กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 14-07-2013, 20:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,639 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐานวันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๖

ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตน กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..เอาความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..เอาความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา ถ้าเผลอสติไปคิดถึงเรื่องอื่น ก็ให้ดึงความรู้สึกกลับมาอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกใหม่ ส่วนคำภาวนานั้น จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ตามที่เรามีความถนัดและเคยชินมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานวันสุดท้ายของต้นเดือนมิถุนายน ก่อนการเจริญกรรมฐานมีญาติโยมฝากคำถามมา จึงทำให้คิดขึ้นมาได้ว่า ในเรื่องของการปฏิบัตินั้น บุคคลเป็นจำนวนมาก เมื่อทำไปจนถึงระดับหนึ่ง สภาพจิตจะเริ่มสงบลง แล้วการรู้เห็นต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้น

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะว่าไปแล้วก็เป็นของแถมของนักปฏิบัติเท่านั้น คือกำลังใจของเราโดยปกติ จะมีความส่งส่ายวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับน้ำที่กระเพื่อมอยู่ ไม่สามารถที่จะสะท้อนเงาอะไรลงไปได้ แต่เมื่อเราปฏิบัติภาวนาจนสมาธิเริ่มทรงตัว ทำให้กำลังใจของเราสงบแน่วนิ่ง มีความใสสะอาดขึ้น ก็เหมือนกับน้ำใสสะอาดที่นิ่ง สงบ สามารถสะท้อนภาพสิ่งรอบข้างลงไปได้อย่างชัดเจน เมื่อมาถึงระดับนี้การรู้เห็นต่าง ๆ หรือนิมิตต่าง ๆ ก็มักจะเกิดขึ้นเป็นปกติ

คราวนี้ในจุดที่ต้องระมัดระวังก็คือ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่วัตถุประสงค์ในการปฏิบัติของเรา วัตถุประสงค์ในการปฏิบัติของเราในเบื้องต้น ก็คือจิตสงบ หลุดพ้นจากความวุ่นวายต่าง ๆ รอบข้าง วัตถุประสงค์ลำดับต่อมาก็คืออาศัยกำลังของความสงบนั้นไปพิจารณาเพื่อตัด รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ ที่กินใจของเราอยู่ ถ้าสามารถตัดขาดได้ เราก็จะหลุดพ้นจากกองทุกข์ไปสู่พระนิพพาน

การรู้เห็นเป็นเพียงของแถม เหมือนที่อาตมาเคยเปรียบเทียบไว้ว่า เราไปซื้อรถ เขาต้องให้ล้อรถมาด้วยอยู่แล้ว ดังนั้น..ท่านจะต้องการล้อรถหรือไม่ต้องการก็ตาม ถ้าท่านไปซื้อรถเมื่อไร ท่านก็จะได้ล้อรถมาเมื่อนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น..การรู้เห็นต่าง ๆ ซึ่งเป็นของแถมที่เกิดขึ้น ถ้าเราจัดการไม่เป็นก็จะมีโทษมากกว่าประโยชน์

ส่วนใหญ่ที่พบมาก็คือ เมื่อเห็นนิมิตต่าง ๆ ก็มักจะไปทึกทักเอาว่าเป็นจริงตามนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ครูบาอาจารย์จำนวนมากต่อมากด้วยกัน จะบอกกล่าวอย่างไรก็ตาม ลูกศิษย์ไม่แน่นักว่าจะฟัง เพราะว่าตนเองรู้เห็นจึงเชื่อตามนั้น โดยที่ไม่ได้คิดว่านิมิตบางอย่างก็เป็นการมาทดสอบกำลังใจ นิมิตบางอย่างก็ตั้งใจหลอกลวงกันตรง ๆ ดูว่าเราจะหลงไปยึด ไปติดหรือไม่

ดังนั้น..ในการปฏิบัติของผู้ใดผู้หนึ่งก็ตาม ถ้าเกิดนิมิตเริ่มรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา ถ้าไม่ใช่นิมิตตามกองกรรมฐาน ก็ให้เรารับรู้ไว้ด้วยความเคารพ แล้วอย่าไปสนใจ ให้ดึงความรู้สึกของเรามาอยู่กับการภาวนาตามเดิม แต่เรื่องของนิมิตต่าง ๆ ก็แปลก ถ้าเราสนใจบางทีก็หายไปเลย แต่ถ้าเราไม่ให้ความสนใจก็ยิ่งปรากฏชัด ปรากฏอยู่นาน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-07-2013 เมื่อ 03:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 83 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 15-07-2013, 20:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,639 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..เราเองจำเป็นจะต้องจัดการให้ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นอาจจะติดอยู่เช่นนั้นเป็นปี ๆ หรือเป็นหลายปี ภาวนาเมื่อไรก็อยากเห็นนิมิตเช่นนั้นอีก ถ้าท่านภาวนาด้วยความอยาก จะไม่มีวันได้เห็นนิมิตเช่นนั้นอีก เพราะสภาพจิตที่ประกอบด้วยความอยาก ก็คือสภาพจิตที่กำลังฟุ้งซ่าน เมื่อสภาพจิตกำลังฟุ้งซ่าน ย่อมไม่นิ่ง ไม่สงบพอ การรู้เห็นต่าง ๆ ย่อมไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้

นักปฏิบัติจำนวนมากต่อมากด้วยกัน ที่เสียหายเพราะว่าภาวนาแล้วอยากเห็นนิมิตอย่างที่เคยเห็น หรือสามารถจัดการกับนิมิตได้ แต่ว่าก็โดนหลอกลวง โดนชักจูง จนกระทั่งหลงไปจากแนวของการปฏิบัติที่ถูกต้อง ดังนั้น..ครูบาอาจารย์บางสายอย่างเช่นสายวัดป่า ท่านถึงให้ละทิ้งนิมิตเสียให้หมด ไม่ต้องไปใส่ใจ กำหนดดู กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกของตนเป็นหลัก

ถ้ากำลังใจทรงตัวจนตั้งมั่น ไม่สามารถที่จะภาวนาต่อได้แล้ว ก็ให้คลายกำลังใจออกมา เพื่อพิจารณาในเรื่องของวิปัสสนาญาณ อย่างเช่น พิจารณาเห็นไตรลักษณ์ คือ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราในร่างกายนี้ หรือว่าพิจารณาในอริยสัจ มองทุกข์ให้เห็น ค้นหาสาเหตุของทุกข์ให้เจอ แล้วไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับสาเหตุของการเกิดทุกข์นั้น ๆ ความทุกข์ก็จะไม่เกิดขึ้นกับเรา เป็นต้น

เมื่อพิจารณาไปจนกำลังใจทรงตัวตั้งมั่นดีแล้ว สภาพจิตก็จะกลับไปสู่การภาวนาโดยอัตโนมัติ เมื่อภาวนาไปจนเต็มที่อีก สภาพจิตก็จะคลายออกมา เราก็มาพิจารณาใหม่ ถ้าท่านทั้งหลายทำอย่างนี้ได้ ก็จะมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติยิ่ง ๆ ขึ้นไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-07-2013 เมื่อ 02:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 18-07-2013, 04:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,639 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเรื่องของนิมิตนั้น ถามว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ ? ก็เป็นสิ่งที่ดี คือทำให้เมื่อเรารู้เห็นแล้วมีความมั่นใจว่าการปฏิบัตินี้มีผล แม้ว่าเพียงขั้นแรก ๆ ที่เกิดนิมิตขึ้นตรงตามที่ครูบาอาจารย์บอก แต่ว่านิมิตไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในการปฏิบัติ ให้รับรู้ไว้ด้วยความเคารพ แล้วไม่ต้องไปใส่ใจ ให้อาศัยลมหายใจเข้าออกและการพิจารณาเป็นหลักในการปฏิบัติของเราเท่านั้น

ถ้าใครสามารถทำตามแนวนี้ได้ โอกาสที่จะโดนชักจูงให้ออกนอกทางก็เป็นไปโดยยาก ความก้าวหน้าในการปฏิบัติก็จะมีอย่างที่ตนเองต้องการ ลำดับต่อไปก็ขอให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๖

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธและเถรี)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-07-2013 เมื่อ 07:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:08



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว