| 
	|||||||
| เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป | 
![]()  | 
	
	
| 
		 | 
	คำสั่งเพิ่มเติม | 
| 
		 
			 
			#161  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : ตอนนั้นอายุเท่าไร ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : ตอนนั้นเพิ่งจะเรียนมัธยม ถาม : แล้วท่านรู้วิธีการได้อย่างไรครับ ? ตอบ : อ่านตำราของหลวงพ่อวัดท่าซุงจนปรุแล้ว อุปกรณ์ที่หาง่ายที่สุดก็คือกสิณไฟนั่นแหละ เริ่มจากนั่นแล้วก็ไปกสิณน้ำ ตักน้ำได้ขันหนึ่งก็เผ่นพรวด หายเข้าไปในไร่ แอบอยู่หลังต้นมะม่วง ต้นโตขนาด ๓ - ๔ คนโอบ นั่งอยู่ข้างหลังไม่มีใครเห็นหรอก เข้าไปฝึกกสิณน้ำ แต่ก็กลัว ๆ อยู่เหมือนกันแหละ เพราะว่าสมัยเด็ก ๆ บรรดาหลวงปู่หลวงพ่อท่านฝึกให้ลูกศิษย์ท่าน แล้วลูกศิษย์คุมนิมิตไม่เป็น เมื่อปฏิภาคนิมิตเกิดเต็มที่ น้ำท่วมมาทุกทิศทุกทางก็ตะกายบกกัน ว่ายน้ำหนี ตัวเองทำเองแท้ ๆ สั่งให้น้ำหายไปก็จบแล้ว คราวนี้พอตัวเองตะกายหนีก็กลายเป็นตะกายบก หน้าอกถลอกหมด ถาม : แสดงว่าของเก่าท่านมีมากเลยสิครับ ? ตอบ : เชื้อชั่วไม่ยอมตายตามมาเยอะ ตั้งแต่อายุ ๔ - ๕ ขวบตอนตกน้ำแล้ว ตอนนั้นไม่รู้ว่าทรงฌาน พอร่วงตูมลงน้ำไป น้ำปิดหูก็เงียบไป ความเย็นของน้ำกับความเงียบ ทำให้รู้สึกทันทีเลยว่า อารมณ์อย่างนี้เราเคยทำได้ จึงนั่งเงียบอยู่ใต้น้ำนั้นแหละ ดูไปก็เห็นว่าความสงบ สุข เยือกเย็นบอกไม่ถูกอย่างนี้ เราเคยทำได้มานานแสนนานแล้ว นั่งพิจารณาเพลินอยู่ใต้น้ำตั้งสิบกว่านาที ไม่รู้ว่าหายใจได้อย่างไร หรือว่าสมาธิลึกจนไม่หายใจก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนที่พี่มุกดาควานเจอนี่เขาจะช็อกตายอยู่แล้ว เพราะลงไปนานขนาดนั้นน่าจะตายไปแล้ว..! 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-01-2013 เมื่อ 17:45  | 
| สมาชิก 217 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#162  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : (ไม่ได้ยิน) 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : ต้องขนาดนั้นนะ ใจนิ่งเปรี๊ยะเลย ไม่ได้คิดถึงความตาย ไม่ได้คิดถึงความกลัว ในเมื่อไม่ได้คิดอะไรกำลังใจต้องทำได้ขนาดทรงฌาน ฉะนั้นสมัยก่อนที่เขาจะออกรบได้ กำลังใจเขาต้องได้ กำลังใจไม่ได้ไปรบก็ตายเปล่า ถาม : แล้วคนที่กำลังใจไม่ได้ แต่ไปออกรบมีเยอะไหมคะ ? ตอบ : เยอะ...ก็ไม่มีอะไร ถึงเวลาตายเขาก็ลากมาสุม ๆ กันแล้วก็เผา ถาม : แล้วอย่างนั้นเขาจะเกาะพระก่อนตายได้ไหมคะ ? ตอบ : ก่อนที่จะไปเขาปลุกพระไม่รู้กี่รอบแล้ว กำลังใจเกาะอยู่แล้วละ ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ต้องมีทุกคน แต่ถ้าเป็นแม่ทัพที่มีความสามารถจริง ๆ ในตำราพิชัยสงครามมีวิชาหนึ่งที่เรียกว่าแต่งคน ก็คือสามารถเสกว่านยาหรือน้ำมันให้ลูกน้องกินหรือทาแล้วเหนียวด้วย ถ้าได้แม่ทัพแบบนั้นก็รอด ถ้าไม่ได้แม่ทัพแบบนั้นก็เอาศพลูกน้องถมเข้าไป ถาม : แล้วสมัยนั้นเขามีพระเครื่องติดตัวกันไม่ใช่หรือครับ ? ตอบ : สมัยก่อนไม่นิยมพระเครื่อง เพราะถือว่าเป็นของสูง เขาจะใช้พวกตะกรุด พิสมร พวกเชือกถัก 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-01-2013 เมื่อ 17:48  | 
| สมาชิก 215 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#163  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : แล้วพิสมรคืออะไรคะ ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : เครื่องรางชนิดหนึ่ง ลักษณะเหมือนกับตะกรุดนี่แหละ แต่เขาพับเป็นเหลี่ยม เขาจะพับเป็นสามเหลี่ยมหรือสี่เหลี่ยมเพื่อเอาผ้าผูกมัดกับแขนหรือกับหัวได้ ถ้าเป็นตะกรุดเขาก็จะม้วนกลม ๆ แล้วร้อยเชือก เอาอย่างผู้การประจักษ์ก็หมดเรื่อง ผู้การเอาเหรียญเอกราชของหลวงปู่ปานเย็บรอบเสื้อกั๊กเลย ไม่รู้ว่ากี่ร้อยเหรียญ ถ้าไม่แม่นจริงยิงไม่รอดเหรียญหรอก ติดเหรียญหมด ผู้การประจักษ์ สว่างจิต นิมนต์หลวงพ่อวัดท่าซุงไปเจิมรถถังของ ม.พล.๒ กองพลทหารม้าที่ ๒ ที่ปราจีนบุรี รถถังของ ม.พล.๒ ติดธงมหาพิชัยสงครามทุกคัน 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-01-2013 เมื่อ 15:26  | 
| สมาชิก 211 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#164  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : ท่านอินทกะมีหน้าที่อะไร ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : หน้าที่ดูแลรักษาโลกเป็นส่วนใหญ่ ถ้ามีสถานที่ที่สำคัญมาก ๆ ท่านก็ไปดูแลตรงนั้น ถึงเวลาที่เหมาะสมขึ้นมา เมื่อท่านท้าวมหาราชท่านจุติ ก็คัดเลือกจากอินทกะขึ้นมาเป็นท้าวมหาราชแทน ถ้าอยากจะเป็น อันดับแรกทรงสมาธิให้ได้ก่อน อย่างน้อย ๆ เอาสักปฐมฌาน แล้วก็ตั้งความหวังไว้ว่าเราจะไปเกิดที่นั่น ตั้งใจปักมั่น อธิษฐานเลยว่าจะไปเกิดตรงนั้น ถ้าทรงฌานไม่ได้ ชั้นจาตุมหาราชเขาไม่รับ ชั้นจาตุมหาราชเขารับพวกที่ทรงฌานได้ แล้วก็ลืมเข้าฌาน แต่เราทรงฌานแล้วอธิษฐานบารมีช่วย ขอไปเกิดตรงนั้น แม้เป็นกำลังของพรหม แต่เราตั้งใจจะไปเกิดตรงนั้นก็จะได้ไปเกิดตรงนั้น ถาม : ถ้าตั้งใจเกิดเป็นยักษ์ ? ตอบ : ตั้งใจไปเลยว่าจะเอาอะไร หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไปเจอภุมมเทวดาเป็นพระอนาคามี ถามท่านว่าทำไมไม่ไปอยู่สุทธาวาสพรหม ท่านมีสิทธิ์อยู่สูงขนาดนั้น ทำไมอยู่แค่ภุมมเทวดา ท่านบอกว่าเพื่อนของท่านอยู่ที่นี่ ก่อนตายคิดอยู่อย่างเดียวว่าจะไปหาเพื่อน ภุมมเทวดาท่านนี้ใครเล่นด้วยไม่ได้เลยเพราะว่าศักดานุภาพขนาดพระอนาคามี เชื่อว่าไม่มีใครหน้าไหนต้านติด ท่านระดับนั้นแล้วลงมาเป็นพระภูมิรักษาพื้นที่ แต่ว่าเทวดาผู้ใหญ่ระดับท้าวมหาราชท่านไม่เรียกใช้งานหรอก เก็บไว้เป็นปูชนียบุคคล 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-01-2013 เมื่อ 02:59  | 
| สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#165  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : สัตว์เข้าสมาธิได้ไหมครับ ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : ได้...เท่าที่เจอมาก็มีหมา แต่สัตว์อื่นก็น่าจะทำได้ เพราะสภาพของเขาก็คือสัตว์เดรัจฉานเหมือนกัน แต่ที่เจอง่ายที่สุดคือหมา หมาที่อาตมาเจอนั้นสุดยอดขนาดทรงฌานตั้งเวลาได้ นึกจะเข้าสมาธิเมื่อไร จะออกสมาธิเมื่อไร เขาตั้งเวลาได้เลย ฉะนั้น..โปรดทราบ ถ้าเรายังทำไม่ได้นี่อายหมาเลย..! 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-01-2013 เมื่อ 03:09  | 
| สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#166  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : สัตว์เข้าถึงมรรคผลได้ไหมคะ ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : ไม่ได้..ไม่ใช่วิสัยของเขา เราลองนึกถึงเด็ก ๆ สิ ขนาดเด็กรู้ภาษาแล้วเรายังสอนยากสอนเย็น ถ้าสัตว์ที่ไม่ใช่พวกที่สร้างบารมีมาโดยตรง จะให้เขามาทำความดี ย่อมไม่ใช่วิสัยของเขา เรื่องของสัตว์เดรัจฉาน เก่งขนาดไหนก็เข้าไม่ถึงมรรคผล จะมีพวกเก่งเกินมนุษย์อยู่ไม่กี่ตัวหรอก 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-01-2013 เมื่อ 03:10  | 
| สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#167  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : บางท่านเขาบอกว่าฌานลึกเป็นสมาธิแบบโง่ ๆ  แต่ในขณะนั้นทำไมรู้ทุกอย่าง ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : ก็คนพูดเป็นคนประเภทโง่ ๆ..! ฌานมี ๒ อย่าง คือ ฌานที่เกิดจากการพิจารณาไปเรื่อย ๆ และฌานที่เกิดจากกำลังในการฝึกอย่างเดียว พอเข้าถึงสมาธิ ยิ่งเป็นฌาน ๔ ด้วยแล้ว ความละเอียดจะเกินการปรุงแต่ง ในเมื่อเกินการปรุงแต่ง จะนึกคิดอะไรไม่ได้ ต้องถอยออกมาก่อน แต่ถ้าสามารถทำในลักษณะฌานใช้งานได้ ก็สามารถที่จะคิดและรับรู้ได้ทุกอย่าง ฉะนั้น..คนพูดยังทำไม่ถึงตรงจุดนี้ เลยเหมาเอาว่าคิดอะไรไม่ได้ โง่ไปเฉย ๆ แต่ความจริงไม่ใช่โง่..ฉลาดสุดยอดเลย เพราะเกินรัก โลภ โกรธ หลงไปแล้ว ไม่สามารถจะปรุงแต่งรัก โลภ โกรธ หลงได้ เพียงแต่มีอันตรายตรงที่ว่า ถ้าเราถอยออกมา รัก โลภ โกรธ หลงก็เกิดใหม่อีก ถ้าไม่ระวังจะโดนงัดหงายท้อง..! มีทางเดียวคือพยายามรักษาประคับประคองอารมณ์สมาธิให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ พอความเคยชินที่กดกิเลสไปนาน ๆ กิเลสเกิดไม่ได้ ถ้าระยะเวลานานพอ กิเลสจะหมดไปเอง โบราณเขาว่าเหมือนเอาหินทับหญ้า ถ้าทับไปนานพอ หญ้าก็ตายเอง 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-01-2013 เมื่อ 03:12  | 
| สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#168  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : การที่เราจับภาพพระ  ก็ทรงฌานได้ ?  
		
