กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 22-04-2013, 13:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,639 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๖

ทุกคนขยับนั่งในท่าที่สบายของตัวเอง ตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เราเคยมีความถนัดมาแต่เดิม

ถ้าเผลอคิดถึงเรื่องอื่นเมื่อไร เมื่อรู้ตัวก็ให้ดึงความรู้สึกทั้งหมดของเรา กลับเข้ามาที่ลมหายใจใหม่ สำหรับผู้ที่เริ่มปฏิบัติ ยังเป็นผู้ใหม่อยู่ ยังไม่สามารถจะรวมรวมกำลังใจให้ทรงตัวได้ ก็จะต้องเหน็ดเหนื่อย และรำคาญกับการต้องดึงกำลังใจกลับมาที่ลมหายที่เดิมบ่อย ๆ แต่ถ้าเพียรพยายามทำไป เกิดความคล่องตัวขึ้นมาเมื่อไร เรานึกอยากจะเข้าสมาธิขึ้นมาระดับไหนก็ทำได้ ถ้าอย่างนั้นก็จะสบายขึ้นกว่าผู้อื่น

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๖ ระยะนี้ดินฟ้าอากาศบ้านเรา ทั้งร้อนทั้งแล้ง ได้ข่าวมาว่ามีภาวะภัยแล้งปรากฏขึ้น ๒๐ กว่าจังหวัดแล้ว แม้กระทั่งที่ทองผาภูมิ ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา อุณหภูมิไต่ขึ้นไปถึง ๔๐ องศาเซลเซียส หลายท่านก็คงจะเห็นว่า บ้านเรือนของพวกเรานั้น แต่เดิมปลูกในลักษณะโปร่ง ระบายอากาศได้ ถึงเวลาหน้าร้อนก็ไม่ลำบากมากนัก เพราะนอกจากตัวเรือนระบายอากาศได้แล้ว ยังมีใต้ถุน ซึ่งเป็นการกรองความร้อน ๒ ชั้น คือจากหลังคาก็เป็นพื้นไม้ชั้นบน แล้วก็เป็นใต้ถุน ซึ่งจะทำให้ด้านล่างมีความเย็นมากกว่า สิ่งเหล่านี้เป็นภูมิปัญญาโบราณ ที่ปรับปรุงจนเหมาะสมกับสภาวะภูมิประเทศบ้านเรา

แต่คนสมัยใหม่ไปเลียนแบบสร้างบ้านเรือนตามแบบยุโรป ซึ่งเป็นประเทศหนาว ต้องให้บ้านเรือนปิดมิดชิดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อป้องกันอากาศหนาว เมื่อเอาแบบอาคารบ้านเรือนมาสร้างในบ้านเราซึ่งเป็นเมืองร้อน ถ้าไม่มีเครื่องปรับอากาศก็จะอยู่ไม่ได้ แล้วระยะนี้บ้านเราเมืองเรามีภาวะการขาดแคลนไฟฟ้า ตามข่าวที่เขาบอกมาก็คือว่า ทางด้านพม่าปิดโรงงานจ่ายก๊าซทั้ง ๒ แห่ง เพื่อที่จะซ่อมแซมปรับปรุง ทำให้บ้านเราที่ใช้ก๊าซธรรมชาติในการปั่นไฟฟ้า เกิดการขาดแคลนไประยะหนึ่ง

เราจะเห็นได้ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ความจริงแล้วเป็นเรื่องทางโลก แต่ก็เป็นเรื่องทางธรรมนั่นเอง เพราะว่าโลกและธรรมไม่สามารถจะแยกออกจากกันได้ ถ้าเปรียบไปแล้วก็เหมือนกับเหรียญที่มี ๒ หน้า ด้านหนึ่งเป็นโลก ด้านหนึ่งเป็นธรรม

เราจะเห็นว่าภาวะอากาศร้อน สร้างความทุกข์ สร้างความลำบากให้แก่ร่างกายและจิตใจของเรา ถ้าเราสามารถปฏิบัติธรรมจนกำลังใจทรงตัว มีปัญญาเห็นว่า ธรรมชาติของอากาศก็เป็นเช่นนั้น มีร้อนก็มีเย็นได้ มีหนาวก็มีฝนได้ เป็นต้น ถ้าเราเห็นแล้วทำจิตให้ยอมรับ พยายามหาทางผ่อนคลายตามกำลังของตน อย่างเช่น ไปอยู่นอกบ้านบ้าง อยู่ใต้ร่มไม้บ้าง หาพัดลม หาเครื่องปรับอากาศมาผ่อนคลายบ้าง เป็นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-04-2013 เมื่อ 19:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 77 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 23-04-2013, 08:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,639 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หรือในเรื่องของภาวะภัยแล้ง เมื่อปลูกข้าวลงไป ปรากฏว่าต้นข้าวไม่ทันจะออกรวงก็เกิดภัยแล้ง ทำให้ต้นข้าวตายหมด การลงทุนที่ทำไปก็สูญเปล่า มีแต่ขาดทุน แล้วถ้าเป็นข้าวที่ต้องเก็บไว้เป็นอาหารของครอบครัว ก็แปลว่าอาหารใหม่ที่จะเข้ามาเสริมให้เกิดความมั่นคง เกิดความมั่นใจแก่ครอบครัวของเราก็ไม่มี ถ้ากินของเก่าหมดไปแล้ว ยังไม่รู้ว่าจะหาของใหม่จากที่ไหน อาจจะต้องทนหิวโหยอยู่นานกว่าจะหาของใหม่ได้ หรืออาจจะต้องอดอยากจนถึงแก่ความตาย ดังเช่นบางประเทศในแอฟริกาที่เราเห็นอยู่

เราจะเห็นได้ว่าการดำรงชีวิตของเราก็เต็มไปด้วยความทุกข์ยาก ความทุกข์จากการทำมาหากิน ถือเป็นความทุกข์ส่วนหนึ่งเท่านั้น คนเราเกิดมาตั้งแต่ลืมตาขึ้นมา จนหลับตาลงไปในแต่ละวัน ประกอบไปด้วยความทุกข์ทั้งสิ้น ตื่นขึ้นมาก็ต้องบริหารร่างกาย ล้างหน้า แปรงฟัน ทำความสะอาด อาบน้ำอาบท่า หาข้าวหาปลาให้กิน ออกไปทำงาน ต้องรับผิดชอบหน้าที่การงานต่าง ๆ โดนเจ้านายด่าว่าบ้าง โดนลูกน้องกระแทกบ้าง ประสบกับสิ่งที่มากระทบกำลังใจของตน ซึ่งไม่น่ารักน่าชอบใจทั้งสิ้น แล้วถ้ามีครอบครัว สารพันปัญหาก็เกิดขึ้น หรือแม้กระทั่งภาวะความร้อนความแล้งอย่างในบ้านเรา ที่ทำให้ต้องเดือดร้อน ก็ไม่รู้ว่าต้องลำบากถึงขนาดอดตายหรือเปล่า ?

เราจะเห็นได้ว่าความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ เบียดเบียนเราตลอดเวลา ไม่ว่าจะเกิดอีกกี่ชาติ ความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ ก็จะตามเบียดเบียนเราไปตลอด ดังนั้น...ถ้าท่านทั้งหลายเกิดความเบื่อหน่าย หมดความอยากที่จะเกิด ก็ต้องขวนขวายเพื่อความหลุดพ้นจากกองทุกข์ ซึ่งเบื้องต้นก็คือปฏิบัติในศีล เราต้องมีสิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์ตามสภาพ ตามเพศภาวะของตน

อย่างเช่น ฆราวาสก็ศีล ๕ อุบาสกอุบาสิกาก็ศีล ๘ สามเณรศีล ๑๐ พระภิกษุศีล ๒๒๗ เป็นต้น เราต้องระมัดระวังรักษา ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล เมื่อกำลังใจของเราจดจ่อแน่วแน่อยู่ในการระมัดระวังรักษาศีลเป็นปกติ สมาธิของเราก็จะทรงตัวตั้งมั่น เมื่อสมาธิทรงตัวตั้งมั่น เราก็ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นความทุกข์ในร่างกายนี้ ว่าตราบใดที่เรายังเกิดมามีร่างกายนี้ ตราบใดที่เรายังเกิดมาอยู่ในโลกนี้ เราก็ต้องผจญกับความทุกข์ต่าง ๆ ตั้งแต่วันที่เกิดขึ้นจวบจนกระทั่งวันที่ตายลงไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-04-2013 เมื่อ 19:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 60 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 24-04-2013, 20:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,639 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว หนทางเดียวที่เราจะหลุดพ้นได้ก็คือ ละความปรารถนาในร่างกายนี้ ไม่ปรารถนาในการเกิดมามีร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้ ไม่มีความปรารถนาที่จะเกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนเช่นนี้

เมื่อทำกำลังใจมาถึงตรงนี้ได้ ก็เอากำลังใจของเราเกาะพระนิพพานเป็นปกติ ถ้าสามารถยกจิตขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพานได้ ก็ยกจิตของเราขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพาน ถ้าไม่สามารถจะกระทำได้ก็นึกถึงภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เรารักเราชอบมากที่สุด ว่านั่นก็คือภาพพระพุทธนิมิตแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอากำลังใจเกาะภาพพระนั้นไว้ ตั้งใจว่าถ้าตายลงไปเพราะอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ ก็ตาม หรือตายลงไปเพราะหมดอายุขัยก็ตาม เราขอไปอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานแห่งเดียว

แล้วก็คอยดูในเรื่องของลมหายใจเข้าออกและคำภาวนาของเรา ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ตามดูตามรู้ลมหายใจไป ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ ใช้คำภาวนาตามที่เราถนัด ถ้าลมหายใจหายไป คำภาวนาหายไป ก็ให้กำหนดรู้เอาไว้เท่านั้น อย่าอยากให้มา และอย่าอยากให้ไป ถ้าสามารถวางกำลังใจเช่นนี้ได้ กำลังของสมาธิก็จะทรงตัวตั้งมั่น ถ้าตั้งมั่นถึงที่สุดได้ ก็จะมีกำลังเพียงพอในการตัดละรัก โลภ โกรธ หลงต่าง ๆ ที่เป็นตัวผูกมัดยึดโยงไม่ให้เราหลุดพ้นได้

ลำดับต่อไป ขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาหรือพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๖

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกาและเถรี)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2013 เมื่อ 09:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:00



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว