|
พระครูสุวรรณเสลาภรณ์ (หลวงปู่สาย อคฺควํโส) ธรรมะ ชีวประวัติ และคำสอนของหลวงปู่สาย อคฺควํโส |
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
![]() เครื่องตัดสินกรรมดี - ชั่ว กรรมใดที่ทำทางกาย ทำทางวาจา ทำทางจิตใจ นึกคิดแล้วทำให้กิเลสความโลภ ความโกรธ ความหลง ฯลฯ ทำให้กิเลสเพิ่มพูนขึ้นในสันดานหรือในจิตอันเป็นกรรมฝ่ายชั่วไม่ควรทำส่วนกรรมฝ่ายใดมีผลตรงกันข้ามกับที่กล่าวข้างต้น เป็นกรรมฝ่ายดีควรทำ ถ้าประสงค์จะทราบหลักการตัดสินที่ยิ่งของพระพุทธองค์ ต้องใช้ลักษณะทั้ง ๒ ฝ่าย ทั้งดีและชั่ว ที่ทรงแสดงแก่พระนางปชาบดีภิกษุณี จึงจะจัดเป็นหลักพิจารณาได้อย่างแท้จริง หลักนั้นพระองค์กล่าวถึงลักษณะตัดสินธรรมวินัย ๘ ประการ คัดลอกจากหนังสืออนุสรณ์งานบำเพ็ญกุศลศพ ครบ ๑ ปี พระครูสุวรรณเสลาภรณ์ (หลวงพ่อสาย อคฺควํโส) อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ต. ท่าขนุน อ. ทองผาภูมิ จ. กาญจนบุรี |
สมาชิก 116 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต สังขิตตสูตร [๑๔๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้พระนครเวสาลี ครั้งนั้นแล พระนางมหาปชาบดีโคตมีเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วประทับยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมโดยย่อแก่หม่อมฉัน ซึ่งหม่อมฉันได้ฟังแล้ว จะพึงเป็นผู้หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่เถิด ฯ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโคตมี ท่านพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า ๑. ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อความกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด ๒. เป็นไปเพื่อประกอบสัตว์ไว้ ไม่เป็นไปเพื่อพรากสัตว์ออก ๓. เป็นไปเพื่อสั่งสมกิเลส ไม่เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส ๔. เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักมาก ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย ๕. เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ ไม่เป็นไปเพื่อความสันโดษ ๖. เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่เป็นไปเพื่อความสงัด ๗. เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ไม่เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร ๘. เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงยาก ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย ดูกรโคตมี ท่านพึงทรงจำไว้โดยส่วนหนึ่งว่า นี้ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัยไม่ใช่คำสั่งสอนของพระศาสดาฯ ดูกรโคตมี ท่านพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า ๑. ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อความกำหนัด ๒. เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้ ไม่เป็นไปเพื่อประกอบสัตว์ไว้ ๓. เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส ไม่เป็นไปเพื่อสั่งสมกิเลส ๔. เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักมาก ๕. เป็นไปเพื่อสันโดษ ไม่เป็นไปเพื่อไม่สันโดษ ๖. เป็นไปเพื่อความสงัด ไม่เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ๗. เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร ไม่เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ๘. เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงยาก ดูกรโคตมี ท่านพึงทรงจำไว้โดยส่วนหนึ่งว่า นี้เป็นธรรมเป็นวินัย เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดาฯ จบสูตรที่ ๓ เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ บรรทัดที่ ๕๙๐๘ - ๕๙๓๓. หน้าที่ ๒๕๕ - ๒๕๖. http://84000.org/tipitaka/read/v.php...33&pagebreak=0 แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-02-2019 เมื่อ 01:59 |
สมาชิก 97 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]() ![]() ![]() ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้ เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย เป็นไปเพื่อสันโดษ เป็นไปเพื่อความสงัด ไม่เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย ![]() |
สมาชิก 61 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ทิพย์ ปทุโม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
|||
|
|||
![]()
ขออภัยที่ไม่ใช่ "ผู้รู้" แต่บังอาจมาตอบตามความเข้าใจของตนเอง
![]() เริ่มจากความหมายของคำว่า "ประกอบ" ที่ใช้กันธรรมดา... ประกอบ ก. เอาชิ้นส่วนต่าง ๆ มารวมหรือคุมกันเข้าเป็นรูปร่างตามที่ต้องการ เช่น ประกอบรถยนต์; ทํา เช่น ประกอบอาชีพ ประกอบธุรกิจ; ประสมหรือปรุงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เช่น ประกอบยา; เสริม, เพิ่มเติม, เช่น อธิบายประกอบ. และตามที่ได้ไปค้นหาอ่านเพิ่มเติมจากพระไตรปิฎก... http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=23&i=167 อรรถกถา อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต สันธานวรรคที่ ๑ ๑๗. ภูมิจาลสูตร อรรถกถาภูมิจาลสูตรที่ ๑๐ จาลวรรคที่ ๒ ...ในบทว่า มาโร ปาปิมา นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้. ชื่อว่ามาร เพราะประกอบสัตว์ไว้ในความพินาศให้ตายไป. บทว่า ปาปิมา นี้เป็นไวพจน์ของบทว่า มาโร นั้นนั่นแล. จริงอยู่ มารนั้น เขาเรียกว่าปาปิมา เพราะประกอบด้วยบาปธรรม. บทว่า ภาสิตา โข ปเนส ภนฺเต ความว่า จริงอยู่ มารนี้มาที่โพธิมัณฑสถาน ในสัปดาห์ที่ ๘ ในเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสรู้สัมโพธิญาณแล้วทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลายเพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้นพระองค์ทรงบรรลุตามพระประสงค์แล้ว สัพพัญญุตญาณพระองค์ทรงแทงตลอดแล้ว ประโยชน์อะไรที่พระองค์จะต้องทรงตรวจดูสัตว์โลกเล่า แล้วทูลอาราธนาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดเสด็จปรินิพพานในบัดนี้เหมือนในวันนี้. หรือ http://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8...B8%95%E0%B8%A3 สฬายตนสังยุตต์ - ปัณณาสกะที่ ๓ - ๕. นวปุราณวรรค - ๖. อนันเตวาสิกานาจริยสูตร พระไตรปิฎก ฉบับธรรมทาน อนันเตวาสิกานาจริยสูตร [๒๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุอยู่ประพฤติพรหมจรรย์นี้อันไม่มีอันเตวาสิก ไม่มีอาจารย์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุยังมีอันเตวาสิก ยังมีอาจารย์อยู่ เป็นทุกข์ ไม่สำราญ ส่วนภิกษุไม่มีอันเตวาสิก ไม่มีอาจารย์ อยู่เป็นสุขสำราญ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุยังมีอันเตวาสิก ยังมีอาจารย์ ย่อมอยู่เป็นทุกข์ไม่สำราญเป็นไฉน ธรรมทั้งหลายอันเป็นบาป เป็นอกุศล คือ ความดำริอันฟุ้งซ่านอันเป็นเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพ ย่อมบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุในศาสนานี้ เพราะ เห็นรูปด้วยจักษุ อกุศลธรรมเหล่านั้นย่อมสิงอยู่ภายในของภิกษุนั้น เพราะอกุศลธรรมสิงอยู่ภายในของภิกษุนั้น เหตุนั้น เราจึงเรียกภิกษุนั้นว่า มีอันเตวาสิก เพราะอกุศลธรรมอันลามกเหล่านั้นย่อมครอบงำภิกษุนั้น เหตุนั้นเราจึงเรียกภิกษุนั้นว่ามีอาจารย์ อีกประการหนึ่ง อกุศลธรรมอันลามก คือ ความดำริอันฟุ้งซ่าน เป็นเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพ ย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุ เพราะฟังเสียงด้วยหู ... เพราะสูดกลิ่นด้วยจมูก ... เพราะลิ้มรสด้วยลิ้น ...เพราะถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ...เพราะรู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจ อกุศลธรรมเหล่านั้นสิงอยู่ภายในของภิกษุนั้น เพราะอกุศลธรรมอันลามกเหล่านั้นสิงอยู่ภายในของภิกษุนั้น เหตุนั้น เราจึงเรียกภิกษุนั้นว่า มีอันเตวาสิก เพราะอกุศลธรรมอันลามกเหล่านั้นย่อมครอบงำภิกษุนั้น เหตุนั้นเราจึงเรียกภิกษุนั้นว่า มีอาจารย์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีอันเตวาสิกมีอาจารย์ ย่อมอยู่เป็นทุกข์ ไม่สำราญ อย่างนี้แล ฯ ดังนี้จึงเห็นว่า ประกอบสัตว์ ก็คือผูกสัตว์ (โลก) ไว้ หากเป็น มาร หรือเป็นอกุศลธรรม ก็จะผูกสัตว์ไว้ในภพ ในวัฏสงสาร นั่นเอง
__________________
การรักษากำลังใจสำคัญที่สุด...ได้ดีอย่าฟู แล้วขณะเดียวกันว่า ถ้าได้ร้ายก็อย่าฟุบ ให้เห็นว่ามันเป็นปกติของมัน เรื่องของมัน ถ้ามันดีมาพออาศัยได้ก็ดีกับมันไป ถ้าหากว่ามันไม่ดีมา เราอยู่กับมันก็ให้รู้อยู่มีสติอยู่ ถึงเวลาก็ต่างคนต่างไปอยู่แล้ว... กำลังใจของเราพลาดแม้แค่วินาทีเดียวนี่ อาจจะหมายถึงแพ้ทั้งกระดาน อะไรมันก็ไม่เจ็บปวดเท่ากับต้องเกิดใหม่ มันเป็นทุกข์ เป็นโทษสุด ๆ จริง ๆ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๕๑ |
สมาชิก 54 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สายท่าขนุน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
ถ้าจะให้เข้าใจง่าย ๆ คือ การปลดปล่อยตัวเองออกจากเครื่องร้อยรัดพันธนาการต่าง ๆ จุดมุ่งหมาย เพื่อให้เข้าถึงพระนิพพาน เวลาอ่านพระไตรปิฎกจึงเข้าใจยาก เพราะมีคำศัพท์ที่อ่านได้ แต่แปลไม่ได้ หรืออ่านไม่ได้ แปลไม่ได้ ไม่รู้ความหมาย
อ่านไป สงสัยไป แล้วสรุปสุดท้ายไม่เข้าใจ หรืออ่านแล้วตีความหมายผิด งงกับการตีความของตัวเอง จึงหันมาฟังเทศนาธรรมแทน แล้วเรามาดูกันว่า ความเข้าใจของผู้ที่เพิ่งเริ่มสนใจเรื่องนี้ จะเข้าใจวลีที่ว่า "การไม่ผูกสัตว์ไว้" ถูกต้องหรือเปล่า ขอบคุณที่มอบแสงสว่างแห่งปัญญาค่ะ ![]() แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ทิพย์ ปทุโม : 19-10-2010 เมื่อ 21:25 |
สมาชิก 51 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ทิพย์ ปทุโม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|