| 
	|||||||
| เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป | 
![]()  | 
	
	
| 
		 | 
	คำสั่งเพิ่มเติม | 
| 
		 
			 
			#81  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			"ในเรื่องของการปฏิบัติระยะแรก ๆ พอเริ่มเข้าปีติก็เท่ากับเริ่มเห็นผล เพราะเป็นไปตามที่ครูบาอาจารย์บอก หรือที่ตำราบอกไว้ ก็จะทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความมั่นใจว่ามาถูกทางแล้ว  
		
		
		
		
		
		
			แต่ปีติเป็นสิ่งที่อันตรายมาก เพราะคนที่เข้าถึงตรงจุดนี้ จะไม่อิ่มไม่เบื่อในการปฏิบัติ บางทีไม่ยอมกินไม่ยอมนอน ภาวนาไปเรื่อย โยมที่ภูเก็ต นั่งตั้งแต่ ๗ โมงเช้าจนถึง ๑๐ โมงครึ่ง..ไม่เลิก อาตมาต้องเคาะกบาลให้เลิก บอกว่าพอได้แล้ว การนั่งสมาธิก็เหมือนกับการทำงาน ถ้าโหมงานหนักในวันนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะทำงานไม่ไหว เขาเองพอนั่งแล้วกำลังใจเขาสบาย ก็ภาวนายาวไปเลย จะว่าไปแล้วเป็นการฉวยโอกาสที่ถูก แต่ระยะเวลานานเกินไป สภาพจิตที่ไม่เคยถูกควบคุมนาน ๆ พอถึงเวลาดิ้นจะดิ้นแรงมาก แล้วจะพังไปนาน ดังนั้น..จึงต้องค่อย ๆ ผ่อนสั้นผ่อนยาว เอาแค่พอเหมาะพอดี ไม่ใช่วันนี้ทำเต็มที่เลย ๓ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง พอพรุ่งนี้หรือมะรืนก็พังกระจาย ทำอะไรไม่ได้ สภาพจิตไม่ยอมให้ควบคุม เพราะเข็ดแล้ว เข็ดที่โดนจับให้นิ่ง ๆ ก็ดิ้นเต็มที่..!" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-10-2012 เมื่อ 03:07  | 
| สมาชิก 240 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#82  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "พระพุทธเจ้าตรัสว่า..อานันทะ ดูกร..อานนท์ เธอได้เห็นภิกษุทั้งหลายที่คลุกคลีอยู่กับพระสารีบุตรบ้างหรือไม่  ? อานันทะ..ดูกร อานนท์ เธอได้เห็นภิกษุทั้งหลายที่คลุกคลีอยู่กับพระปุณณมันตานีบุตรหรือไม่  ? ฯลฯ พระอานนท์กราบทูลว่า เห็นพระพุทธเจ้าข้า  
		
		
		
		
		
		
			นั่นแหละ..อานนท์..หมู่ภิกษุที่คลุกคลีอยู่กับพระสารีบุตรเป็นผู้ประกอบไปด้วยปัญญามาก หมู่ภิกษุที่คลุกคลีอยู่กับพระโมคคัลลานะเป็นบุคคลที่ปรารถนาในฤทธิ์อภิญญา หมู่ภิกษุที่คลุกคลีอยู่กับพระปุณณมันตานีบุตรเป็นผู้ยินดีในธรรมกถึก เช่นเดียวกัน ลักษณะที่พวกเราจับกันเป็นกลุ่ม ๆ ก็คือชอบใจแบบไหนก็ไปแบบนั้น" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2012 เมื่อ 14:24  | 
| สมาชิก 227 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#83  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "เรื่องของการเมือง ฟังมากไม่ได้  เพราะเป็นเรื่องของการฟังความข้างเดียว พอฟังความข้างเดียว ถึงเวลาก็ตัดสินความข้างเดียว แล้วจะลำบาก  
		
		
		
		
		
		
			ตอนเขาทะเลาะกันเหมือนกับเขาตีกันจนฝุ่นตลบ ให้เราถอยไปให้ห่าง ๆ วงเลย รอให้ฝุ่นจางก็จะรู้ว่าใครเป็นใคร ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเราจะโดนม้วนเข้าไปด้วย" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2012 เมื่อ 14:25  | 
| สมาชิก 229 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#84  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			"ถ้าเป็นนักการเมืองไม่ควรไปต่อความยาวสาวความยืดกับใคร ทำงานไปก่อน เขาอยากทะเลาะปล่อยให้เขาทะเลาะไป  ถึงเวลาชาวบ้านเขาตัดสินด้วยผลงานที่เขาเห็น 
		
		
		
		
		
		
			ภาษาบาลีเขาเรียกว่า มุโขโลกนะ ถ้ามีความลำเอียง อคติก็ย่อมมี พระพุทธเจ้ากล่าวถึงคติว่ามี โทสาคติ ลำเอียงเพราะโกรธ ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรัก ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว โมหาคติ ลำเอียงเพราะหลงผิด บางคนรักฝังใจ อย่างไรก็ต้องเชียร์พรรคการเมืองนี้ ไม่เปลี่ยนใจ จึงกลายเป็นฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรักไป" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2012 เมื่อ 14:26  | 
| สมาชิก 227 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#85  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : ผมมีความคิดว่า  .....(ไม่ได้ยิน)... 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : มีจริง แต่เขาไม่ได้เอามาใช้ มีแต่คนที่ศึกษาไม่ครบก็เลยไม่เจอ ไม่ว่าจะเป็นอัตตาธิปไตย โลกาธิปไตยหรือธรรมาธิปไตย จริง ๆ แล้วขึ้นอยู่กับคนใช้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหลักการ หรือหลักธรรมนั้น ๆ อย่างอัตตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่ ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกเผด็จการ คุณดูสิว่าเผด็จการอย่างรัชกาลที่ ๕ ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช สั่งให้ใครตายก็ได้ แต่ทำไมบ้านเมืองเจริญมาก ? ช่วงนั้นเราเจริญกว่าญี่ปุ่นอีก ปัจจุบันโลกาธิปไตย ถือโลกเป็นใหญ่ ถือเสียงข้างมากเป็นใหญ่ เรามาเรียกอีกอย่างว่า ประชาธิปไตย ดูสิว่าเละขนาดไหน ? ฉะนั้นไม่ใช่หลักการไม่ดี แต่อยู่ที่คน อย่างในหลวงของเราปัจจุบัน ต้องบอกว่าพระองค์ท่านถือธรรมาธิปไตย ถือธรรมเป็นใหญ่ อาศัยหลักธรรมในการปกครองประเทศ อย่างเศรษฐกิจพอเพียงก็ถือหลักสันโดษ แล้วยังมีหลักทศพิธราชธรรม หลักจักรวรรดิวัตร หลักพรหมวิหาร เพียงแต่ว่าพระองค์ท่านทำอยู่คนเดียว คนอื่นไม่ให้การสนับสนุน พระองค์ท่านก็ทำได้เต็มที่แค่กำลังของพระองค์เอง ถ้าไม่ได้อยู่ในฐานะอย่างพระองค์ท่านก็ทำไม่ได้เท่านี้ ฉะนั้น..หลักการต่าง ๆ จะดีหรือไม่ดีอยู่ที่คนใช้ อัตตาธิปไตยกับโลกาธิปไตยขึ้นกับคนใช้เต็ม ๆ ธรรมาธิปไตยนี่หลักการดีแน่ ถ้าคนใช้อยู่ในศีลในธรรมก็ยิ่งเสริมความดีเข้าไปใหญ่ 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2012 เมื่อ 14:28  | 
| สมาชิก 223 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#86  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสสนับสนุนการปกครองแบบไหนเลย แต่พระองค์ท่านตรัสในส่วนของธรรมาธิปไตย ก็คือ  ไม่ว่าจะมีการปกครองแบบไหน จะต้องประกอบไปด้วยหลักธรรม  อย่างเช่น  อัตตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่ คุณก็ต้องปราศจากอคติ ๔ ประกอบไปด้วยพรหมวิหาร ๔ เป็นต้น  
		
		
		
		
		
		
			ถ้าโลกาธิปไตย คุณจะถือเสียงข้างมากเป็นใหญ่ คุณก็ต้องประกอบด้วยความยุติธรรม ถ้าเป็นอัตตาธิปไตยแบบพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ก็ต้องมีทศพิธราชธรรม พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้ตรัสสรรเสริญหลักการปกครอง แต่พระองค์ท่านตรัสถึงธรรมะที่จะไปประกอบกับหลักการนั้น ๆ เพราะพระองค์ท่านทราบดียิ่งกว่าเราหลายเท่านักว่า หลักการดีแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับคนเอาไปใช้ด้วย ถ้าคนเอาไปใช้เป็นคนไม่ดี เขาก็พยายามดัดแปลงหลักการให้เกิดประโยชน์แก่พวกพ้องและตัวเองจนได้ 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2012 เมื่อ 14:29  | 
| สมาชิก 223 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#87  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : คนในครอบครัวเดียวกัน  ใช้หลักการเดียวกันตัดสินหรือเปล่าครับ ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : ถ้ากำลังใจไม่เท่ากัน จะตัดสินต่างกัน ฉะนั้น..กำลังใจต้องเท่ากัน ถาม : ถ้าเกิดเราใช้ธรรมาธิปไตย อะไรถูกอะไรผิดว่ากันตามหลักการ ตอบ : จริง ๆ จะว่าไปแล้ว กฎพื้นฐาน คือ ศีล ๕ ถ้าละเมิดศีล ๕ นี่ผิดทั้งนั้น คุณลองดูว่าโลกปัจจุบันของเรา ข่าวคราวที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไร ? ละเมิดข้อที่ ๑ ก็ฆ่ากัน ฝังอยู่เต็มไร่ ขุดหายังไม่เจอ ศีลของที่ ๒ ลักขโมย ช่วงชิง ปล้นฆ่ากัน ละเมิดศีลข้อที่ ๓ เสี่ยง้อภรรยาไม่ได้ ๘ ปีผ่านไปตามไปยิงตายเลย ละเมิดศีลข้อที่ ๔ โกหกหลอกลวง ฉ้อโกงกัน ละเมิดศีลข้อที่ ๕ เมาสุราก็ละเมิดศีลข้ออื่นไปด้วย เราจะเห็นว่าถ้ามีศีล ๕ กำกับอยู่ บรรดากฎหมายไม่ต้องมีหรอก ถ้าจะเอาจริง ๆ ก็คือหลักมนุษยธรรมคือการมีศีล ถัดไปคือหลักเทวธรรม ก็คือ มีหิริโอตัปปะ ละอายชั่วกลัวบาป สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าเรายึดถือเป็นปกติ ไม่ต้องไปสนใจกฎหมายอื่น ๆ เราก็ไม่ได้ทำอะไรผิดมากมายนักหรอก 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2012 เมื่อ 14:30  | 
| สมาชิก 222 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#88  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม :  ถ้าจะมีพวก.... 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : นั่นเป็นเรื่องปกติของคน คนเราเกิดมาสร้างเวรสร้างกรรมไม่เท่ากัน มีอยู่สมัยหนึ่งในยุคคอมมิวนิสต์ ที่เขาจะทำให้ทุกคนเท่ากันหมด ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเขาเองสร้างความดีความชั่วมาไม่เท่ากัน ถึงเวลาจะให้รับผลดีผลชั่วเท่า ๆ กันนั้นเป็นไปไม่ได้ หลักการผิดตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่าเป็นสังคมในอุดมคติ เขาคิดว่าถ้าทุกคนเสมอภาคกัน มีส่วนในทรัพยากรเท่าๆ กัน โลกนี้จะสงบสุข เขาคิดผิดตั้งแต่แรกแล้ว เราลองดูว่า ถ้าหากว่าโลกปัจจุบันมีคนรวยคนจน คนจนทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี คนรวยมีทรัพยากรมากเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปันให้มา ทุกคนก็จะอยู่อย่างมีความสุข เพราะทุกอย่างต้องประกอบด้วยหลักธรรม ถ้าไม่มีหลักธรรมโลกก็วุ่นวาย..อยู่ไม่ได้หรอก ที่ในหลวงตรัสเอาไว้ เป็นเรื่องที่ชัดเจนที่สุดเลย คือ พยายามส่งเสริมให้คนดีมีอำนาจ และอย่าให้คนชั่วมีอำนาจขึ้นมา เมื่อคนดีมีอำนาจในการปกครอง คนชั่วก็ไม่เดือดร้อน เพราะคนดีที่มีอำนาจไม่ไปเบียดเบียนคนชั่วอยู่แล้ว แต่ถ้าคนชั่วมีอำนาจในการปกครองแม้แต่คนเดียว คนดีจะเดือดร้อนเป็นร้อยเป็นพัน พระองค์ท่านตรัสมาตั้งกี่สิบปีแล้วก็ไม่รู้ ? 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2012 เมื่อ 14:31  | 
| สมาชิก 220 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#89  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถ้าคนเราไม่เห็นแก่ประโยชน์ตนและมีความยุติธรรม รู้จริง ๆ ว่าธรรมะคืออะไร ไม่ต้องไปพึ่งพาคนอื่นหรอก มโนธรรมของตัวเองจะบอกเอง  ต่อให้เด็กที่เกิดขึ้นมา ไม่รู้เลยว่าความดีความชั่วเป็นอย่างไร ถ้าเขาฆ่าสัตว์สักตัวหนึ่ง เขาจะรู้สึกไม่สบายใจทันที นั่นแหละคือมโนธรรม  เป็นหลักการที่แท้จริง  เป็นสิ่งที่ถูกต้อง สามารถรู้ได้โดยไม่ต้องให้คนอื่นเขาบอก  
		
		
		
		
		
		
			แต่สมัยนี้มโนธรรมโดนรัก โลภ โกรธ หลง กลบกลืนไปหมด ถึงเวลาแล้วตัวกูต้องถูกไว้ก่อน ถึงเวลาต้องไปฟ้องศาลปกครอง ให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน ให้ศาลฎีกาตัดสิน บ้าชัด ๆ อย่างพระในปัจจุบันหลงประเด็นกันเยอะมาก เวลาละเมิดศีลต้องอาบัติปาราชิก ต้องรอให้ศาลสั่งก่อน กูถึงจะยอม ความจริงเจ๊งตั้งแต่ตอนทำแล้ว จะไปรอให้ศาลสั่งได้อย่างไร ถึงได้บอกว่ามโนธรรมโดนรัก โลภ โกรธ หลง กลบกลืนไปหมด มีอยู่ทางเดียวคือเราต้องเข้าถึงธรรมให้มากที่สุด เวลามีอำนาจหน้าที่บริหารหมู่คณะ จะเล็กจะใหญ่ก็ตาม ต้องใช้หลักธรรมในการบริหาร ให้เกิดความยุติธรรมให้มากที่สุด 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2012 เมื่อ 14:33  | 
| สมาชิก 212 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#90  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			มีอยู่สมัยหนึ่งเพื่อนชวนไปสมัครส.ส. อาตมาก็บวชมาตั้งหลายพรรษาแล้ว แต่ก็ยังมาชวน  เขาใช้คำพูดว่า ถ้าคนดีเข้าวัดบวชกันหมด แล้วประเทศชาติจะอยู่ได้อย่างไร ?  อาตมาก็ว่าถ้าคนดีบวชกันหมด ประเทศชาติน่าจะดีขึ้น เพราะอย่างน้อย ๆ มีโอกาสสั่งสอนคนอื่นได้อีกมาก 
		
		
		
		
		
		
			เราต้องเข้าใจศิลปะในการดำรงชีวิตอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านว่า สิปปัญจะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง การมีศิลปะถือเป็นอุดมมงคล ศิลปะอย่างหนึ่งที่สำคัญคือ ศิลปะการในดำรงชีวิต ก็คือ ต้องรู้กาลเทศะ กาละคือเวลาที่เหมาะสม เทศะคือสถานที่ที่เหมาะสม ถ้ามีแต่พวกโกงกินกันทั้งหมด แล้วเราไปพูดเรื่องปราบคอร์รัปชั่น คงจะมีคนสนับสนุนเราหรอก เรื่องพวกนี้เราต้องค่อย ๆ ศึกษาไป แล้วท้ายสุดก็จะปรับตัวเองให้อยู่ในลักษณะไม่โดนเบียดเบียนมากนัก สามารถที่พอจะอยู่ได้ในโลกที่สับสนวุ่นวายขนาดนี้ 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2012 เมื่อ 14:34  | 
| สมาชิก 217 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#91  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม :  ผมไม่เข้าใจว่า การพยากรณ์มรรคผลเป็นอย่างไร ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : การพยากรณ์มรรคผลเป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น คนทั่ว ๆ ไปอย่าไปยุ่ง เรารู้ไม่จริงหรอก การฝึกมโนมยิทธิทั่ว ๆ ไป เวลาเราดูให้คนอื่นจะแม่น แต่ดูให้ตัวเองจะไม่แม่น เพราะการดูให้คนอื่นส่วนได้เสียไม่มี แต่พอดูให้ตัวเองเวลาเห็นว่าไม่ดี เราก็จะคิดว่าน่าจะดีนะ ทีนี้จะเริ่มผิด และพอเป็นเรื่องของผลประโยชน์ ก็จะทำให้ใจก้าวเข้าไปสู่รัก โลภ โกรธ หลง แล้วก็จะผิดยาวเลย อย่างเช่น แทนที่จะไปดูว่าตัวเองเกิดมากี่ชาติกี่ภพแล้ว มาชาตินี้ควรจะเข็ดหรือยัง ? ก็ไปดูว่าหวยจะออกอะไร ? ถ้าอย่างนั้นจะโดนกิเลสอุปาทานหลอกเอา ถาม : ถ้าบอกว่าคนนี้เป็นพระอรหันต์แล้ว คนนี้เป็นพระสกิทาคามี ? ตอบ : จะเรียกว่าการพยากรณ์มรรคผลก็ได้ บุคคลที่อยู่ระดับเดียวกันจะรู้บุคคลในระดับเดียวกันและต่ำกว่า แต่ส่วนใหญ่แล้วถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ก็จะไม่พูดถึง การพูดถึงจะพูดในลักษณะของการยกย่อง พูดถึงในส่วนความดีงามของเขา จะไม่มีการพูดในลักษณะไปกดข่มคนอื่น ฉะนั้น..ต้องดูกำลังใจของคนพูดด้วยว่าอยู่ในระดับไหน เหมือนคนเรียนจบปริญญาตรีย่อมรู้ว่าคนจบปริญญาตรีเขาเรียนอะไรมา ขณะเดียวกันก็รู้ว่าคนที่ความรู้ต่ำกว่าว่าเรียนอะไรมา แต่ไม่รู้ว่าคนจบโทหรือเอกเขาเรียนอะไรกัน เพราะตัวเองยังเรียนไม่ถึง ฉะนั้น..เรื่องพยากรณ์มรรคผลหรือดูกำลังใจคนอื่น ดูได้ในระดับที่เท่ากันและต่ำกว่าเท่านั้น สูงกว่าดูเขาไม่ได้ ถาม : คนใดเรามองว่าเป็นอริยบุคคล แต่ในบางกิริยาที่ท่านทำ เราอาจจะมองว่าไม่น่าใช่ ตอบ : แปลว่าคุณยังขาดความมั่นใจในตัวท่าน ถ้ามีความมั่นใจในตัวท่านจริง จะไม่สงสัยเลย 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2012 เมื่อ 14:35  | 
| สมาชิก 218 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#92  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวกับลูกศิษย์ว่า  "เรามีหน้าที่อะไรก็ไปทำ   ในเรื่องของการรับงานเพื่อส่วนรวม ต้องประกอบไปด้วยเสียสละ ไม่ใช่ถึงเวลากูจะอยู่ใกล้ ๆ ครูบาอาจารย์ แล้วงานส่วนอื่นก็เสียหมดเพราะไม่มีใครไปดูไปแล"
		 
		
		
		
		
		
		
			
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2012 เมื่อ 14:36  | 
| สมาชิก 226 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#93  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "จากที่เคยเห็นมา  ใครเคยทำไม่ดีกับพ่อกับแม่อย่างไร เวลามีลูกแล้วได้คืนหลายเท่า เป็นกรรมอย่างเดียวที่ทันตาเห็นจริง ๆ  พูดง่าย ๆ ก็คือ  ถ้าเราไม่แสบจริงก็ไม่มาเกิดกับพ่อแม่เราหรอก ฉะนั้น..ถ้าอยากจะมีลูกดี ตัวเราเองต้องดีก่อน"
		 
		
		
		
		
		
		
			
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2012 เมื่อ 14:36  | 
| สมาชิก 229 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#94  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม  : ผมควรจะไปฝึกเรื่องทิพจักขุญาณที่ไหนครับ  ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : ถ้าของเก่ามีแล้ว เราภาวนาไปจนกำลังใจเริ่มนิ่ง ของเก่าก็จะกลับมาเอง ไม่ต้องเสียเวลาไปฝึกที่ไหนหรอก เพียงแต่ระวังไว้อย่างหนึ่งว่า ถึงเวลาเขาทดสอบจะเล่นแรง ให้จำไว้ให้แม่นว่าสิ่งที่เราเห็น เราเห็นจริง ๆ แต่เรื่องที่เรารู้เห็นไม่แน่ว่าจะจริง ส่วนใหญ่ที่เสียไป เนื่องจาก “เชื่อเพราะเราเห็น” เพราะฉะนั้นต่อให้เห็นเองก็ยังเชื่อไม่ได้ ต้องรอเวลาพิสูจน์ก่อน 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-11-2012 เมื่อ 01:59  | 
| สมาชิก 223 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#95  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม :   ถ้าต้นไม้ที่มีรุกขเทวดาอยู่  เราจำเป็นต้องโค่นทิ้งต้องทำอย่างไรครับ ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : ตั้งศาลให้เขาในที่ที่เหมาะสม แล้วตัดกิ่งไม้นั้นมากิ่งหนึ่ง ประมาณ ๑ ศอก ตั้งไว้ในศาล หันทางด้านปลายขึ้น เขาจะได้อาศัยต่อได้ ถาม : ต้นไม้ใหญ่ ๆ จะมีเทวดาอาศัยอยู่ทุกต้นไหมครับ ? ตอบ : เฉพาะต้นไม้ที่มีแก่น ถ้าไม่มีแก่นท่านก็ไม่ได้อาศัย พวกไม้ไม่มีแก่นอย่างพวกนุ่น สำโรง เป็นต้น ถาม : ผมไม่ได้ตัดทั้งต้น ตัดแค่กิ่งก้านออก ตอบ : ถ้าไม่ได้ตัดทั้งต้นไม่เป็นไร แต่ถึงไม่ตัดทั้งต้นก็ควรจะบอกเล่าเก้าสิบกันก่อน ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็ไปตัดเลย 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-11-2012 เมื่อ 02:00  | 
| สมาชิก 221 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#96  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "พระเครื่องของหลวงปู่โหน่งเป็นของดีราคาถูก เพราะท่านทำเอาไว้มาก วัดไหนขอ ท่านให้เขาเป็นลำเรือเลย  ก็เลยกลายเป็นว่าของดี แต่ราคาถูกเพราะของมีมาก   
		
		
		
		
		
		
			อาตมามีขุนแผนหน้าค่ายอยู่องค์ครึ่ง เพราะองค์หนึ่งแหว่งไป แล้วก็มียอดขุนพล ส่วนองค์ที่เป็นพิมพ์สมเด็จนั้น ตอนแรกใคร ๆ เขาก็ตีว่าเป็นวัดระฆัง อาตมาบอกว่าไม่ใช่ แต่ว่าสมเด็จรุ่นแรก ๆ ของท่านเนื้อแกร่งมาก พอมารุ่นหลัง ๆ แล้วเน้นเอาดินมาทำ ความต่างจึงเห็นชัด เพราะเป็นเนื้อดินเผา วิธีเสกพระของหลวงปู่โหน่งไม่เหมือนใครหรอก ตั้งบายศรีคู่ ปูผ้าขาว มีดอกไม้ธูปเทียนไหว้พระเสร็จสรรพ ท่านเดินจงกรมรอบเตาเผา ภาวนาเสกพระไปเลย" ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ไม่รู้ยังเหลือหรือเปล่า ? สมัยหลวงพ่อแดง แค่วัดพวกเรายังไม่กล้าเดินผ่านเลย ท่านดุมาก พอมานึกถึงสมัยนี้ที่พวกชาวบ้านบอกว่าอาจารย์เล็กดุ ลองเจอหลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก ไอ้เด็กเซียน ๆ อย่างเราไม่กล้าเดินผ่านวัด นึกเอาก็แล้วกันว่าท่านดุขนาดไหน ? 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-11-2012 เมื่อ 02:02  | 
| สมาชิก 228 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#97  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			หนังสือประวัติหลวงพ่อปานของหลวงพ่อวัดท่าซุง ทำให้ชื่อเสียงหลวงปู่ปานกับหลวงปู่โหน่งดังขึ้นมาอีกมาก  ลำพังท่านดังอยู่แล้ว  แต่คราวนี้พอลูกศิษย์เก่งแล้วยกย่องครูบาอาจารย์ด้วยก็เลยดังกันไปใหญ่  แต่วัดเก่า ๆ สายครูบาอาจารย์ส่วนใหญ่จะโทรม มีหลวงปู่สุ่น วัดบางปลาหมอที่ทางวัดปากน้ำฯ ไปสนับสนุนทำให้  ก็ดูว่าเจริญขึ้นมา วัดอื่น ๆ ค่อนข้างจะทรุดโทรม  
		
		
		
		
		
		
			แม้กระทั่งวัดบางนมโค สมัยพระครูวิหารกิจจานุยุต ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเป็นพระอาจารย์คู่สวด คราวนี้หลวงพ่อท่านก็ตั้งใจจะสนับสนุนวัดบางนมโค ถ้าจำไม่ผิดเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ หลวงพ่อท่านไปวัดบางนมโค ญาติโยมตามไปทำบุญวันนั้นได้สี่แสนบาท ท่านบอกพระครูอุไรว่า ให้เอาเข้าเป็นกองทุนหลวงปู่ปาน แต่ปรากฏว่าถึงเวลาแล้วท่านเอาไปใช้อย่างอื่น หลวงพ่อท่านก็เลยตัดขาด ไม่ไปวัดบางนมโคอีกเลย ท่านบอกว่า “ในเมื่อไม่ฟังกันแล้วจะไปทำไม ?” ถาม : รูปหล่อหลวงปู่ปานที่วัดใหญ่มาก ? ตอบ : จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ เพียงแต่ให้ทำในลักษณะส่งเสริมครูบาอาจารย์ ไม่ใช่ทำเพราะอาศัยชื่อเสียงครูบาอาจารย์ไว้หากิน เจตนาต่างกันนิดเดียว ผลจะออกไปคนละโลกเลย 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-11-2012 เมื่อ 02:05  | 
| สมาชิก 228 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#98  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม :  วัดบางปลาหมออยู่ใกล้นิดเดียว ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : วัดบางปลาหมอ วัดน้ำเต้า วัดเจ้าเจ็ด วัดหน้าต่างนอก ก็อยู่ละแวกนั้นแหละ ถ้าวัดหน้าต่างนอกไม่ได้หลวงพ่อนิลสืบต่อมาก็คงโทรมเหมือนกัน เพราะส่วนใหญ่พอสิ้นครูบาอาจารย์แล้ว ที่เหลือก็มักจะอาศัยวัดเฉย ๆ ไม่ได้อยู่ให้วัดได้อาศัยบ้าง เรื่องของเจ้าอาวาสเป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เจ้าอาวาสใหม่ต่อให้เก่งเท่าเจ้าอาวาสเก่า ญาติโยมก็ยังนึกถึงแต่เจ้าอาวาสเก่า ถ้าเก่งสู้เจ้าอาวาสเก่าไม่ได้ก็จมหายไปเลย วัดวาโทรมทันตา ยังดีว่าหลวงปู่จ้อย วัดบ้านแพน ยังมีสืบสายมาจนปัจจุบัน อย่างหลวงปู่พูนก็ทำให้วัดวาอารามเจริญรุ่งเรืองได้ ถ้าไม่มีสืบสายต่อกันมาก็หมด เจ้าอาวาสวัดบางนมโคจากหลวงปู่คล้ายมาหลวงพ่อปาน มาหลวงพ่อเล็ก มาหลวงตาเจิม แล้วก็มาหลวงพ่อฉัตร แล้วมาหลวงพ่อวัดท่าซุง พอสิ้นรุ่นหลวงพ่อมาแล้วที่เหลือก็ไปไม่รอด พอหลวงพ่อท่านออกมาอยู่วัดสะพาน จังหวัดชัยนาท วัดบางนมโคก็โทรมไปเลย 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-11-2012 เมื่อ 19:22  | 
| สมาชิก 214 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#99  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ส่วนใหญ่มีปัญหาตรงพวกบรรดามัคคนายก ที่มีอำนาจมักจะเป็นญาติเจ้าอาวาส คนอื่นไม่กล้าว่ากล่าว อาตมาไปอยู่ที่ไหนถึงได้ออกระเบียบวัดว่า  ถ้าใครอ้างว่าเป็นญาติพี่น้อง เพื่อนพ้องของเจ้าอาวาสแล้วมาทำผิดระเบียบ ให้ไล่ออกจากวัดแล้วห้ามเข้าตลอดชีวิตเลย   ไม่อย่างนั้นถ้าเอาญาติตัวเองไม่อยู่ก็ปกครองคนอื่นไม่ได้ 
		
		
		
		
		
		
			ไม่ได้แวะเข้าไปดูวัดพิกุล พอสิ้นหลวงปู่ปั้นแล้วไม่รู้เป็นอย่างไรบ้าง ยังมีหลวงปู่ขัน วัดนกกระจาบ ครูบาอาจารย์สมัยนั้นสุดยอดทั้งนั้นเลย ไปตกอยู่ยุคสมัยไล่ ๆ กันหมด มีหลวงปู่จงที่อายุยืนกว่าเพื่อน ต้องบอกว่าหลวงปู่จงท่านทำปาณาติบาตน้อย แล้วก็เมตตาเหลือล้นจริง ๆ ญาติโยมมาถึงเสือกหัวเรือพรวด ล่ามเรือเสร็จสรรพเรียบร้อย ตะโกนว่า “หลวงตา..เฝ้าเรือให้หน่อยนะ จะไปกราบหลวงพ่อหน่อย” แล้วก็วิ่งขึ้นกุฏิท่าน สักพักวิ่งหน้ากระเรี่ยกระราดกลับมา พระท่านบอกว่าหลวงพ่ออยู่ที่ท่าน้ำนั่นแหละ ใช้ท่านให้เฝ้าเรือไปเรียบร้อยแล้ว ท่านก็นั่งอยู่นั่นแหละ เขาถามว่าทำไมท่านไม่ไปกุฏิ ? ท่านบอกว่า “ก็โยมใช้ให้ฉันเฝ้าเรือ ก็เฝ้าให้โยมก่อน” หลวงปู่จงท่านอายุ ๙๐ กว่าเกือบร้อยปี 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-11-2012 เมื่อ 19:24  | 
| สมาชิก 215 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#100  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม :    ช่วงนี้เวลานั่งสมาธิรู้สึกกำลังใจรวมตัวได้ง่ายมากเลย เป็นเพราะว่าเราเริ่มขยันหรือเป็นเพราะว่าช่วงระยะเวลานี้ทำได้ดี ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : หลายอย่างรวมกัน สำคัญที่สุดก็คือต้องทำให้ต่อเนื่อง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็พังอีก..! 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-11-2012 เมื่อ 19:25  | 
| สมาชิก 226 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]()  | 
	
	
		
| ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
		
  | 
	
		
  |