		
		
		
		
		
			ตอบ :ได้...แต่พวกเกาะตำราเขาไม่เชื่อ พวกเกาะตำราบอกว่าอนุสติทรงฌานไม่ได้ เพราะเขาทำไม่เป็น คิดว่าคาดว่าอย่างเดียว ถาม : จับภาพพระเป็นพุทธานุสติและเป็นกสิณด้วย ? ตอบ : เป็น....คนอื่นคิดว่าเป็นพุทธานุสติอย่างเดียว เพราะเขาทำไม่เป็น ถาม : ธัมมานุสตินึกอย่างไร ? ตอบ : ให้นึกถึงว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมมีลักษณะเหมือนดอกมะลิแก้วหรือดอกมะลิทองคำลอยอยู่ตรงหน้า แล้วเราจับภาพนั้น นึกถึงภาพพระพุทธรูปแล้วมีดอกมะลิลอยจากพระโอษฐ์มาทีละดอก ๆ อย่าเผลอนะ ไม่อย่างนั้นเวลาเพลิน ๆ จะหลับไปเลย 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-01-2013 เมื่อ 03:13  | 
| สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#169  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : สีลานุสติทำอย่างไร ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : เมื่อพิจารณาศีลจนอารมณ์ใจทรงตัวแล้วให้ภาวนาต่อ เมื่อภาวนาต่ออารมณ์จะเข้าเป็นฌานได้ ถ้าจะปรับสีลานุสติเป็นกสิณอีกที เราต้องนึกถึงภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าพระองค์ท่านเป็นผู้บัญญัติศีลขึ้นมา เสร็จแล้วเราก็จับภาพของพระองค์ท่านภาวนาต่อไปเลย 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-01-2013 เมื่อ 03:14  | 
| สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#170  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : ฤๅษีอูคันตี ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : ความจริงฤๅษีอูคันตีท่านเป็นพระมาก่อน แต่พระวินัยบังคับ จะทำอะไรก็ไม่ถนัด ท่านจึงสึกจากความเป็นพระ แล้วบวชเป็นฤๅษีแทน คราวนี้จะทำอะไรที่พระวินัยห้ามก็ทำไป 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 04-01-2013 เมื่อ 08:52  | 
| สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#171  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : สติปัฏฐาน ๔  ต้องเป็นอานาปานสติหรือไม่ ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : ต้องเป็นอยู่แล้ว อย่าลืมว่ามหาสติปัฏฐานสูตร เริ่มด้วยอานาปานสติ ถ้าไม่เริ่มด้วยอานาปานสติ อารมณ์ใจจะไม่ทรงตัว กรรมฐานที่ทำก็ไม่มีผล ฯลฯ..ทีฆัง วา อัสสะสันโต ทีฆัง ฯลฯ...รัสสัง วา อัสสะสันโต รัสสัง ฯลฯ หายใจเข้ายาวก็รู้ว่าหายใจเข้ายาว หายใจเข้าสั้นก็รู้ว่าหายใจเข้าสั้น ฯลฯ มหาสติปัฏฐานสูตรเริ่มด้วยอานาปานสติ แต่ปัจจุบันนักปฏิบัติกรรมฐานสายพองยุบของเราแกล้งลืมตรงจุดนี้ ไปจับอาการพองยุบแทน สำหรับนักปฏิบัติแรกเริ่มที่ไม่มีพื้นฐานเลยจะดี แต่ดีได้แค่พักเดียว เพราะถึงเวลาสมาธิไม่มีกำลัง กิเลสตีกลับ ก็พังเหมือนเดิม ฉะนั้น..ถ้าปฏิบัติสายพองหนอยุบหนอ ต้องทำต่อเนื่องห้ามหยุดเด็ดขาด หยุดเมื่อไรกิเลสตีตายเมื่อนั้น ต้องบอกว่าของดีมีอยู่แต่ไม่ยอมใช้ เหมือนกับว่าไปสู้กับไมค์ ไทสัน มีปืนอยู่ก็ซัดเข้าไปสิ ดันทิ้งอาวุธไปต่อยมวยก็ตายคาเวที..! 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-01-2013 เมื่อ 11:26  | 
| สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#172  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์เล่าว่า  "มีโยมโทรมาถามว่า สวดชัยมงคลคาถากับธรรมจักรทุกวัน แล้วเปลี่ยนมาสวดคาถาเงินล้านแทน ผลจะต่างกันหรือไม่? อาตมาก็บอกว่าต่างกัน เพราะชัยมงคลคาถากับธรรมจักร เราได้พุทธานุสติ ธัมมานุสติ ผลของการปฏิบัติก็ดีขึ้นเพราะว่าเราซักซ้อมอนุสติอยู่ทุกวัน  
		
