กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #41  
เก่า 24-04-2013, 14:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ระหว่างที่เรายังมีกายหยาบอยู่ เราสามารถปฏิบัติเพื่อกายในให้ดีได้ไหม ?
ตอบ : ไม่ใช่ทำได้ไหม ต้องทำอย่างนั้นแหละ เรายกจิตของเราขึ้นไปได้ขนาดไหน กายในก็เปลี่ยนไปตามนั้น เป็นเรื่องที่ต้องทำเลย ไม่ใช่รอ อย่างรอไปข้างบนแล้วค่อยทำ ถ้าเกิดไม่ได้ขึ้นแล้วเมื่อไรจะได้ทำ ต้องทำในชาติที่เป็นมนุษย์นี่แหละจ้ะ เอาปัจจุบันเป็นใหญ่

วิสุทธิเทพเขาเรียกว่าเทวดาผู้บริสุทธิ์ ก็คือผู้ที่อยู่บนพระนิพพาน ก็มีพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ หรือพระปัจเจกพุทธเจ้าที่เข้านิพพานไปแล้ว แต่ว่าส่วนใหญ่พวกเราตั้งใจนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ก็ถือว่านึกถึงสูงสุดไปเลย เหมาทีเดียวหมด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-04-2013 เมื่อ 15:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 223 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #42  
เก่า 24-04-2013, 20:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเราเคารพศรัทธาสมเด็จองค์ปฐม แปลว่าเราเกิดทันสมัยท่านหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องทันก็ได้จ้ะ ถ้าเกิดมาตั้งแต่สมัยนั้น แล้วเหลือรอดมาถึงสมัยนี้ ก็สมควรตายจริง ๆ เพราะนานจนนับไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าผ่านไป ๓ ล้านกว่าพระองค์ ไม่ใช่ ๓ ล้านกว่ากัป แต่ละพระองค์นี่ ๒๐ - ๓๐ มหากัปทั้งนั้น ในเมื่อเกิดมาได้นานขนาดนั้น อะไรจะฉลาดจนหาทางไปไม่เจอเชียวหรือ ? ฉะนั้น..ถ้าใครบอกว่าเกิดมาตั้งแต่สมัยสมเด็จองค์ปฐม อาตมาเลิกคบเลยนะ คนฉลาดเกินไปแบบนี้ ไม่คบด้วยหรอก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2013 เมื่อ 09:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 233 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #43  
เก่า 24-04-2013, 20:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงพ่อพระธรรมเสนานี อดีตเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ตอนนี้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ท่านเป็นคนตรงไปตรงมา โตมาในสายปกครองด้วยฝีมือจริง ๆ

ปีแรกที่อาตมาไปกราบหลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศฯ หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านก็เรียกขึ้นไปนั่งบนแท่นกับท่าน เพื่อสอบถามว่าไปอยู่ที่ไหน ? เป็นอย่างไร ? สบายดีหรือเปล่า ? หลวงพ่อพระธรรมเสนานีเดินเข้ามาถึงมองเห็นก็ “ไอ้ห่านั่นขึ้นไปกวนท่านได้อย่างไรวะ ?” หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศหันมา “เจ้าคุณ..ผมเรียกท่านขึ้นมาเอง” หลวงพ่อพระธรรมเสนานีเลยตีหน้าไม่ถูก

พอถึงเวลาทำวัตรรวม ท่านก็บอก “เจ้าคุณ..นั่งที่นั่นแหละ อาวุโสมากแล้วไม่ต้องกราบหรอก” พรรคพวกก็เลยหันไปแซว “เป็นอย่างไร พูดผิดจังหวะทีเดียวท่านไม่ให้กราบเลย” พรรคพวกเล่นพูดแบบนี้ ทำเอาท่านตีหน้าประหลาด ๆ

เห็นหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ท่านปฏิบัติต่อพระผู้ใหญ่ที่อายุกาลพรรษามากแล้ว เห็นความนุ่มนวลและถ่อมตนของท่านจริง ๆ หลายท่านที่อายุมากแต่พรรษาก็ไม่เท่าท่าน แต่ท่านยกให้ในฐานะพระผู้เฒ่า “อย่ากราบเลย ขึ้นมานั่งข้างบนเถอะ” พูดง่าย ๆ คือท่านยกให้ว่า วัยวุฒิ คุณวุฒิ คุณธรรมของท่านมากแล้ว ไม่ต้องกราบหรอก ให้เด็ก ๆ กราบก็พอ

หลวงพ่อพระพรหมดิลก ปัจจุบันเป็นเจ้าคณะกรุงเทพมหานครก็เหมือนกัน ตอนท่านเป็นเจ้าคณะภาคใหม่ ๆ พระผู้ใหญ่ในเขตปกครองไปกราบทำวัตร ท่านก็ให้พระผู้ใหญ่ไปกราบรูปหล่อหลวงพ่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์แทน ตัวท่านเองไปนั่งกลาง ๆ รับกราบพระผู้น้อยก็พอ เล่นเอาพระผู้ใหญ่ทำอะไรไม่ถูก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2013 เมื่อ 09:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 226 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #44  
เก่า 24-04-2013, 20:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (ถามเรื่องไสยศาสตร์)
ตอบ : ต้องบอกว่าพอสมาธิเราทรงตัว เขาทำอะไรไม่ได้หรอก เพียงแต่ว่าอย่าเผลอ อย่างน้อย ๆ ต้องมีวัตถุมงคลติดตัวแล้วอาราธนาไว้ทุกวัน สมาธิเรายิ่งทรงตัวมากเท่าไร เขาก็ยิ่งหมดสิทธิ์มากเท่านั้น แต่ช่วงอกุศลกรรมที่เปิดนั้นมีอยู่ ถ้าเผลอก็พลาดได้ ก็คือถ้าเขาไม่จ้องเฉ่งเรา ก็คงไม่โผล่มานานขนาดนั้นหรอก แต่ทำเท่าไรก็ทำไม่ได้ ก็เลยเบื่อไปเอง เห็นไหม..การเป็นคนดีนี่แหละที่ทำให้เขาระลึกถึงเราได้นาน ๆ..!

