#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ เป็นวันที่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อมฺพรมหาเถร) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เจริญพระชนมายุ ๙๖ พรรษา เกล้าฯ ในนามคณะศิษย์วัดท่าขนุน ขอกราบขอบารมีพระสงเคราะห์ ขอให้พระเดชพระคุณท่านเจ้าพระคุณฯ เจริญพระชนมายุยิ่ง ๆ ขึ้นไป มีพระพลานามัยแข็งแรง อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรแก่คณะสงฆ์ไทยไปชั่วกาลนาน
สำหรับวันนี้ กระผม/อาตมภาพเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หมู่ที่ ๑ ตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อลงทะเบียนเข้าร่วมงานครบรอบ ๔๐ ปีคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พร้อมกับรับคำสั่งแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาคณบดีคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และรับโล่รางวัลคนดีศรีสังคม ซึ่งในงานนี้พระเดชพระคุณพระธรรมรัตนาภรณ์ (สมศักดิ์ โชตินฺธโร ป.ธ.๕), ดร. ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑ เจ้าอาวาสวัดเขียนเขต (พระอารามหลวง) ได้รับอาราธนาให้เป็นประธานในงาน โดยพระเดชพระคุณพระราชวัชรสารบัณฑิต (ประสาร จนฺทสาโร), รศ.ดร. ซึ่งปฏิบัติหน้าที่แทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าคุณสมศักดิ์นั้น ท่านเรียนปริญญาเอกการจัดการเชิงพุทธรุ่นที่ ๑ กระผม/อาตมภาพเรียนปริญญาเอกการจัดการเชิงพุทธ รุ่นที่ ๒ แต่ว่ามาจบพร้อมกัน จึงกลายเป็นเพื่อนร่วมรุ่น มจร.ปริญญาเอก รุ่นที่ ๑๑ ด้วยกัน เมื่อได้พบหน้าก็ยังทักทายกันด้วยความดีอกดีใจ ส่วนอีกท่านหนึ่ง ที่แทบจะกระโดดกอดเลยก็คือ หลวงพ่อแดง - พระครูพิศิษฎ์ประชานาถ (ประยูร นนฺทิโย), ดร. รองเจ้าคณะอำเภออัมพวา เจ้าอาวาสวัดอินทาราม ซึ่งหลวงพ่อแดงนั้น แม้ว่าจะอายุกาลผ่านวัยถึง ๗๓ ปีแล้ว แต่ว่ายังมีความสุขกับการทำงานสาธารณสงเคราะห์ทั่วประเทศไทย ใครไปใครมา ขอความช่วยเหลืออะไร ท่านไม่เคยปฏิเสธ จะมากจะน้อยอย่างไรก็ต้องมีช่วยเขาเสมอ จนได้รับฉายาจากหนังสือพิมพ์เรียกว่า "นักบุญแห่งลุ่มน้ำแม่กลอง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-06-2023 เมื่อ 01:33 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
กระผม/อาตมภาพนั้นจบปริญญาเอกการจัดการเชิงพุทธรุ่นที่ ๒ แต่ว่าหลวงพ่อแดงนั้นจบรุ่นที่ ๗ ถือว่าห่างกันถึง ๕ รุ่น แต่ว่าด้วยความที่จบสาขาเดียวกัน รับหน้าที่พระสังฆาธิการระดับรองเจ้าคณะอำเภอเหมือนกัน อยู่ในเขตปกครองคณะสงฆ์หนกลางเหมือนกัน การงานที่กระทำจึงคล้าย ๆ กัน จนกลายเป็นเครือข่ายกันไปโดยปริยาย
แม้ว่าจะมีโอกาสพบกันในกลุ่มไลน์ทุกวัน แต่ก็สู้พบหน้าตัวจริงกันไม่ได้ แล้วทาง มจร.ก็ยังเมตตาจัดให้สองเกลอนั่งข้างเคียงกันอีก รับรางวัลต่อเนื่องกันด้วย จึงกลายเป็นจุดสนใจของบรรดาผู้ที่เข้าไปร่วมงานทั้งหลาย แต่ว่าเมื่อเสร็จจากการรับรางวัลแล้ว กระผม/อาตมภาพไม่ได้อยู่ร่วมงานต่อ เนื่องเพราะว่ามีนัดกับหมอฟันเอาไว้ เพราะว่าฟันที่อุดเอาไว้นั้นมีอาการคลอน ซึ่งน่าจะเกิดจากการฉันน้ำร้อนแล้วทำให้วัสดุอุดฟันหลวมก็เป็นได้ ซึ่งทฤษฎีนี้ ถ้าหากว่าเป็นหมอทั่ว ๆ ไปก็คงไม่ยอมรับ แต่กระผม/อาตมภาพสังเกตเอง ว่าถ้าหากว่าอุดฟันเอาไว้แล้วฉันน้ำร้อนค่อนข้างอุณหภูมิสูง วัสดุที่อุดฟันมักจะคลอนแล้วก็หลุดในระยะเวลาอันไม่นาน จึงต้องไปรบกวนหมอเพชร (ทันตแพทย์เพชรไพฑูรย์ จันทร์ชูเชิด) เพื่อนรุ่นพี่ ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงปู่มหาอำพัน - ท่านเจ้าคุณพระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ (อำพัน อาภรโณ บุญ-หลง) ป.ธ. ๖ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส ผู้เป็นครูบาอาจารย์รูปหนึ่งที่กระผม/อาตมภาพเคารพรักมากเป็นพิเศษ หมอเพชรได้ใกล้ชิด ถวายการรับใช้หลวงปู่มหาอำพันมาด้วยกัน เมื่อกระผม/อาตมภาพไปบวช ท่านจึงได้ปวารณาทำฟันให้มาโดยตลอด ต้องขอเจริญพรขอบคุณเอาไว้ในที่นี้ด้วย เนื่องเพราะว่าการที่หมอเพชรช่วยสงเคราะห์ทำฟันให้กระผม/อาตมภาพนั้น นอกจากไม่ได้เก็บสตางค์แล้ว ในฐานะที่ลูกค้าเข้ามาใช้บริการ หมอเพชรยังต้องเอาเงินส่วนหนึ่งไปมอบให้กับทางคลีนิค เพราะว่าเป็นการตกลงกันตามสัญญาร่วมงาน ว่าคนไข้เขามาจะต้องแบ่งให้ทางคลีนิคเท่าไร นอกนั้นยังไม่พอ หมอเพชรส่วนใหญ่ยังถวายค่ารถให้เดินทางกลับอีกด้วย จึงเป็นเรื่องที่กระผม/อาตมภาพเกรงใจมาก ถ้าไม่ใช่ว่าไม่ไหวจริง ๆ ก็พยายามที่จะไม่ไปรบกวน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-06-2023 เมื่อ 01:36 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
เรื่องพวกนี้ ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเตือนพระภิกษุสามเณรทั้งหลายว่า ให้ทำตัวเหมือนกับแมลงผึ้ง ก็คือเมื่อนำน้ำหวานและเกสรดอกไม้ไป ก็ไม่ทำให้ดอกไม้นั้นต้องชอกช้ำ ซึ่งกระผม/อาตมภาพนั้น เห็นญาติโยมหลายต่อหลายคนที่ปวารณากับพระภิกษุรูปนั้นรูปนี้เอาไว้ แล้วภายหลังก็ต้องไปขอถอนการปวารณา เพราะว่าท่านขอสิ่งนั้นสิ่งนี้พร่ำเพรื่อมาก จนกระทั่งกลายเป็นการรบกวนญาติโยมมากจนเกินไป
กระผม/อาตมภาพเองนั้น แม้ว่าจะมีญาติโยมปวารณาเอาไว้ถึง ๓๐ กว่าราย แต่ละรายนั้น ถ้าหากว่าเอ่ยชื่อเอ่ยนามสกุลมา จะต้องมีคนรู้จักเป็นจำนวนมาก แต่ว่ากระผม/อาตมภาพก็ไม่เคยรบกวนด้วยการร้องขอใด ๆ เลย เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า พระภิกษุของเรานั้น เมื่อมีอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค พอแก่การแล้ว การที่จะรบกวนญาติโยมด้วยเรื่องอื่นก็ไม่มี ยกเว้นกองบุญการกุศลใด ๆ ที่ตั้งใจจะทำ ก็จะมีเจตนาที่ชัดเจน ประกาศให้ญาติโยมทั้งหลายร่วมบุญได้ ถ้าหากว่าได้ปัจจัย หรือว่าวัสดุเงินทองครบถ้วนแล้ว ก็จะปิดการร่วมบุญไปทันที เรื่องพวกนี้กระผม/อาตมภาพนั้นระมัดระวังเป็นอย่างสูง จะเห็นได้ว่า กระผม/อาตมภาพนั้นแทบจะไม่มีการไปรบกวนใครเป็นการส่วนตัว จะไม่ให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ใดผู้หนึ่งเลย แม้ว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะยิ่งใหญ่ร่ำรวยก็ตาม แม้กระทั่งทุกวันนี้ เพื่อนพระสังฆาธิการหลายรูป ก็ยังเคยปรารภว่า "อาจารย์เล็ก..ช่วยแนะนำลูกศิษย์รวย ๆ ให้ผมสักสองสามคนสิ ผมจะได้ทำงานได้สะดวกขึ้น" กระผม/อาตมภาพบอกกับทุกท่านว่า "กระผมเองไม่เคยรบกวนใครเลย นอกจากญาติโยมมาทำบุญกันเองตามศรัทธา โดยเฉพาะถ้าหากว่าเป็นรายย่อย ๆ มาในลักษณะ ๕ บาท ๑๐ บาท ๒๐ บาท ๕๐ บาท ๑๐๐ บาทนี่จะดีใจมาก เพราะว่างานใดงานหนึ่งถ้าต้องการงบประมาณมาก แล้วท่านทั้งหลายช่วยกันทำในลักษณะแบบนี้ แปลว่ามีบุคคลที่ได้ร่วมบุญกันเป็นจำนวนมาก" แต่ถ้าหากว่าเราบอกบุญกับบุคคลที่มีฐานะดี บางทีท่านก็ทำบุญคนเดียว คนอื่นไม่มีโอกาสที่จะได้ร่วมบุญด้วย กระผม/อาตมภาพจึงโดนผู้ปวารณาต่อว่าอยู่เสมอว่า "ถึงเวลาคนโน้นก็ทำบุญ คนนี้ก็ทำบุญ แล้วเมื่อไรกระผมจะได้ทำบ้าง ?" จนต้องบอกไปว่า "ในส่วนที่เหลือจากคนอื่นก็เป็นของคุณทั้งหมด เนื่องเพราะว่าที่เขาทำบุญมา อย่างไรเสียก็ไม่พออยู่แล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-06-2023 เมื่อ 01:40 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ขอให้ท่านที่เป็นพระภิกษุ สามเณร หรือว่าแม่ชี ได้โปรดระมัดระวังเอาไว้ เพราะว่าการเจริญศรัทธาญาติโยม กับการประทุษร้ายตระกูลของพระพุทธเจ้าด้วยการประจบคฤหัสถ์นั้น มีเส้นกั้นเพียงบาง ๆ เท่านั้น ถ้าหากว่าท่านขยับผิดท่าเมื่อไร ก็จะกลายเป็นว่า ท่านประจบคฤหัสถ์ไปทันที..!
กระผม/อาตมภาพเห็นพระสังฆาธิการหลายท่าน ถึงเวลาเจอบุคคลผู้ร่ำรวย อยู่ในลักษณะ "ขาใหญ่" ที่ให้การอุปถัมภ์ค้ำชูวัด แล้วไปพินอบพิเทา ก็ยังรู้สึกไม่ดีเลย เพราะว่าในความเป็นพระภิกษุ เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส ไม่ใช่ต้องไปลดตัวลงในลักษณะแบบนั้น การที่เราไม่ลดตัวลงไปนั้นไม่ใช่มานะถือตัวถือตน หากแต่เป็นการระมัดระวัง ไม่ไปประทุษร้ายตระกูลของพระพุทธเจ้า เนื่องเพราะว่าในฐานะของปูชนียบุคคล เราเป็นบุคคลที่มีศีลมากกว่าฆราวาสหลายเท่า ฆราวาสชั้นดีอย่างเก่งก็มีแค่ศีล ๘ แต่ว่าพระภิกษุมีศีลอย่างต่ำสุด ๒๒๗ ข้อ ก็แปลว่าอย่างน้อย ๆ มีมากกว่าญาติโยม ๒๑๙ ข้อ..! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เราไปพินอบพิเทา เอาอกเอาใจญาติโยม ก็เหมือนกับโลกตีลังกากลับข้าง เหมือนกับผู้ใหญ่ไปเอาใจเด็กทารก ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ควรกระทำ เพราะว่าเด็กทารกนั้นต่างหาก ที่จะต้องพึ่งพิงผู้ใหญ่ทุกอย่าง ถ้ามองในลักษณะแง่นี้ ทุกท่านก็จะเห็นอย่างชัดเจน ว่าการที่หลายท่านลดตัวลงไปประจบเอาใจญาติโยมนั้น สร้างความเสียหายให้กับพระพุทธศาสนาอย่างไรบ้าง เพราะว่าญาติโยมที่ได้รับการเอาอกเอาใจ เมื่อไปเจอวัดที่ท่านระมัดระวัง ไม่ยอมเอาใจ ก็จะรู้สึกไม่ดี อาจจะมีการตำหนิติเตียนท่านที่ปฏิบัติถูกต้องตามพระธรรมวินัยไปด้วย มีแต่จะทำให้เกิดโทษเปล่า ๆ แล้วถ้าหากว่าท่านติดอยู่กับการเอาอกเอาใจนั้น เมื่อถึงเวลาเข้าไปก็รู้สึกว่าตนเองเป็นผู้ยิ่งใหญ่ มีอำนาจเหนือกว่าพระภิกษุสามเณร แบบนั้นก็จะก่อให้เกิดโทษกับตัวท่านเองหนักเข้าไปอีก..! เป็นเรื่องที่จะให้ญาติโยมระวังเองก็ยาก เราที่เป็นพระภิกษุ สามเณร และแม่ชีจำเป็นต้องช่วยกันระมัดระวัง อย่าให้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้น อย่างน้อย ๆ ก็อยู่ในแนวคิดที่ว่า ถ้าเราไม่สามารถสร้างความเจริญให้กับพระพุทธศาสนาได้ ก็อย่าทำให้พระพุทธศาสนาต้องพังลงไปเพราะมือของเราเองเลย..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-06-2023 เมื่อ 01:43 |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|