราชวิทยาลัย การสอบของพวกเราอาจารย์ที่ปรึกษาไม่มีสิทธิ์เลย เขาเอาอาจารย์ข้างนอกมาลุยเรา

อยากให้การสอบทุกครั้งเป็นแบบนี้ ท่านอาจารย์จะนั่งปรึกษากันว่า ลูกศิษย์จะทำวิทยานิพนธ์เรื่องนี้ ท่านมีความเห็นว่าเป็นไปได้ไหม ? มีอะไรต้องเพิ่มเติมหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงอย่างไร ? ท่านอาจารย์ตกลงกันได้แล้ว ค่อยมาบอกเราทีละข้อ ๆ อะลุ้มอล่วยดีมากจนกระทั่งคิดไม่ถึง ไม่นึกว่าจะมีการสอบในลักษณะนี้ เพราะว่าของรัฐประศาสนศาสตร์สอบอาตมาก็ฉวยโอกาสไปนั่งดู เห็นว่าโดนท่านอาจารย์สับเละเป็นโจ๊กไปเลย

อาจจะเป็นไปได้ว่า พอเห็นเขาสับทางด้านโน้นอยู่ อาตมาก็นั่งภาวนา พระอะระหัง สุคะโต ภะคะวา นะ เมตตาจิต ไปเรื่อยเปื่อย พอถึงเวลาตัวเองเข้าไปสอบกลายเป็นหนังคนละม้วน สรุปว่าใช้คาถาให้เป็น ปกติเขานึกถึงหน้าอาจารย์แล้วค่อยภาวนา นี่ไม่ต้องนึก ท่านอยู่ตรงหน้าเลย

ลูกศิษย์มีวัตถุประสงค์ในการวิจัยเป็นอย่างนี้ มีท่านใดเห็นเป็นอื่นบ้างไหมครับ ? มีท่านใดเห็นว่าควรแก้ไขเปลี่ยนแปลงตรงไหน ? ท่านอาจารย์นั่งเถียงกันเป็นสิบ ๆ นาที ตกลงกันได้แล้วว่าจะเอาอย่างนี้นะ ให้นิสิตเปลี่ยนตามนี้ ๆ สรุปว่าท่านอาจารย์เขียนให้ทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ว่าเขียนผ่านมือของพวกเราเอง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-12-2013 เมื่อ 17:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #120  
เก่า 11-12-2013, 12:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,637
ได้ให้อนุโมทนา: 158,515
ได้รับอนุโมทนา 4,488,467 ครั้ง ใน 36,246 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "ในหลวงรัชกาลที่ ๕ คบหาสมาคมกับต่างประเทศมาก พระองค์ท่านเสวยพระสลา (หมาก) พระทนต์ (ฟัน) ก็ดำ คราวนี้พอชาวต่างประเทศมา ก็ต้องไปขัดพระทนต์ให้ขาว ไม่สนุกเลย เพราะว่ายางหมากเวลาจับฟันจะดำ ถ้าอยากรู้ว่าดำอย่างไรต้องดูหนังเรื่องแม่นาค ดำแบบนั้นแหละ แต่หนังเรื่องแม่นาคตั้งใจย้อมจนเกินไป ของจริงไม่ดำสม่ำเสมอแบบนั้น ถ้าเด็ก ๆ ไปดูหนังเรื่องแม่นาค แล้วปากอาจจะจัดขึ้น แต่ละคนด่าไฟแลบเลย..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-12-2013 เมื่อ 17:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:17



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว