#1
|
||||
|
||||
![]()
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมส่งท้ายปี ๒๕๖๓ ของพวกเรา
วันนี้จะขอกล่าวถึงโซ่ข้อกลาง คือเรื่องของสมาธิในไตรสิกขา ได้แก่ ศีล สมาธิ และปัญญา เนื่องจากว่าในการปฏิบัติธรรมนั้น เรื่องของสมาธิภาวนาแทบจะเป็นคำตอบของทั้งหมด ยกเว้นอย่างเดียวก็คือ การพิจารณาเพื่อเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้า ซึ่งจะต้องใช้ปัญญาประกอบค่อนข้างมาก แต่ก็ต้องอาศัยกำลังสมาธิช่วยหนุนเสริมอยู่ดี ฉะนั้น...ในส่วนของสมาธิ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากศีล จึงเป็นโซ่ข้อกลางอย่างชัดเจน เพราะว่าถ้าเราระมัดรังรักษาศีล ก็จะทำให้เกิดสมาธิขึ้นโดยปริยาย เมื่อเรามีสมาธิ สภาพจิตสงบ ระงับ ปัญญาก็จะเกิดขึ้น ไปพินิจพิจารณาจนกระทั่งรู้เห็นร่างกายนี้และโลกนี้ตามสภาพความเป็นจริง ก็คือสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่เที่ยง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา สมาธิจึงเป็นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งยวด แต่เท่าที่สังเกตดูในปัจจุบันนี้ ส่วนของสมาธิภาวนานั้น พวกเรามักจะขาด ถนัดแต่ในเรื่องของการให้ทานและรักษาศีล มากกว่านั้นก็อ้างว่าไม่มีเวลาทำบ้าง อ้างว่ากำลังไม่ถึงบ้าง ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม เป้าหมายใหญ่ของเราก็คือเพื่อความหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพาน ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมีแต่ทานและศีล โอกาสที่จะเข้าถึงพระนิพพานก็น้อย ดังนั้น...จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยกำลังของสมาธิ ที่จะไปควบคุมให้ศีลของเราบริสุทธิ์บริบูรณ์ เนื่องจากว่าเมื่อมีสมาธิทรงตัว สติก็จะตั้งมั่น การระมัดระวังในศีลก็ครบถ้วนสมบูรณ์ เมื่อสติตั้งมั่น สมาธิทรงตัว ปัญญาก็จะเกิด พินิจพิจารณาเห็นตามความเป็นจริงแล้ว ยังต้องอาศัยกำลังของสมาธิ ในการถอนตัวเองออกมาจากความพอใจ จากความไม่พอใจทั้งปวง ก็แปลว่าในส่วนของความพอใจหรือไม่พอใจก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องร้อยรัดเราให้ตกอยู่ในกองกิเลสทั้งสิ้น ดังนั้น...ในแต่ละวัน ท่านควรที่จะให้ความสำคัญกับการกำหนดรู้ โดยเฉพาะกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกเพื่อสร้างสมาธิให้เกิด เมื่อกำหนดดูกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกจนเคยชิน เกิดสมาธิคือทรงฌานขึ้นมาได้ อาการที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ สามารถรู้ลมหายใจและภาวนาเองได้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องบังคับก็เป็นเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-01-2021 เมื่อ 15:06 |
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
ถ้าหากว่าสมาธิเกิดขึ้นในระดับนั้น แล้วเราไม่ได้นำไปใช้งาน เมื่อถึงเวลากิเลสก็จะนำเอากำลังสมาธินั้นไปใช้แทน พาให้เราฟุ้งไปในเรื่องของ รัก โลภ โกรธ หลง แล้วก็จะหักห้ามใจตนเองได้ยาก เพราะว่ากิเลสได้กำลังของสมาธิไปใช้งาน แต่ถ้าหากว่าเรารู้จักใช้ปัญญาพินิจพิจารณา ตัวสมาธิก็จะหนุนเสริมให้เกิดความคล่องแคล่ว ชัดเจน และมีกำลังในการตัด ในการละ ในการถอนตนออกมาจากกองกิเลส
สมาธิจึงแทบจะเป็นคำตอบของการปฏิบัติธรรมเกือบจะทั้งหมด หรือจะเรียกว่าทั้งหมดก็ได้ เพราะว่าท้ายสุดก็ต้องเอากำลังของสมาธิไปประหัตประหารกิเลส ไปถอนตนออกจากหล่มของกิเลส จนกระทั่งเราสามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้ เมื่อเรากำหนดสติสมาธิของเราในแต่ละวันแล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คือเมื่อเลิกจากการปฏิบัติธรรม ซึ่งส่วนใหญ่ของพวกเราหมายถึงการนั่งสมาธิ เรายังต้องรักษาอารมณ์ใจของเราให้ต่อเนื่อง ให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อความผ่องใสในจิตใจของเรา เพื่อที่จะช่วยเสริมในกำลังของปัญญาให้รู้เห็นได้ชัดเจนยิ่ง ๆ ขึ้นไป การที่เราเอาสติจดจ่อ ประคับประคองอารมณ์สมาธิ จึงเป็นเรื่องที่พวกเราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฝึกหัด ปรับปรุงตนเองให้มีความเคยชินในด้านดีอย่างนี้ไว้ ให้รู้จักประคับประคองรักษาอารมณ์การปฏิบัติของเราเอาไว้ ให้ได้เหมือนกับตอนที่เรานั่งสมาธิอยู่ เมื่อเรารู้จักประคับประคองรักษา ก็จะสามารถยืนระยะได้นานยิ่งขึ้น นานขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเคยชิน สภาพจิตที่ตื่นรู้ เราก็สามารถรักษาอารมณ์ใจของเราได้ ไม่ว่าจะหลับหรือตื่น ก็สามารถทรงสมาธิกดกิเลสลงได้ชั่วคราว แล้วใช้กำลังสมาธิไปพินิจพิจารณา ให้เห็นสภาพความเป็นจริงของร่างกายนี้ ของโลกนี้ ว่ามีความไม่เที่ยง มีความเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราเป็นปกติ จนกระทั่งเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ถอนกำลังใจของตนออกจากการยึดมั่นถือมั่น ไม่เห็นสาระแก่นสารในร่างกายของตน ไม่เห็นสาระแก่นสารในร่างกายคนอื่น ไม่เห็นสาระแก่นสารใด ๆ ในโลกนี้ เราก็สามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้ดังที่ทุกคนปรารถนา ลำดับต่อไปก็ขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ วันอาทิตย์ที่ ๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย น้องผักชี)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-01-2021 เมื่อ 15:08 |
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|