		
		
		
		
		
			ส่วนคาถาเงินล้านสวดแล้วมีความคล่องตัวในความเป็นอยู่ ต่างกันอยู่เห็น ๆ แต่ถ้าเราสวดแล้วเรานึกถึงพระด้วยก็ได้พุทธานุสติด้วย แต่ก็บอกให้เขาทำทั้งสองอย่าง แบ่งเวลาเอา" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-01-2013 เมื่อ 11:27  | 
| สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#173  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "เรื่องตะกรุดกำลังแม่ธรณี ต้องนึกถึงยายผีป่า   ยายผีป่าเอาตะกรุดกำลังแม่ธรณีไปโฆษณาว่า ตราบใดที่ตีนยังแตะพื้นอยู่ ตราบนั้นจะไม่เป็นอันตราย  อาตมาเลยบอกเขาว่า เวลาคุณขับรถก็ต้องเปิดประตูเอาตีนแหย่พื้นไว้ข้างหนึ่ง..(หัวเราะ)..ดันไปสรุปอย่างนั้น สรุปแล้วมีช่องโหว่ให้เถียงได้ เขาเรียกว่าเอามะพร้าวห้าวไปขายเกาะสมุย 
		
		
		
		
		
		
			สมัยก่อนพื้นที่เกาะสมุยเขาปลูกมะพร้าวเป็นปกติ เวลาพ่อแม่แบ่งสมบัติให้ลูก แบ่งที่ดินให้ลูก ลูกคนไหนที่รักมากก็แบ่งที่ด้านใน ๆ ให้ ลูกคนไหนขี้เกียจก็แบ่งที่ติดทะเลไป เพราะว่าที่ติดทะเลมะพร้าวไม่ค่อยจะได้ผล เจอลมแรง เจอคลื่นบ่อย ปรากฏว่ามาระยะหลังกิจการท่องเที่ยวดีขึ้น ที่ดินติดทะเลราคาแพงหูดับเลย ที่อยู่กลาง ๆ ไม่ค่อยมีราคา ตกลงพวกขี้เกียจได้ดี ขายที่ทำรีสอร์ท ส่วนลูกคนขยันก็ทำสวนมะพร้าวต่อไป" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-01-2013 เมื่อ 11:28  | 
| สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#174  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : สมัยก่อนที่ไปออกรบกัน จะมีบางคนพกชายผ้าถุงแม่ไปด้วย จะมีผลหรือไม่ ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : มี...มีมากด้วย เสียดายปู่จอมตายไปแล้ว เพิ่งตายเมื่อ ๓ - ๔ ปีนี้เอง ปู่จอมไปรบที่เชียงตุง สมัยนั้นนอกจากหนทางทุรกันดารแล้ว โรคมาลาเรียยังมหาศาลเลย ปรากฏว่าสมเด็จพระสังฆราช (แพ) ติสสเทวมหาเถระ วัดสุทัศน์เทพวราราม ทำพระกริ่งรุ่นหนึ่ง ให้กับทหารที่ไปรบเชียงตุงโดยเฉพาะ เรียกว่าพระกริ่งเชียงตุง ให้ติดตัวไปรักษาโรค ปู่จอมรบท่าไหนไม่รู้ ทำพระกริ่งหาย แต่มีชายผ้าถุงแม่ติดไปด้วย แกควั่นเป็นเกลียวแล้วคล้องคอไป ปรากฏว่าเพื่อน ๆ ที่ทำพระกริ่งหายเป็นมาลาเรียตั้งหลายคน แกเลยเอาชายผ้าถุงแม่มาทำน้ำมนต์กิน โรคมาลาเรียหาย ชายผ้าถุงแม่ใช้ได้ดีพอ ๆ กับพระกริ่งเลย ความเชื่อมั่นว่าพระคุณของพ่อแม่ สามารถปกป้องคุ้มครองเราได้ โดยเฉพาะคุณของแม่ที่สละเลือดเนื้อและชีวิตให้ลูกเกิดมา ฉะนั้น..ถ้ากำลังใจเรามั่นคงจริง ๆ อย่างที่สมัยก่อนเขาออกรบ มีแค่ชายผ้าถุงแม่ก็ปลอดภัยแล้ว 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-01-2013 เมื่อ 11:29  | 
| สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#175  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ปู่จอมไปรบเชียงตุง ขาไปนั่งรถไฟ ขากลับทางรถไฟโดนทำลาย ต้องเดินกลับ สมัยก่อนใช้คำว่าเดินนับไม้หมอนกลับมา  เดินก้าวไปตามทางรถไฟ  น่าเบื่อไม่มีอะไรทำ ก็เดินนับหมอนรองรางรถไฟกลับมา  
		
		
		
		
		
		
			บ้านปู่จอมอยู่ที่พุน้ำร้อนหินดาด หลัง ๆ แกไปเที่ยวบอกญาติโยมให้มาทำบุญกับอาตมาอยู่เรื่อย ระยะหลัง ๆ ปู่จอมเขาถือศีลกินเจ ปฏิบัติภาวนา ถึงเวลาก็ไปทำบุญที่วัดใกล้ ๆ ไป ๆ มา ๆ บอกญาติโยมว่าให้ไปทำบุญกับพระอาจารย์เล็กแทน ตกลงพระแถว ๆ ใกล้บ้านไม่ได้รับการทำบุญจากปู่จอม แกชวนลูกชวนหลานมาทำบุญที่วัดท่าขนุนหมด ต้องบอกว่า พอเริ่มรู้ก็ชักจะเลือก ถ้าเราตั้งใจถวายเป็นสังฆทาน ก็ได้อานิสงส์เท่ากัน เพราะว่าผู้รับสังฆทานเป็นแค่ตัวแทนเท่านั้น ผู้รับจะเป็นอย่างไรก็ช่าง อานิสงส์เราก็ได้เต็ม แต่ส่วนใหญ่พอรู้แล้วมักจะเลือก 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-01-2013 เมื่อ 11:31  | 
| สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#176  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม:  ของที่เราแพ้แน่ ๆ เกิดจากกรรมใช่หรือเปล่าคะ ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ: เกิดจากกรรม..เมื่อหลายปีก่อน มีหนุ่มอยู่คนหนึ่งแพ้ผู้หญิง เข้าใกล้ผู้หญิงแล้วจะอ้วก เป็นการแพ้ที่อเนจอนาถมาก แต่แม่อยากให้เขาเรียนจบปริญญาตรีก่อน อาการหนักขึ้นทุกวัน ท้ายสุดก็ตัดสินใจเอาปัจจัยไปถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นมัดจำไว้ ว่าจะบวชหลังจากเรียนจบแล้ว อาการถึงดีขึ้น นั่นแสดงว่าโดนบังคับ ใกล้ผู้หญิงแล้วอ้วก เกิดมาเพิ่งเคยเจออยู่รายเดียว ถ้าเป็นยุคนี้ก็ต้องใกล้ทั้งผู้หญิงผู้ชายแล้วอ้วก ไม่อย่างนั้นอาจจะเบี่ยงเบนได้..! 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-01-2013 เมื่อ 11:32  | 
| สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#177  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์เล่าว่า  "เมื่อสองวันก่อนตอนพาพระไปบิณฑบาต เดิน ๆ ไปก็บ่นว่า "กูจะไปทางไหนวะ..?" พระข้างหลังก็งง ๆ ว่าพระอาจารย์บ่นอะไร  
		
		
		
		
		
		
			ความจริงรถชนกันเอาตอนไหนก็ไม่รู้ แล้วเศษกระจกแตกเต็มทางเดินเลย พระมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดินตาม ท่านไม่เห็นหรอก ดังนั้นถ้าต้องการจะเห็นก่อน ต้องมีสติอยู่ทุกฝีก้าวเลย" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-01-2013 เมื่อ 11:33  | 
| สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#178  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : เวลาที่เราไม่พอใจกิเลส   ไม่พอใจตนเอง  ควรจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างไรดีคะ ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : ถ้าแก้เฉพาะหน้านี่แก้ไม่ทันหรอก เพราะกำลังเราต่ำกว่า เราต้องรักษาสภาพจิตให้ผ่องใสเหนือกว่ากิเลสให้ได้ แปลว่าหลังจากนั้นต้องมาสั่งสมศีล สมาธิ ปัญญาให้มากกว่าไว้ ตอนนั้นไม่ทันกินหรอก ตอนนั้นแพ้แล้วแพ้เลย 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-01-2013 เมื่อ 11:35  | 
| สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#179  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม :  พระไตรปิฎกบอกว่าร่างกายไม่ใช่เป็นแท่งทึบ แล้วเราเห็นร่างกายเป็นเล็ก ๆ กระจายลอย ๆ ไป  ที่เราเห็นอยู่อย่างนี้  แรงยึดนี้เป็นแค่ความยึดของเราจริง ๆ ใช่ไหมคะ ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ :จริง ๆ แล้วสภาพร่างกายที่เกาะตัวอยู่ มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลเป็นปกติ แรงยึดของเราก็คือไปยึดว่าเป็นของเราเท่านั้น สำหรับสภาพจิตแล้ว ร่องรอยระหว่างโมเลกุลกว้างกว่าประตูอีก จิตถึงออกมาได้ทุกทิศทาง อย่างเช่นกำแพงที่เห็นว่าหนาทึบ ความจริงช่องว่างระหว่างโมเลกุลกว้างมาก แต่เนื่องจากในสภาพของความหยาบของร่างกายเรามีมากกว่า ก็เลยไม่สามารถจะเดินผ่านไปได้ ถาม : ถ้าเราคิดอย่างนั้น ? ตอบ : ถ้าเห็นอย่างนั้นจริงเราก็สามารถเดินผ่านไปได้เลย คนอื่นก็คิดว่าเราเดินทะลุกำแพงไปได้ แค่หลักการง่าย ๆ แค่นี้เอง คือ ในสภาพของจิตที่ละเอียดกว่า ก็แค่ผ่านไปเฉย ๆ เหมือนเดินออกประตู แต่คนอื่นก็ปากอ้าตาค้างว่าทำได้อย่างไร 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-01-2013 เมื่อ 16:10  | 
| สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#180  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า  "ตกลงวันนี้ฟ้ามืดเร็วใช่ไหม ? เห็นกลัววันสิ้นโลก ๒๑:๑๒:๑๒ กัน ที่เขาบอกว่าฟ้าจะมืดสามวันสามคืน วันนี้ถือเป็นวันที่ ๑ ก็แล้วกัน  
		
		
		
		
		
		
			ตถาคตาโพธิสัทธา คือ ความเชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านกล่าวเอาไว้ว่าอายุพระศาสนาจะอยู่ถึง ๕,๐๐๐ ปี อย่างไรก็ต้องอยู่ถึง จะสิ้นโลกอย่างไรก็ปล่อยให้สิ้นไปเถอะ ขอให้พระพุทธศาสนาอยู่ได้ก็แล้วกัน แต่คราวนี้คนต่างชาติไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ หรือที่นับถือศาสนาพุทธก็ไม่ได้ยึดมั่นอย่างแท้จริง จึงไม่เชื่อตรงจุดนี้ แต่ที่แย่กว่านั้นคือ คนไทยที่ได้ชื่อว่านับถือพระพุทธศาสนา กลับไปตื่นข่าว พอตื่นข่าวก็ลืมไปว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสถึงหลักการกาลามสูตรเอาไว้ว่า อย่าเชื่อโดยเขาลือสืบ ๆ กันมา อย่าเชื่อเพราะมีปรากฏอยู่ในตำรา เป็นต้น เหตุการณ์ร้ายแรงต่าง ๆ สามารถเกิดขึ้นได้ แต่ไม่ถึงขนาดสิ้นโลกหรอก โลกนี้ยังไม่เคยสิ้นมาสักครั้งหนึ่ง โดนไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก อย่างเก่งก็เป็นขี้เถ้าหายไปสัก ๑๐ - ๒๐ กว่ากิโลเมตร พอมีต้นไม้ขึ้นมาก็ทับถมกันใหม่แล้วก็หนาขึ้นมาเท่าเดิม เกิดมีมนุษย์และสัตว์แล้วก็อยู่อาศัยกันต่อไป" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-01-2013 เมื่อ 11:54  | 
| สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]()  | 
	
	
		
| ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
		
  | 
	
		
  |