สำคัญที่สุดก็คือตัวเราคุ้มครองตัวเราเอง ถ้าสมาธิเราไม่ทรงตัว ก็ต้องอาศัยวัตถุมงคลช่วย ถ้าสมาธิเราทรงตัวก็รักษาตัวเองได้เลย พวกไสยศาสตร์กำลังใจเขาขาดตัวอุเบกขา เพราะจิตมักจะมุ่งร้ายคนอื่น ในเมื่อขาดตัวอุเบกขา สมาธิเขาจะไม่ทรงตัวจริง ๆ แค่ได้เป็นพัก ๆ ได้ชั่วครั้งชั่วคราว เพราะฉะนั้น..ถ้าสมาธิเราทรงตัวได้ เขาทำอะไรเราไม่ได้หรอก เพียงแต่ว่าอย่าเผลอแล้วกัน ส่วนใหญ่พวกเราไปเผลอตอนไหน ? ตอนกำลังกิน ตอนนอนใกล้จะหลับ ตอนเข้าห้องน้ำห้องส้วม

สมัยก่อนเวลาจะไปเล่นงานพวกหนังเหนียว เขาก็อาศัยจังหวะพวกนี้แหละ ตอนกำลังกิน ตอนกำลังเข้าห้องน้ำห้องส้วม เขาถือว่าทวารเปิด ก็คืออ้าปากตั้งใจจะรับข้าวเข้าไป ก็กลายเป็นว่าอะไรมาก็ต้องรับเข้าไปด้วย หรือไม่ก็ตอนนอนเคลิ้ม ๆ ใกล้จะหลับ ถ้าสมาธิไม่ทรงตัวสติจะขาด มักโดนตอนนั้นแหละ เพราะฉะนั้น..ให้ภาวนาไว้เป็นปกติ ถึงเวลาเช้าขึ้นมาก็อาราธนาบารมีพระให้ท่านช่วยสงเคราะห์ นึกถึงภาพพระคลุมตัวเราเอาไว้ อันตรายใด ๆ ก็ทำอะไรไม่ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2013 เมื่อ 09:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 223 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #45  
เก่า 24-04-2013, 20:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "หนุ่ม ๆ สมัยก่อนเข้าวัดบวชเรียน ต้องเรียกว่าเพื่อเตรียมมีครอบครัว เข้าไปศึกษาวิชาการต่าง ๆ พวกประเภทความรู้คาถาอาคม เอาไว้ปกป้องตัวเองและครอบครัว เพื่อจะได้จัดการกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้ผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ แล้วก็ฝึกความอดทนอดกลั้น สร้างวุฒิภาวะ จากที่ทำอะไรตามใจได้ทุกอย่าง พอเข้าไปเป็นพระ โดนตีอยู่ในกรอบศีล ๒๒๗ ข้อ กระดิกไม่ได้เลย บีบคั้นตัวเองมาก ถ้าคุณสามารถอดทนอดกลั้นได้เป็นพรรษา ก็แปลว่าวุฒิภาวะมีมากพอที่จะเป็นหัวหน้าครอบครัวได้

เขาถึงบอกให้บวชเสียก่อนเบียด โบราณเราทำอะไรมีวัตถุประสงค์ทุกอย่าง ส่วนใหญ่พวกเราคิดไม่ค่อยถึงกัน ถึงเวลาไปศึกษาคาถาอาคม ทำน้ำมนต์ให้เมียคลอดลูกง่าย เสกกล้วย เสกดอกบัว

เดี๋ยวนี้บางคนบวชนานแค่ไหน ? บวชสึกไปที่บ้านยังเก็บโต๊ะไม่เสร็จเลย บอกว่าบวช ๓ วัน วันแรกที่บวชก็บวชตอนเย็น พอรุ่งขึ้นกลับไปเลี้ยงเพลฉลองพระที่บ้าน มะรืนสึกกลับไป เขายังเก็บโต๊ะไม่เสร็จเลย บอกมาได้ว่าบวช ๓ วัน..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2013 เมื่อ 09:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 217 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #46  
เก่า 24-04-2013, 21:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานข่าวออกว่าในหลวงเป็นห่วงเรื่องปัญหาภัยแล้ง ถ้าออกจากโรงพยาบาลเมื่อไร จะรีบไปคิดโครงการมาช่วย ได้ยินแล้วอาตมากลืนน้ำลายไม่ลงเลย"

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่ใช่ไม่มี แต่พวกนี้ส่วนใหญ่แล้วรักตัวเองเกินไป ในเมื่อรักตัวเองเกินไป ก็ไม่กล้าจะขยับไปทำอะไร เพราะกลัวกระทบแล้วจะรักษาสถานภาพไว้ไม่ได้ ที่ได้เห็นได้ยินกับหูกับตาตัวเอง คือมีอยู่ครั้งหนึ่ง ในหลวงพระราชทานพระราชดำริ ถามข้าราชการที่เดินตามเป็นพรวนว่า “ช่วยทำวิจัยหน่อยสิ ว่าต้นไม้แต่ละชนิดที่ใบกว้าง ใบแคบ ใบใหญ่ ใบเล็ก คายออกซิเจนและดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างละประมาณกี่เปอร์เซ็นต์”

เขาตอบชื่นใจมาก “ทำไม่ได้หรอกครับ เพราะว่าหลากหลายจนเกินไป” ในหลวงท่านดุนะ แต่ท่านดุแบบผู้ดี ท่านดุว่า
ที่บอกว่าทำไม่ได้ ลองทำแล้วหรือยัง ? ” ถ้าเป็นอาตมาลองได้รับพระราชดำริอย่างนั้น เป็นตายอย่างไรก็ต้องทุ่มสุดชีวิตแล้ว แต่เขาพูดเต็มปากเต็มคำเลยว่าทำไม่ได้หรอกครับ เพราะหลากหลายจนเกินไป แล้วจะให้ในหลวงท่านตั้งความหวังไว้กับใคร นอกจากพระองค์ทำเอง

จะเห็นว่า ถ้าคนไทยแต่ละคนคิดว่าเราจะทำประโยชน์ได้มากที่สุดแก่ส่วนรวม....จบเลย

วันก่อนคุยกับหลวงพี่วิรัชที่วัดเขาแร่ เกี่ยวกับปรัชญาการดำเนินชีวิต อาตมาบอกกับหลวงพี่วิรัชว่า "ผมไม่มีปรัชญาการดำเนินชีวิตกับใครเขาหรอกครับ ผมคิดแค่ว่า มีชีวิตอยู่ก็เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่เขาให้มากที่สุด ตายเมื่อไรก็จบ ไม่เห็นจะต้องไปมีปรัชญาหรู ๆ อะไรเลย"

แบบเดียวกับท่านอาจารย์ ผศ.ดร.สุรพล สุยะพรหม มีคนถามท่านว่า “ยุทธศาสตร์การศึกษาของท่านอาจารย์คืออะไรครับ?” ท่านอาจารย์ ผศ.ดร.สุรพลตอบว่า “ถามถึงยุทธศาสตร์ของผม แน่ใจหรือ?” “แน่ใจครับ” “เรียนให้จบ เรียนให้รู้ แค่นั้นแหละ ที่เหลือเป็นยุทธวิธี ทำอย่างไรให้รู้ได้ก็จบ” เจอท่านอาจารย์ตอบเข้าเต็ม ๆ อาตมาก็ว่าใช่ ๆ เหมือนกำปั้นทุบดิน ไม่ต้องไปวางโครงการอะไรหรูหรามาก เรียนให้จบแล้วมีความรู้แค่นั้นแหละพอ ที่เหลือก็คือจะทำอย่างไรจะให้จบไปแล้วมีความรู้ก็ใช้ได้แล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2013 เมื่อ 09:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 224 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #47  
เก่า 24-04-2013, 21:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของจริตนิสัย มีอยู่ ๒ จริตก็คือ พุทธิจริตกับโทสจริต ความประพฤติเหมือนกันเกือบทุกอย่าง เพียงแต่พุทธิจริตประกอบไปด้วยความฉลาด ไม่ใช่ใจร้อนใจเร็วเฉย ๆ ในเมื่อตัวเองฉลาด ทำอะไรก็ง่ายไปหมด คนอื่นทำช้า พวกนี้ก็แสดงออกลักษณะว่าใจร้อน รอไม่ได้

แต่ถ้าเป็นโทสจริตมักจะเร็วแล้วพลาด พุทธิจริตเร็วแล้วไม่ค่อยพลาด กวาดบ้านก็เหมือนกัน อย่ากวาดเสียดีกว่า พวกโทสจริตหรือพุทธิจริตลากพรวด ๆ ไปเลย ให้คนมากวาดซ้ำได้อีก ๒ รอบ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2013 เมื่อ 09:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 221 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #48  
เก่า 25-04-2013, 20:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเราถือศีลแปดแต่แต่งหน้า ?
ตอบ : ถ้าจะผิดศีลจริง ๆ เขาหมายเอาว่า แต่งแล้วไปยั่วเพศตรงข้าม ถ้าสังคมเป็นอย่างนั้นก็แต่งให้เขาหน่อย พูดง่าย ๆ ก็คือแต่งหน้าอย่างคนมีสติ ในเมื่อเราไม่ได้มีเจตนาแต่งหน้าไปยั่วเพศตรงข้ามให้เขามารักมาชอบเรา อยู่ในสังคมเขาต้องการอย่างนั้น ก็ทำให้เขาหน่อย แล้วก็ให้รู้ตัวด้วยว่านี่เราไม่สวยจริง ถ้าสวยจริงก็ไม่ต้องแต่ง ถ้าลักษณะอย่างนั้นก็แต่งไปเถอะ

เรื่องของศีล ถ้าเราสามารถปรับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสังคมได้ แล้วจะอยู่อย่างมีความสุขด้วย ให้พยายามปรับหน่อย อย่าให้ศีลเสีย แต่ขณะเดียวกันถึงเวลาก็ต้องไปกับเขาได้ อย่างเช่น ถ้าเราถือศีล ๘ ไม่ได้กินข้าวเย็น เขาชวนเรา เราก็บอกว่าระยะนี้อ้วนมากแล้ว ถ้าจะเลี้ยงเปลี่ยนเป็นน้ำสักแก้วดีกว่า ดีกว่าไปบอกว่าฉันไม่กินกับแกหรอก ฉันถือศีล ๘ คนเขาจะมองเป็นสัตว์ประหลาดไป

การถือศีลต้องถืออย่างคนมีปัญญา ถ้าตรงไปตรงมา โบราณเรียกว่าตรงแบบสากกะเบือ ลักษณะอย่างนั้นจะเอาตัวไม่รอด เป็นโทษแก่คนอื่นด้วย เพราะถึงเวลาเขาก็เอาไปพูดไปนินทากัน กลายเป็นว่า กาย วาจา ใจ ของเราที่เป็นผู้ปฏิบัติธรรมแท้ ๆ ยังเป็นทุกข์เป็นโทษให้แก่คนอื่นได้ ฉะนั้น..ให้พยายามลด แม้ว่าวางก่อนสบายก่อนก็จริง แต่พยายามอย่าไปวางใส่หัวคนอื่นเขา ส่วนใหญ่พวกเราไปวางใส่หัวคนอื่นเขา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-04-2013 เมื่อ 01:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #49  
เก่า 25-04-2013, 20:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ไม่ได้อยากแต่งแต่ก็จำเป็นต้องแต่ง
ตอบ : พูดง่าย ๆ ก็คือ แต่งให้ชาวบ้านเขาพอทนดูเราได้ หรือไม่ก็แต่งแล้วก็ปลงอสุภกรรมฐานไปเลย

อาตมาเองไม่ชินกับคนแต่งหน้ามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะว่าสมัยก่อนเป็นโรคภูมิแพ้ พอได้กลิ่นพวกเครื่องสำอางหรือน้ำหอมแล้วจะจาม บรรดาคนที่ไปด้วยกันก็จะรู้ พอถึงเวลาก็จะไม่แต่งไป ก็เลยไม่ชิน พอเห็นคนแต่งหน้ามา บางทีรู้สึกเหมือนเขาใส่หน้ากากมา ไม่จริงใจหรืออย่างไรบอกไม่ถูก


ถาม : แล้วทาแป้งได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าพระป่วยยังทาแป้งได้เลย สมมติว่าเป็นผื่นคัน

ถาม : ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับเจตนา บอกแล้วให้แต่งอย่างมีสติ เพราะถ้าสวยจริงก็ไม่ต้องแต่ง นี่ไม่สวยจริงเลยต้องแต่ง หรือไม่ก็เอาอย่างหลวงตาวัชรชัยท่านว่า “มึงไม่เคยเห็นเขาแต่งหน้าศพใช่ไหม?”
หลวงตาท่านว่าทีหนึ่งนี่ลูกศิษย์เหี่ยวหมดเลย นึกเสียว่ากำลังแต่งหน้าศพอยู่ก็แล้วกัน เดี๋ยวก็ตายแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-04-2013 เมื่อ 01:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #50  
เก่า 25-04-2013, 20:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ครูบาอาจารย์ที่...(ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง งานใหญ่แค่ไหนก็ไม่ท้อ วิ่งใส่อย่างเดียว

ถาม : ถึงเวลาบริวารจะมา ?
ตอบ : โดยเฉพาะเรื่องบริวารจะมากเป็นพิเศษ ต่อให้ไม่มากเท่าองค์นั้นองค์นี้ แต่ก็มากกว่าแถว ๆ นั้น สมมติเขตนั้นเขาเข้าวัดเป็นหลักร้อย ของท่านก็จะเป็นหลักพันหลักหมื่น บริวารจะมาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #51  
เก่า 25-04-2013, 20:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทำอย่างไรจะทำงานได้และภาวนาได้ด้วย ?
ตอบ : สติ..อย่างที่แนะนำคนเมื่อเช้า พอเราภาวนาจนกำลังใจทรงตัวแล้ว ให้เอาสติประคับประคองเอาไว้ พอประคองไว้แล้วก็แบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งอยู่ตรงนั้น ที่เหลือก็ทำงานไป ซ้อมบ่อย ๆ เดี๋ยวก็คล่องตัวเอง แม้กระทั่งคุยกันอย่างนี้ก็ทรงสมาธิได้

ถาม : สติตามไม่ค่อยทันค่ะ
ตอบ : ซักซ้อมสิจ๊ะ เดี๋ยวก็ทันเอง รู้ปัญหาแปลว่าแก้ได้ ถ้ารู้ปัญหาแล้วแก้ไม่ได้มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกคือไม่ตั้งใจแก้ อย่างที่ ๒ คือฉลาดน้อยเกินไป

ถาม : ภาวนาเวลาขับรถ แล้วว่างโล่งไปเฉย ๆ พอจับความว่างนั้นก็ไม่รับรู้อาการรอบข้าง ?
ตอบ : อย่างนั้นอันตรายนะจ๊ะ ใจต้องจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วเดี๋ยวจะกลายเป็นแยกใจทำอะไรหลาย ๆ อย่างด้วยกัน ความเคยชินพอเห็นปุ๊บ ในอดีตเราเคยจับในลักษณะของอากาสกสิณ หรืออากาสานัญจายตนฌานมา เดี๋ยวว่างโล่งไปไม่รับรู้อะไรเลย ก็ชนกระจายอยู่ตรงนั้นเอง

ถาม : มันหลุด
ตอบ : ไม่ได้หลุด แต่เข้าสู่สภาวะสมาธิที่ลึกแล้วไม่สามารถบังคับร่างกายได้ เพราะว่าในอดีตเราเคยทำอย่างนั้นมา พอเห็นปุ๊บจำได้ อย่างของอาตมา ถ้าเห็นกอไผ่เขียว ๆ แล้วมีแสงแดดลอดออกมาเป็นสาย ๆ เมื่อไร เดี๋ยวกลับไปไหนก็ไม่รู้..หลายชาติเลย เป็นความเคยชิน

ถาม : ก็แบ่งได้
ตอบ : แบ่งได้ แต่แรก ๆ ไม่ได้ ไปหมดเลย พอไปหมดเลย คราวนี้จะไปบังคับรถอย่างไร กำลังขับอยู่ ขนาดร้อยเปอร์เซ็นต์ยังเกิดอุบัติเหตุมาเสียเยอะต่อเยอะแล้ว แล้วอยู่ ๆ เหลือนิดเดียวหรือไม่เหลือเลยจะไหวหรือ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-04-2013 เมื่อ 01:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #52  
เก่า 26-04-2013, 08:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อยากมาทำบุญ แต่เกิดอาการป่วยปัจจุบันทันด่วน ?
ตอบ : เขาเรียกว่าขันธมาร ร่างกายของตนเองคอยขวางไม่ให้ทำความดี

ถาม : ต้องแก้อย่างไรคะ ?
ตอบ : ต้องดื้อไป ถึงตายก็จะไป ถ้าอย่างนั้นบ่อย ๆ พอเขารู้ว่าขวางไม่ได้ก็จะเลิก เจ้าพวกนี้กลัวคนหน้าด้าน ถ้าหน้าด้านตื๊อเข้าไป เมื่อรู้ว่าขวางไม่อยู่เขาก็เลิก ไม่รู้จะขวางทำไม เสียเวลา เขาก็ไปหาทางอื่นแทน

ถาม : ใจเผลอคิดปรามาสครูบาอาจารย์อยู่บ่อย ๆ เป็นโทษไหมคะ ?
ตอบ : นั่นเป็นใจคิด เราก็ขอขมาไปเรื่อย ๆ เจ้าพวกนี้ต้องการจะกวนเราให้ขุ่น ก็คือถ้าใจเราไปพะวักพะวนตรงนั้น การปฏิบัติก็จะไม่ก้าวหน้า เพราะฉะนั้น..เราไม่ต้องไปใส่ใจหรอก คิดว่าถ้าสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เราไม่ทำเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว แต่ในเมื่อโดนชักนำด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรม ถึงได้คิดอย่างนี้ พูดอย่างนี้ ทำอย่างนี้ เราก็ตั้งใจขอขมาพระ ขอบ่อย ๆ พวกนี้พอรู้ว่าทำให้เราสะเทือนไม่ได้ก็เลิก เขาต้องการจะกวนน้ำให้ขุ่น ในเมื่อกวนแล้วไม่ขุ่นก็ไม่รู้ว่าจะกวนไปทำไม ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-04-2013 เมื่อ 14:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #53  
เก่า 26-04-2013, 08:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : มีคนที่เรารู้จัก เขาคิดถึงเรา เราจะรับรู้ได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าความคิดต่อความคิดมาชนกันพอดี ก็จะรู้เห็นกันได้ แต่คราวนี้เรื่องของการรู้เห็น เราจะถือเป็นประมาณไม่ได้ เพราะบางอย่างก็ใช่ บางอย่างก็เป็นการทดสอบกัน อาตมาเคยบอกอยู่บ่อย ๆ ว่า เราเห็นเขาไล่ยิงไล่ฟันกันมา เราก็ลากมีดลากปืนไปช่วย เขาจะกระทืบตาย เพราะเขากำลังถ่ายหนังกันอยู่..!

ถามว่าเราเห็นจริงไหม ? ก็จริง..เห็นเขาไล่ยิงกันมา แล้วเรื่องที่เราเห็นจริงไหม ? ไม่จริง..เพราะเป็นเรื่องในหนังที่เขาแสดงกัน เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของทิพจักขุญาณ ยิ่งชัดเจนมากเท่าไรยิ่งต้องระมัดระวังตัวอย่างสูงมากเท่านั้น เพราะว่าเวลาเขาหลอกเรา เขาจะหลอกได้เนียนมาก เขาจะบอกความจริงถึง ๘๐ - ๙๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วเขาหลอกเราเอาไว้นิดเดียว คราวนี้ถ้าเราทบทวนแล้วเห็นว่าถูกมาตลอด เราก็จะไปเชื่อเลย แต่ความจริงตอนท้ายนิดเดียวนั่นแหละผิด

เคยไปอ่านบันทึกของพระที่เขาไปอยู่ปฏิบัติธรรมด้วยแล้วเกิดวิปลาส ต้องเอาเข้าโรงพยาบาล เขาบันทึกว่า “วันนี้พระท่านมาบอกว่า ระยะของมรรคผลมาถึงแล้ว ให้เร่งการปฏิบัติให้มากเข้าไว้ นักปฏิบัติที่ดีต้องกินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ยิ่งทุ่มเทการปฏิบัติมากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น” มีผิดไหม ? ผิดตอนท้ายนิดเดียวเอง การปฏิบัติต้องพอเหมาะพอดี ไม่ใช่ยิ่งทุ่มเท่าไรก็ดีเท่านั้น พอบอกให้ทุ่มเท่าไรดีเท่านั้น พระรูปนี้ก็เลยไม่กินไม่นอนอยู่ ๒ เดือนเต็ม ๆ

นั่นถ้าไม่ใช่ทรงฌานได้ แค่อดข้าวอดน้ำก็อดตายแล้ว ท่านเอาแต่เดินจงกรมภาวนาทั้งวันทั้งคืน ไม่กินไม่นอนอยู่ ๒ เดือนเต็ม ๆ ถ้าไม่ได้สมาธิระดับนั้นนี่แย่เลย แต่คราวนี้ร่างกายเรามีขีดจำกัด ท้ายสุดก็ไม่ไหว เกิดอาการที่ว่าสติแตก กรรมฐานแตก ต้องหามเข้าโรงพยาบาลไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-04-2013 เมื่อ 14:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #54  
เก่า 26-04-2013, 08:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เพราะฉะนั้น..ของพวกนี้ยิ่งรู้เห็นชัดเจนเท่าไร ยิ่งต้องระมัดระวังที่สุด การทดสอบแต่ละอย่างมาเนียนมาก ๆ จนกระทั่งอาตมาอยากจะบอกว่า ความชั่วกับความดีขี่คอกันมา หน้าตาเหมือนเราเปี๊ยบเลย สำคัญอยู่ก้าวสุดท้ายเท่านั้น ว่าอันหนึ่งพาขึ้น อันหนึ่งพาลง เราจึงต้องมีศีลเป็นกรอบ ถ้าหลุดจากกรอบของศีลหรือกรรมบถ ๑๐ เราไม่ไปด้วย อย่างไรก็ไม่หลงไกลเกิน แต่ถ้าหลุดแล้วยังไปตามก็ไกลไปเรื่อย

ช่วงนั้นเขาก็โดนหลอกให้ไปหาวัตถุชิ้นนั้นชิ้นนี้ มีพลังงานอย่างนั้นอย่างนี้ เอามาพกไว้เต็มไปหมด จนกระทั่งตอนจะเอาเขาเข้าโรงพยาบาลก็ยังเถียงอีกว่าเราไม่รู้จริง ไม่รู้ว่าของเหล่านี้มีพลัง พอดีพระครูปลัดปรีชาอยู่ด้วย เขย่าตัวถามว่า “พระอยู่ที่ไหน ? เอาพระไปไว้ไหนหมด ? ตอนนี้ไปเอาอะไรมาพกเสียเต็มไปหมด ?” ขนาดนั้นก็ยังไม่ได้สตินะ เขาหลอกได้ไกลขนาดนั้น เพราะว่าตัวเองรู้เองก็มั่นใจว่าใช่

อย่าลืมว่าแม้กระทั่งวิทยาศาสตร์เขาก็ยอมรับว่าสสารทุกอย่าง แกนกลางคือพลังงาน เพราะฉะนั้น..คุณจะหยิบจะจับอะไรมามีพลังทั้งนั้น แต่ตอนนั้นเขาจะโดนเน้นว่า ชนิดนี้มีพลังเป็นพิเศษช่วยเรื่องนั้น ชนิดนั้นมีพลังเป็นพิเศษช่วยเรื่องนี้ แล้วก็เที่ยวไปไล่หา เวลาที่จะปฏิบัติก็ไม่มี นั่นขนาดเพื่อนพระจับตัวเขย่าถามเลยนะ ว่าพระอยู่ที่ไหน เอาไปทิ้งไว้ไหนหมด เอาแต่ของพวกนี้มา เขาก็ยังไม่รู้ตัว

ท้ายสุดก็เลยต้องส่งเข้าโรงพยาบาลให้หมอจัดการ แต่ก็อย่างว่าแหละ หมอทำอะไรไม่ได้ ขนาดย้ำกับหมอแล้วว่าระมัดระวังให้ดี เผลอเมื่อไรเขาหนีแน่ หมอก็หัวเราะ “ผมยังไม่เคยเจอคนไข้เก่งกว่าหมอเลยครับ ประตูตั้ง ๔ ชั้นแล้วรั้วสูง ๖ เมตร ดูว่าเขาจะไปอย่างไร” ปรากฏว่าไม่ถึง ๒ ชั่วโมงก็ไปแล้ว

ก็เขาไม่ต้องไปอย่างนั้น อยากเดินออกรูไหนก็ไป เขาอยู่กับวัดขังตัวเองอยู่ในโบสถ์ พี่น้องพังประตูโบสถ์เข้าไป เขาเดินทะลุออกข้างฝาเฉยเลย แล้วใครจะไปทำอะไรเขาได้..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-04-2013 เมื่อ 14:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #55  
เก่า 26-04-2013, 09:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : แล้วทำอย่างไร ?
ตอบ : ต้องอาตมาจับเอง คนอื่นจับไม่ได้ แต่บอกกับพี่น้องเขาแล้ว ว่าจับให้ครั้งเดียวนะ ถ้าหมอไม่สามารถจัดการได้ก็ไม่ต้องมาโทษอาตมา อาตมาไม่ยุ่งกับกรรมของใคร จับให้ครั้งเดียว ครั้งเดียวก็ยุ่งกับเขาเยอะพอแล้ว

พอเขาเดินทะลุโบสถ์ออกไป พี่ชายวิ่งมาทางประตูไล่ตามไป ปรากฏว่าเขาลืมของ พี่ชายเขาบอกว่าเห็นเขาเดินสวนมา เห็นว่าเขาเดินไม่เร็ว แต่วูบผ่านตัวไปตอนไหนก็ไม่รู้ เพราะเสื้อผ้าเขากระพือตามไปเลย เพิ่งจะรู้ว่าเดินเร็วขนาดนั้น จากเดิมที่พี่ชายเขาไม่เชื่อเรื่องอย่างนี้ กลายเป็นเชื่อไปเลย เพราะเห็นอยู่คาตา


ถาม : เขาได้อภิญญาหรือมีวิชาคะ ?
ตอบ : เป็นอภิญญา..ท่านทั้งหลายเหล่านี้กำลังใจเข้มข้นมาก ถ้าปฏิบัติถูกทางจะหลุดพ้นได้เร็ว ก็เลยโดนหลอกให้ผิดทาง จะได้ไม่ต้องพ้นเสียที

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เขาเรียกว่ามาร เรื่องของมารถ้าตาดี ๆ จะเห็นเป็นตัวเป็นตน ตาไม่ดีจะคิดว่าเป็นความรู้สึกในใจของเรา ในชีวิตก็ไม่คิดว่าจะต้องไปรบราฆ่าฟันกับบุคคลประเภทนั้น ขอบอกว่าทีเดียวพอ เรื่องการปะทะกำลังภายในกันแบบนั้นไม่สนุกหรอก มีแต่เสียกับเสียด้วยกัน เพราะถ้าเราเผลอสติเมื่อไรก็จะกลายเป็นโทสะ ก็คือกิเลสเกิดขึ้นมาจริง ๆ ขาดทุนยับเยินเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-04-2013 เมื่อ 14:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #56  
เก่า 26-04-2013, 20:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัจจุบันนี้ฝรั่งเขาชื่นชมประเทศไทยว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งใน ๒ ประเทศในโลกที่สามารถเพิ่มจำนวนเกษตรกรได้ ประเทศอื่นมีแต่เกษตรกรทิ้งไปทำงานภาคอุตสาหกรรมหมด โดยเฉพาะเรื่องการจำนำข้าว จำนำยาง จำนำปาล์มน้ำมัน โครงการพวกนี้พอราคาแน่นอน ทำให้เขากล้าทำ เพราะเห็นว่าจะมีกำไรเท่าไร ในเมื่อคนของเราย้อนกลับสู่ภาคการเกษตร อย่างน้อย ๆ ก็เป็นแหล่งอาหารของโลกเขาได้ แต่ละคนล้วนแล้วแต่คิดว่าทำอะไรก็ได้ขอให้ได้เงินมา แต่ลืมอยู่อย่างหนึ่งว่า ถ้าได้เงินมาแต่ไม่มีอาหารให้ซื้อแล้วจะกินอะไร

ไปนึกถึงที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้ว่า ถ้าใครมีที่อย่าไปขายเสียหมด อย่างน้อย ๆ ปลูกอะไรที่กินได้ทิ้ง ๆ ไว้บ้าง ถึงเวลาคนอื่นเขาลำบาก เราก็ยังมีกิน โดยเฉพาะดูจากการกระทบกระทั่งของเกาหลีเหนือ ที่อยู่ ๆ ก็อาละวาดฟาดหัวฟาดหางขึ้นมาแบบไม่มีเหตุไม่มีผล ต้องบอกว่าผู้นำเขาอยู่ในระดับที่สติสัมปชัญญะน้อย อาจจะก่อสงครามใหญ่ขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ แล้วถ้าก่อสงครามใหญ่ขึ้นมาเมื่อไร ต่างฝ่ายต่างก็มีคนถือหาง มีคนหนุนหลัง เรื่องก็จะจบยาก

ถ้าอยู่ในสภาวะอย่างนั้น คนมัวแต่รบกัน ไม่มีเวลาทำมาหากิน เรื่องข้าวปลาอาหารจะกลายเป็นของสำคัญ ต้องนึกถึงที่ท่านหม่อมเจ้าสิทธิพร บิดาของสหกรณ์ไทย ท่านบอกว่า เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง เพราะถ้าลำบากขึ้นมาจริง ๆ เงินทองกินไม่ได้ ข้าวปลาอาหารยังกินได้ ก็ได้แต่เอาใจช่วยว่าอย่าให้สถานการณ์หนักนัก เพราะบ้านเราอยู่ในเอเชีย ก็ถือว่าใกล้เหตุการณ์ แล้วอีกอย่าง ถ้ามีการใช้นิวเคลียร์กัน ถ้าลมพัดถูกทิศไม่กี่ชั่วโมงรังสีก็มาถึงแล้ว

ไม่เป็นไรหรอก อย่างไรพระท่านก็บอกแล้ว ไม่มีพระกริ่งพิชัยสงครามก็เอาพระนาคปรกรุ่นนี้ (พระนาคปรกลอยองค์ฉลอง ๒,๖๐๐ ปี พุทธชยันตี นาคไทย ๙ เศียร) ไปแทน อยากจะรบก็รบกันไป ถ้าใครมีเนื้อทองคำต้องมีความสามารถคุ้มครองพระได้ด้วย ปกติมีแต่ให้พระคุ้มครองใช่ไหม ? ถ้าเนื้อทองคำโดยเฉพาะหน้าตัก ๒ เซนติเมตรต้องมีความสามารถคุ้มครองพระด้วย

เรื่องของวัตถุมงคลจริง ๆ แล้วแค่องค์เดียวก็พอ แต่คราวนี้อันดับแรกก็คือได้ทำบุญ อันดับต่อไปก็คืออย่างน้อย ๆ ให้รู้ว่ารุ่นนี้เราก็มี เลยบูชากันไปเรื่อย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-05-2013 เมื่อ 17:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #57  
เก่า 26-04-2013, 20:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เป็นผู้รับเหมาพวกวัสดุ เขากำลังประมูล ?
ตอบ : ไปจุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางตรงนั้น บอกเขาว่างานตรงนี้เราขอ แล้วจะถวายสังฆทานให้ อย่างไรก็ขอให้สำเร็จนะจ๊ะ บรรดาเจ้าที่เทวดาเขาอยากได้สังฆทานยิ่งกว่าอะไรอีก บอกเขาเลยว่าช่วยหน่อย งานตรงนี้เราขอ แล้วเดี๋ยวจะถวายสังฆทานให้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-04-2013 เมื่อ 02:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #58  
เก่า 28-04-2013, 19:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การแผ่เมตตา..(ไม่ได้ยิน).. ?
ตอบ : แผ่เมตตากับอุทิศส่วนกุศลเป็นคนละเรื่องกัน แผ่เมตตา คือ เราตั้งความหวังดีปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอให้เขาล่วงพ้นจากกองทุกข์ มีแต่ความสุข ส่วนอุทิศส่วนกุศลก็คือเราทำความดีอะไรมา ก็แบ่งปันให้แก่ผู้อื่นเขา

แผ่เมตตาเหมือนกับเขาหิวมา เราให้ร่มเงาแก่เขา ถึงแม้ว่าจะร่มเย็นก็จริง แต่ท้องเขายังหิวอยู่ ส่วนอุทิศส่วนกุศลเหมือนกับเราแบ่งอาหารให้เขา เขาได้กินอิ่มก็มีความสุข ดังนั้น..ต้องคิดให้ถูก พูดให้ถูก ทำให้ถูก ไม่อย่างนั้นใช้คำพูดแบบนี้ เดี๋ยวผีก็นั่งตาปริบ ๆ ไม่ได้อะไร


ถาม : อุทิศส่วนกุศลอย่างไร ?
ตอบ : ให้เราตั้งใจว่า ผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจวบจนบัดนี้ ขออุทิศให้แก่ใครก็ว่าไปเลย ถ้าตามแบบของหลวงพ่อวัดท่าซุงก็ให้เจ้ากรรมนายเวรก่อน ต่อมาก็ให้เทวดาทั้งหลาย โดยเฉพาะพระยายมราช แล้วก็ให้แก่ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2013 เมื่อ 02:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #59  
เก่า 28-04-2013, 20:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อเดือนก่อนนอนหลับ พอรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็ยังภาวนาอยู่ แต่รู้ตัวว่าตอนนี้ไม่ได้ใช้จมูกหายใจ แต่กำลังหายใจทางท้องอยู่ ก็เลยภาวนาไปเรื่อย ๆ ดูการหายใจทางท้องไปเรื่อย ๆ ประมาณ ๒ ชั่วโมงดันปวดปัสสาวะ จึงต้องลุกไปเข้าห้องน้ำ เลยเปลี่ยนมาใช้จมูกหายใจ

ตอนนั้นก็มานั่งคิด ๆ ว่า เออ...ความจริงการหายใจทางท้องก็สบายดีนะ ไม่ต้องใช้จมูกหายใจ ครูบาอาจารย์สมัยก่อนท่านดำน้ำลงไปจารตะกรุดใต้น้ำ ท่านก็ใช้วิธีอย่างนี้ พอไม่ต้องใช้จมูกหายใจ ก็ไม่ต้องไปเสียเวลาหาออกซิเจนจากที่อื่น นึกไปนึกมา ถ้าอาตมาขืนดำน้ำไปจารตะกรุดแล้วต่างคนต่างอยากได้ อาตมาคงเป็นลมตายใต้น้ำ เพราะฉะนั้น..อย่าไปยุ่งเลยก็ดีแล้ว..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2013 เมื่อ 02:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #60  
เก่า 28-04-2013, 20:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คุณแม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ?
ตอบ : ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอ บอกว่าการรักษาทุกอย่างแล้วแต่หมอจะตัดสินใจ เพราะไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องเซ็นรับรองให้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอย่าไปตัดสินใจแทนหมอ ว่าจะต้องทำอะไรในขั้นตอนไหน เพราะว่าถ้าตัดสินใจผิดมีสิทธิ์เดี้ยง..!

บางคนหายใจอยู่ได้ด้วยเครื่อง จิตออกไปตั้งนานเนกาเลแล้ว บางคนไม่หายใจแล้ว แต่จิตก็ยังอยู่ในร่างกาย คำว่าไม่หายใจจริง ๆ เขายังหายใจอยู่ แต่ด้วยวิธีอื่นที่ไม่ใช่ปอด ดังนั้น..ถ้าเราตัดสินใจผิดมีสิทธิ์ทำอนันตริยกรรมโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่รู้รายละเอียดมากถึงขนาดนั้น ต้องปล่อยให้เป็นงานของหมอเขา บอกหมอว่าเห็นสมควรจะรักษาอย่างไร หรือจะหยุดการรักษาอย่างไรแล้วแต่การวินิจฉัยหมอ เรายอมรับทุกอย่าง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2013 เมื่อ 02:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:10



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว