|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
พระอาจารย์กล่าวว่า "อีกไม่กี่เดือนรถไฟฟ้าจะมาลงปากซอยบ้านวิริยบารมี เขากำลังทำสถานีอยู่ อาตมาซื้อที่ตรงนี้แพงเพราะว่าเป็นแนวรถไฟฟ้าพอดี แต่ก็ต้องยอมจ่ายแพงเพื่อความสะดวกในการเดินทางของญาติโยม ปรากฏว่าพอซื้อที่เสร็จ นายกฯ ทักษิณหลุดออกจากตำแหน่ง โครงการของเขาก็เลยโดนดองไว้ นี่เพิ่งจะมาเริ่มกันใหม่
พอดีปีนี้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมพระราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๘๐ พรรษา เขาว่าจะสร้างให้ทันงานฉลอง ก็แปลว่าประมาณสิงหาคมน่าจะเปิดทำการรถไฟฟ้าได้ ถ้าไม่ได้อย่างไรก็ต้องไปเดือนธันวาคม วันพ่อโน่นเลย อาตมาไปอินโดนีเซียเที่ยวนี้ไปเครื่องบินแบบประหยัด มีกระเป๋าติดตัวได้ใบเดียว ซึ่งอาตมาก็เคยชินกับการไปไหนกระเป๋าใบเดียว ทุกครั้งที่ขึ้นเครื่องเขาจะต้องถามตอนตรวจตั๋วว่ามีสัมภาระไหม ? อาตมาไม่เคยมีกับใคร กระเป๋าใบเดียวเที่ยวทั่วไทยไปทั่วโลก..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2012 เมื่อ 05:11 |
สมาชิก 284 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่ครูบาผัด วัดหัวฝาย ต้องบอกว่าท่านท้าทายวิทยาศาสตร์มาก เผาเสร็จไม่ทันไรอัฐิกลายเป็นพระธาตุเลย แล้วที่ท้าทายมาก คือเป็นกระดูกครึ่งหนึ่ง เป็นแก้วครึ่งหนึ่ง สุดยอดจริง ๆ อาตมาดูมาหลายองค์แล้ว องค์อื่นยังไม่เคยเห็นแบบนี้เลย
ทางเหนือเขาจัดงานฌาปนกิจแบบอลังการมาก แต่น่าเสียดายที่เผา ไม่ได้เก็บสังขารเอาไว้เหมือนทางด้านเรา" อัฐิธาตุของหลวงปู่ครูบาผัด แปรสภาพเป็นพระธาตุภายในคืนเดียวอย่างน่าอัศจรรย์ แปรสภาพเป็นพระธาตุเพิ่ม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2012 เมื่อ 05:12 |
สมาชิก 290 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อช่วงก่อนปีใหม่สัก ๒ อาทิตย์ มีห้างใหญ่ลดราคาเครื่องใช้ในครัว อาตมาให้เงินแม่ชีไป ๗ หมื่นบาท กลับมาไม่เหลือสักบาทเดียว..! แม่ชีซื้อของมาเป็นรถกระบะเลย ตอนนี้กำลังพ่นสีชื่อวัดติดของทุกชิ้นกันอยู่ แต่ก็ไม่มีประโยชน์หรอก คนที่เขาหยิบยืมไปใช้ ถ้าจะเอาเสียอย่างต่อให้ติดชื่ออยู่เขาก็เอา ไม่ว่าจะซื้อของมามากแค่ไหน พอโยมยืมไปยืมมาก็จะร่อยหรอไปเรื่อย แล้วก็ต้องซื้อเพิ่มอีก
เรื่องการยืมของ อาตมาพยายามที่จะให้รัดกุมแล้ว แต่บางทีเด็กวัดหรือแม่ชีก็เกรงใจโยม ที่วัดจะมีบัญชีรับส่งอยู่ว่าเขายืมอะไรไป แล้วเอามาส่งคืนครบหรือไม่ แต่ปรากฏว่าพอเขาเอามาส่ง แม่ชีก็ไม่กล้าตรวจสอบต่อหน้าเขาเพราะเกรงใจ เขากลับไปแล้วค่อยมาตรวจใหม่ พอไม่ครบก็ว่าอะไรไม่ได้แล้ว ดูท่าจะต้องเปลี่ยนจากแม่ชีหรือเด็กวัดที่ดูแลให้เป็นพระ แล้วต้องเลือกท่านที่โหด ๆ หน่อยด้วย..! ญาติโยมบางท่านก็ค่อนข้างจะมีอิทธิพลในพื้นที่ เป็นระดับนายกเทศมนตรีบ้าง สมาชิกสภาเทศบาลบ้าง นายกอบต. บ้าง สมาชิกอบต. บ้าง คนในวัดก็ไม่กล้าไปว่าอะไรเขา ส่วนอาตมาด่าตั้งแต่นายอำเภอลงมาถึงภารโรงเลย..! เขาเคยชินแล้วแหละ นายอำเภอคนเก่าโดนด่าไปต่อหน้าเลย บรรดานักการเมืองท้องถิ่นจะโดนบ่อย ส่วนใหญ่เขาจะอยู่ในลักษณะหาเสียง พอถึงเวลาจะประเคนของก็ต้องประกาศเรียกขึ้นมาประเคนทีละคน ๆ อาตมาก็พอรับได้ตรงนี้ เพราะรู้ว่าเป็นลีลาของเขา แต่พอบอกว่าให้ประเคนตอนนี้ เขากลับไม่ทำ พอเลิกงานแล้วดันมาทำ พระก็ยังกลับไม่ได้ ปกติตอนช่วงถวายสังฆทานอาตมาบอกเขาว่า ถ้าใครจะถวายอะไรก็จัดมาตอนนี้เลย เขาก็เฉย ๆ กระทั่งพระยถาสัพพีฯ ญาติโยมกรวดน้ำรับพรเสร็จแล้ว เขาค่อยประกาศเรียกพรรคพวกมาถวาย พออาตมาจับไมค์ได้ก็ด่าส่งไปเลย เพราะถ้าไม่มีใครว่าเขาจริง ๆ ต่อไปเขาก็จะทำผิด ๆ ไปเรื่อย ตกลงว่าอาตมาต้องยอมเป็นคนปากร้ายไปคนเดียว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2012 เมื่อ 05:15 |
สมาชิก 270 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ถาม : รับยันต์เกราะเพชรที่บ้านก็ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จ้ะ อยู่ที่ไหนก็ได้ ขอให้ตั้งใจรับด้วยความเคารพ ต่อให้อยู่ดาวดวงอื่นก็รับได้ บารมีพระที่ท่านสงเคราะห์นี้ไม่มีประมาณ เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่พวกเรามักจะขาดความมั่นใจ อยากจะมารับที่วัด แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่มีหลายรายรับอยู่ที่บ้านแล้วมีอาการระบุชัด ๆ ว่าได้รับแน่นอน ครั้งต่อไปดันไปรับที่วัดอีก แต่ถ้าไปรับที่วัด บางทีสมาธิจะเสียหนัก เพราะว่าคนที่ไปบางรายโดนไสยศาสตร์หรือพวกผีเจ้าเข้าสิงมา พอถึงเวลาเริ่มพิธีก็จะอาละวาดตึงตังโครมคราม ทำให้เราเสียสมาธิ แต่เรื่องพวกนี้เป็นหน้าที่ของท่านท้าวมหาราชและบริวารท่านจัดการ เพราะว่าจะอาราธนาท่านช่วยกำจัดพวกนี้โดยเฉพาะเลย ถาม : ครั้งต่อไปเมื่อไรครับ ? ตอบ : ๒๓ มิถุนายน กับ ๒๐ ตุลาคม ปกติแล้วปีหนึ่งจะมีครั้งหนึ่งหรือสองครั้ง แต่ปีนี้มี ๓ ครั้ง แล้วทุกครั้งที่มีเสาร์ ๕ เหตุการณ์บ้านเมืองจะไม่ค่อยดี ก็เลยจัดพิธีขึ้นมาเพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา คนที่ตั้งใจภาวนารวมกันอยู่หลาย ๆ พันคน พรหมเทวดาที่ท่านดูแลประเทศท่านสามารถเอากำลังที่รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนี้ไปคานกับสิ่งที่ไม่ดีได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2012 เมื่อ 05:16 |
สมาชิก 268 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ถาม : ท่านลาพุทธภูมิแล้วหรือครับ ?
ตอบ : ไม่เอาแล้ว อาตมาตกกระไดพลอยโจน ตามหัวแถวก็คือหลวงพ่อมาเรื่อย จนกลายเป็นว่าระยะเวลาได้ แต่ไม่ใช่ความตั้งใจของตัวเองที่แท้จริง ตอนที่ลาพุทธภูมิครั้งแรกท่านไม่อนุญาต ครั้งที่ ๒ ท่านไม่อนุญาต จนกระทั่งถึงครั้งที่ ๓ ท่านอนุญาตแบบแปลก ๆ ท่านบอกว่าให้ลาได้ แต่งานเดิมทำไปก่อน ฟังแล้วงง ๆ เหมือนกับว่า ถ้าแน่จริงเอ็งก็ไปพระนิพพาน แล้วถ้าไม่แน่จริงก็อยู่ต่อไปเถอะ เลยกลายเป็นคนที่ลาแล้วออกอาการประหลาด ๆ แต่เห็นชัดอยู่อย่างหนึ่งก็คือว่า เรื่องรอบข้างไม่เอาแล้ว สมัยที่ลาพุทธภูมิ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเตือนว่า “เล็ก..แกระวังไว้นะ ลาพุทธภูมิแล้วกำลังจะตก” อาตมาก็มานั่งพิจารณาดูว่าตกตรงไหน สมาธิสมาบัติก็เหมือนเดิม ความบ้าความบวมก็เหมือนเดิมทุกอย่าง พอดูไปดูมาระยะหนึ่งถึงได้เห็นว่าตกจริง ๆ คำว่ากำลังตกตรงจุดนี้ก็คือ ไม่เอาเรื่องคนอื่นแล้ว ถ้าไม่ใช่มาดิ้นพราด ๆ ล้มทับตีนจนเดินหนีไม่ได้ ก็ไม่ช่วยใครแล้ว ไปเองดีกว่า กำลังตกจริง ๆ ก็คือไม่เอาเรื่องคนอื่นแล้ว กำลังใจเหลือแค่นี้เอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2012 เมื่อ 05:17 |
สมาชิก 273 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "บางอย่างก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจ กำลังกายไม่ไหวบางคนก็ท้อเสียแล้ว ตอนนั้นจะเห็นกันชัด ๆ เลยว่า ของใครสะสมมามากกว่า ถ้าพวกสะสมมามากความบ้ายังเหลืออยู่ ก็ยังไปได้เรื่อย
ตอนนั้นอาตมาแบกถังน้ำมันเข้าไปที่ทุ่งใหญ่ ถังละ ๔๐ ลิตร จำนวน ๒ ถัง แบกไปได้..! ตั้งใจจะไปช่วยเขา ตอนแรกตั้งใจว่าจะเดิน ๔๕ กิโลเมตร พอเดินเข้าไปสัก ๒๕ กิโลเมตร ไปเจอคณะของ ดร.บุญส่ง โยกาส ตอนนั้นท่านเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สอนเกี่ยวกับธรณีวิทยา ท่านพาลูกศิษย์ไปเก็บแร่ ท่านเห็นก็สงสัยว่าพระมาทำอะไร ท่านจึงเดินขึ้นจากข้างทางมาถาม พอรู้ความท่านก็เลยเอารถไปส่ง ต้องบอกว่าเรื่องของธรรมะจัดสรรจริง ๆ ไม่อย่างนั้นอาตมาก็เดินอ่วมอรทัยอีกครึ่งค่อนวัน เพราะจะเดินเร่งเต็มที่เหมือนเดินตัวเปล่าก็ไม่ได้ แบกถังน้ำมันไป ๒ ถัง อย่าลืมว่าน้ำมันเบนซิน ๑ ลิตรหนักเกือบ ๑ กิโลกรัม แล้วนี่ ๓๐ - ๔๐ ลิตร ๒ ถังด้วยกัน" ถาม : ไปทุ่งใหญ่ต้องพกอะไรไปบ้างครับ? ตอบ : พกกำลังใจไปเยอะ ๆ วัตถุมงคลอะไรก็ได้ สำคัญที่กำลังใจของเรา ตอนนี้ชวนพระครูหน่อยเท่าไรก็ไม่ไปหรอก ท่านไปทุ่งใหญ่แล้วเจอเสือเข้า เดิน ๆ อยู่จ๊ะเอ๋กับเสือ ตกใจพร้อมกัน เสือนั่นก็บ้า ๙ โมงกว่าแล้วเพิ่งจะกลับ พระครูหน่อยบอกว่า พอเจอเสือแล้วเหมือนอย่างกับความทรงจำหายไปชั่วคราว มารู้ตัวอีกทีตอนอยู่บนยอดไม้แล้ว..! ช่วงที่ขึ้นไปบนต้นไม้ ขึ้นไปอย่างไรท่านไม่รู้เรื่องเลย ไปนั่งใจสั่นอยู่ข้างบนเป็นชั่วโมง จนกระทั่งมั่นใจว่าเสือไม่ได้อยู่แถวนั้นแล้วก็ปีนลงมา แล้วเดินทางต่อ เดินทางไปได้พักหนึ่ง ปรากฏว่าเสือตัวนั้นเกิดสงสัย ว่าเมื่อกี้นี้ตัวอะไรแน่ ก็เลยย่องตามมาดูอีก พระครูหน่อยบอกว่าไม่รู้ความกลัวมาจากไหน คราวนี้วิ่งไม่คิดชีวิตเลย เรื่องของความกลัวเป็นสัญชาตญาณที่ฝังลึกอยู่ ตราบใดที่ยังไม่หายกลัว ก็จะกลัวอยู่ตลอด กลัวทุกเรื่อง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2012 เมื่อ 05:19 |
สมาชิก 261 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
ถาม : เวลาขึ้นไปกราบพระข้างบน ตอนอยู่ที่นั่นหนูรู้สึกว่าทุกอย่างชัดเจน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ แต่พอกลับมาลืมตาปุ๊บ ความรู้สึกเปลี่ยนไปทันที เพราะสภาวะข้างบนกับข้างล่างต่างกันมาก ถ้าที่อยู่ตอนนี้เป็นเรื่องจริง การที่ไปอยู่ข้างบนก็ต้องไม่จริง ที่ไปคุยกับพระอาจจะหลอนไปเองก็ได้ ความรู้สึกแบบนี้แท้จริงดีหรือไม่ ?
ตอบ : ไม่ดี...เพราะหลอกให้ลังเลสงสัย ตัวนี้ที่เรารู้สึกชัดเจนเพราะว่าประสาทตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจอาศัยร่างนี้อยู่ ส่วนทางด้านบนเราสัมผัสด้วยใจ ความชำนาญในการสัมผัสด้วยใจ ถ้าไม่เต็มร้อย เราก็จะยังสงสัยอยู่ตลอดเวลา หลายคนคิดว่าฝันไปกระมัง แต่ให้ฝันแบบนั้นบ่อย ๆ และหมั่นสังเกตว่าตอนช่วงนั้น รัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราได้ไหม ? ถ้ากินใจเราไม่ได้ ให้รักษาอารมณ์ที่ รัก โลภ โกรธ หลง กินใจไม่ได้แบบนั้นให้อยู่กับเราได้นานที่สุด อยู่กับเราในร่างกายนี้ และถ้าทำได้บ่อย ๆ จะดีกับเราเอง ตอนนี้จะจริงหรือไม่จริงช่างมัน ถ้าหมดกิเลสได้ ต่อให้ฝันก็ฝันไปเรื่อยแล้วกัน ถาม : ที่บอกว่าให้ไม่เชื่อไว้ก่อน การไม่เชื่อมีระดับที่เกินไปไหมคะ ? หรือยิ่งมากยิ่งดีเหมือนสติคะ ? ตอบ : ให้รั้งกำลังใจไว้ส่วนหนึ่งอย่าเชื่อทั้งหมด ใช้ปัญญาพิจารณาดูเหตุการณ์ทั่วไป แต่เรื่องแบบนี้เคยโดนหลอกมาเต็ม ๆ เลย เพราะทุกอย่างเขาวางหมากให้เป็นแบบนั้น ทุกอย่างรอบข้างก็จะเป็นไปตามทุกอย่างที่เขาว่ามา จะมีหลายซับซ้อน หลายชั้นหลายเชิงด้วยกัน แต่สำคัญที่สุด ให้มีสติรู้อยู่เสมอว่า เรื่องที่เราทำ..เรารู้ ช่วยในการละกิเลสได้หรือไม่ ? ถ้าหากช่วยในการละกิเลสไม่ได้ สักแต่รู้เห็นกว้างไกลออกไปเรื่อย ๆ ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องไปใส่ใจตามหรอก ดึงกำลังใจออกมาพิจารณาตัดกิเลสของเราดีกว่า เอาเรื่องของการละกิเลสเป็นใหญ่ เรื่องอื่นเก่งแค่ไหนก็ตาม ถ้าละกิเลสไม่ได้ก็ไม่เก่งจริงหรอก ถาม : ในการพิจารณาต้องอยู่ที่อุปจารเท่านั้นใช่หรือไม่คะ ? ตอบ : ไม่ใช่ ถ้าคล่องตัวแล้วระดับไหนก็พิจารณาได้ และการพิจารณาจะชัดเจนเด็ดขาดกว่ากันเยอะ เพียงแต่ว่าเราต้องซ้อมให้คล่องตัว ถ้าหากว่าเกินจากปฐมฌานไปแล้ว ส่วนใหญ่มักจะคิดไม่ได้ ถาม : พยายามถอยลงมาก็ไม่ค่อยเป็น พิจารณาก็ไม่ไป ตอบ : บอกแล้วว่าซ้อมการเข้าออกฌานให้คล่องไว้ ถาม : เส้นคั่นระหว่างความมั่นใจแล้วยั้งไว้ กับที่เขาทำให้เราลังเลสงสัย เส้นคั่นอยู่ตรงไหนคะ ? ตอบ : บอกแล้วว่าเอาการละกิเลสเป็นหลัก ถ้าหากพิจารณาดูแล้วช่วยในการละกิเลสหรือตัดราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลงได้ เราก็เอา ถ้าอะไรที่ช่วยตรงนี้ไม่ได้ก็ไม่ต้องไปใส่ใจ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2012 เมื่อ 05:21 |
สมาชิก 236 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
ถาม : ควรเรียนต่อดีไหมคะ ?
ตอบ : ถ้ายังมีไฟก็เรียนสิจ๊ะ การเรียนควรจะต่อเนื่อง แต่ถ้าหมดไฟแล้ว ไปทำงานสักระยะหนึ่งก็จะอยากกลับมาเรียนใหม่ ถาม : ระหว่างในประเทศกับต่างประเทศ ที่ไหนดีกว่า ? ตอบ : เดี๋ยวนี้ไม่ว่าในประเทศกับต่างประเทศก็ไม่ต่างกันเท่าไรหรอก ไปต่างประเทศเปลืองค่าใช้จ่ายกว่าด้วย ลำบากให้พ่อแม่ต้องห่วงใยอีก จะเรียนที่ไหนก็ตาม ถ้าหากว่าเอาจริงก็โกยมาได้เยอะแยะเหมือนกัน แต่ถ้าไม่เอาจริงก็แย่พอกันนั่นแหละ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2012 เมื่อ 05:22 |
สมาชิก 236 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "แนวคิดของวัดอัปสรสวรรค์ เขาถือว่าพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเราได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้ามาทั้งหมด ๒๔ พระองค์ รวมพระองค์ท่านด้วยก็เป็น ๒๕ พระองค์ แต่ในกัปที่พระองค์ท่านได้รับพยากรณ์นั้นมีพระพุทธเจ้ามาก่อนแล้ว ๓ พระองค์ รวมทั้งหมด ๒๘ พระองค์ วัดอัปสรสวรรค์ก็เลยสร้างพระประธาน ๒๘ พระองค์ เป็นพระประธานหน้าตักประมาณ ๑ ศอก และจัดได้สวย แต่คนเข้าไปก็จะแปลกใจว่า ทำไมในโบสถ์มีพระประธานองค์เล็ก ๆ ของเขาเล็กก็จริง แต่เยอะมาก คนโบราณทำอะไรเกี่ยวกับศาสนา เขาจะทุ่มเทจริง ๆ นี่เขาปั้นหุ่นทีละองค์ ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ถอดแบบได้ เพราะฉะนั้น..พระประธานแต่ละพระองค์ที่เขาปั้น อย่างเก่งจะมีหน้าตาใกล้เคียงกัน แต่ไม่ได้เหมือนกันสักองค์"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2012 เมื่อ 05:23 |
สมาชิก 242 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
ถาม : มาทำบุญให้ผู้ที่เสียชีวิตไปค่ะ เพราะพี่เขามาหา
ตอบ : การที่ผีมาหาเพราะว่าเขามาหาคนที่มีบุญ เมื่อเราทำบุญเขายิ่งมาหาใหญ่เลย (หัวเราะ) อันนี้ขู่นะจ๊ะ ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ ส่วนใหญ่แล้วคนที่ตายก่อนหมดอายุขัย ภาษาชาวบ้านเรียกว่าตายโหง คือไม่ได้ตายแบบปกติ ด้วยความเคยชินของเขา พอตายแล้วเขาจะกลับบ้าน หรือไปหาคนที่เขาคุ้นเคยก่อน ถ้าหากว่าเขาได้บุญไป เขาก็จะมีความสบาย ก็จะห่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ แต่มีข้อแม้อย่างหนึ่งว่า แรก ๆ ที่ตายเขาจะไปหาคนที่ยังไม่รู้ข่าวว่าเขาตาย คนรู้แล้วไม่เป็นไรหรอก เขารู้ว่ามาหลอกต้มเราไม่ได้แล้ว เมื่อสัก ๗-๘ ปีก่อน มีโยมพี่อยู่คนหนึ่งที่รู้จักมักคุ้นกันมาก น้องชายเขาตกตึกตาย...ตกตึกตายนะไม่ได้กระโดดตึกตาย พอเขาตายพี่เขาก็โทรศัพท์ไปบอกเพื่อนของน้องชายว่า น้องตายแล้วให้มารดน้ำศพด้วย เพื่อนน้องชายก็โวยวายว่าเป็นไปได้อย่างไร เพราะเมื่อครู่ยังช่วยผมยกเก้าอี้อยู่เลย คือเขาจัดงานเลี้ยงที่บ้าน ผีก็ไปช่วยงานเพื่อน ไปช่วยจัดโต๊ะจัดเก้าอี้ให้ เพื่อนก็เลยไม่เชื่อ แห่กันไป ๕-๖ คน ขอเปิดโลงดู ปรากฏว่าตายจริง นั่นแหละส่วนใหญ่เขาจะไปหาคนที่ยังไม่รู้ ถ้ารู้แล้วเขาไม่กวนหรอก เพราะไม่สามารถที่จะหลอกได้แล้ว ดีแล้วจ้ะที่พวกเรารู้จักทำบุญไปให้ เพราะว่าบางคนในช่วงที่มีชีวิตอยู่ไม่ได้สั่งสมในส่วนของบุญกุศลเอาไว้ เราเองไปช่วยเขา ถึงเวลาเขาก็จะได้รับความสุขสะดวกสบาย ถ้าหากว่ามีอะไรไม่เกินวิสัย เขาก็จะช่วยสงเคราะห์เราได้ บอกเขาไปว่าหาลูกค้ามาให้เยอะ ๆ แล้วฉันจะทำบุญให้แกอีก ถาม : ทำอย่างไรให้เขาพ้นทุกข์ตรงนั้น ? ตอบ : ไม่ต้องกังวลจ้ะ ทำบุญให้เขาไป เขาได้ส่วนกุศลตรงนี้แล้วก็จะได้มีความสบายกว่าเดิม พอเขาอยู่ครบอายุขัยของความเป็นมนุษย์ เขาก็จะไปเอง ตอนช่วงนี้จะเป็นส่วนที่บาลีเขาเรียกว่าสัมภเวสี บุคคลที่ยังไม่หมดอายุความเป็นมนุษย์ เขาก็จะวนเวียนไปเรื่อย ๆ ไปสวรรค์ก็ไม่ได้ ไปนรกก็ไม่ได้ พอหมดอายุขัยความเป็นมนุษย์แล้ว เขาสามารถที่จะไปรับความดีที่เราทำให้ได้ ก็เท่ากับว่าขึ้นข้างบนไปเลย แต่คราวนี้ไม่ต้องกังวล เพราะว่าอาจจะเหลือเวลาอีกตั้งนาน วันหนึ่งของเขาเท่ากับ ๕๐ ปีของเรา เขาเดินเล่นอยู่ครึ่งค่อนวันเดี๋ยวก็ไปแล้ว เวลาต่างกันมาก จะเห็นได้ว่าเวลาเรามีความสุขแวบเดียวก็ผ่านไปแล้วครึ่งค่อนวันไม่รู้ตัว ของเขาก็เหมือนกัน ถ้าอยู่ในที่สบายเวลาผ่านไปเร็ว อย่ากังวลมาก ถ้ากังวลมากเราจะคิดถึงเขาตลอดเวลา เท่ากับว่าสื่อถึงเขา เดี๋ยวเขามาเยี่ยมบ่อย คิดถึงนี่เท่ากับต่อโทรศัพท์หา เดี๋ยวเขาแวะมาเยี่ยม ประตูบ้านแข็งแรงดีไหม ? เดี๋ยวเขามาหาเราจะวิ่งทะลุประตูเป็นรูปคนไปเลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2012 เมื่อ 05:25 |
สมาชิก 231 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
คนเราในอดีตเคยสร้างกรรมมา ถ้าเป็นกรรมที่ฆ่าคนหรือฆ่าสัตว์ใหญ่เอาไว้ ถึงวาระเศษกรรมที่มาถึง อุปฆาตกรรม กรรมที่มาตัดรอนให้ถึงแก่ชีวิต จะทำให้คิดผิด ตัดสินใจผิดได้ง่ายมากเลย เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของการตัดสินใจฆ่าตัวตาย เพราะกรรมเดิมมาถึง
แต่อุปฆาตกรรมมีทั้งฝ่ายที่เป็นกุศลและเป็นอกุศล ถ้าหากว่าฝ่ายที่เป็นอกุศลก็ทำให้เราคิดผิด อาจจะถึงขนาดฆ่าตัวตายหรือว่าฆ่าคนอื่นก็มี แต่ถ้าหากเป็นฝ่ายกุศลเข้ามา ก็จะมาตัดรอนสิ่งที่ไม่ดีทั้งหมด เหมือนอย่างกับพลิกฟื้นคืนมาใหม่ แบบเดียวกับพระองคุลีมาล ฆ่าคนมาเป็นพัน แต่พอถึงเวลาอุปฆาตกรรมฝ่ายกุศลเข้ามา ได้พบพระพุทธเจ้า ได้บวชปฏิบัติกลายเป็นพระอรหันต์ จากมหาโจรวางดาบกลายเป็นพระอรหันต์ นั่นก็คืออุปฆาตกรรมฝ่ายกุศลที่มาช่วย แต่ถ้าฝ่ายอกุศลต้องอย่างพระเทวทัต ปฏิบัติจนได้อภิญญาสมาบัติ แสดงฤทธิ์ได้มากมายมหาศาล แต่พออุปฆาตกรรมฝ่ายอกุศลเข้ามาถึง เกิดคิดผิด เห็นว่าตัวมีความสามารถในการปกครองคณะสงฆ์แทนพระพุทธเจ้าได้ ก็ตั้งใจที่จะฆ่าพระพุทธเจ้าเพื่อที่จะยึดตำแหน่งแทน หน้าที่ของกรรมตัวนี้ก็คือ มาตัดรอนสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ถ้าหากว่าดีอยู่ก็จะกลายเป็นเลว ถ้าหากว่าเลวอยู่จะกลายเป็นดี ตรงกันข้ามหมด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2012 เมื่อ 05:26 |
สมาชิก 233 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
ถาม : ปกติแล้วเวลาผมสวดมนต์แผ่เมตตา ผมจะอธิษฐานให้เจ้ากรรมนายเวรตลอด แต่มีอยู่วันหนึ่งเหมือนเห็นมโนภาพว่าเขามากันเยอะ ไม่ทราบว่าเขามากันเพื่ออะไรครับ ?
ตอบ : เราจะเรียกหรือไม่เรียก เจ้ากรรมนายเวรเขาก็มาเป็นปกติ รอวาระบุญเราขาดช่วงลง เขาก็จะสอยเราร่วงตอนนั้น..! ถ้าเราเห็นเขาได้ก็ดี จะได้ไม่ประมาท
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2012 เมื่อ 05:26 |
สมาชิก 233 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อเดือนก่อนไปรับพระราชทานสัญญาบัตรพัดยศกับผ้าไตร ที่วัดพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี เจอหลวงตาวัชรชัย กลายเป็นรักษาการเจ้าคณะอำเภอไปแล้ว เดี๋ยวก็คงจะมีรับสั่งแต่งตั้งอีกไม่นาน
เพื่อน ๆ พระสังฆาธิการทางทองผาภูมิ เขาบอกว่าอาตมาไม่ยอมเอาตำแหน่งกับเขาสักที พอถึงคราวตัวเองแล้วก็ไม่เอา ผัดผ่อนไปเรื่อย ปรากฏว่าหลวงปู่พูน วัดบ้านแพน ก็เพิ่งจะรับพัดยศไปเหมือนกัน (หัวเราะ) ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไรหรอก เราอย่างเก่งก็เป็นแค่หลวงพ่อ แต่นั่นหลวงปู่แล้วเพิ่งจะรับเอง มีอยู่ ๖ รายที่ไปรับไม่ไหว นอนโรงพยาบาล และมีอีก ๗-๘ รายที่ต้องใส่รถเข็นเข้าไปรับ เจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ ทำงานหนักมากเลย นอกจากจะต้องรับแทนแล้ว ยังต้องเข็นรถให้ท่านเข้าไปรับอีกต่างหาก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2012 เมื่อ 05:27 |
สมาชิก 229 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่กระโดดตึกตาย จริง ๆ แล้วต้องกล้าหาญมาก สมัยที่อาตมายังเรียนทหารอยู่ จะมีการฝึกกระโดดร่ม ขนาดว่ามีสายโยงแน่นหนามาก เพื่อนบางคนยังยืนขาสั่นพั่บ ๆ เลย ไม่กล้ากระโดด ครูฝึกต้องเมตตาถีบส่งให้ ไม่มีรุ่นไหนที่ไม่โดนถีบหรอก โดนถีบทุกรุ่น..!
เขาทำวิจัยกันแล้วว่าระยะสูงตั้งแต่ ๓๒ ฟุตขึ้นไป มนุษย์ทุกรูปทุกนามจะมีความกลัวอยู่ เพียงแต่จะกลัวแล้วกล้าทำหรือไม่กล้าทำ คนที่กลัวแล้วไม่กล้าก็จะโดนถีบ ครูฝึกจะช่วยถีบให้ แล้วเขาก็เลือกให้กระโดดร่มในระยะที่คนกลัวพอดี พอเป็นอย่างนั้นไม่ว่าคนที่กลัวความสูงหรือไม่กลัว ไปถึงตรงนั้นก็เสียววาบทุกคน เพียงแต่ว่าตอนที่กระโดดร่มจริง ขออย่างเดียวคือขอพับร่มเอง ถ้าตายก็ขอให้ตายเพราะเราผิดพลาดเอง อย่าเป็นเพราะคนอื่นเขาพลาดเลย เพราะฉะนั้น..พอถึงเวลากระโดดร่มทุกคนจะขอพับร่มเอง ถ้าคนอื่นพับให้แล้วร่มไม่กาง ตายเป็นผีจะตามไปหลอก..! (หัวเราะ)"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2012 เมื่อ 05:28 |
สมาชิก 227 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานเป่ายันต์เกราะเพชรที่ผ่านมา เขาออกแบบบายศรีเป็นมังกรพันต้นบายศรีอยู่ ๔ ทิศ แล้วมีเจ้าแม่กวนอิมประทับบนหลังหงส์อยู่ตรงกลาง เป็นฝีมือของพระจำเนียรกับพระคมสันเหมือนเดิม ท่านมีฝีมือด้านนี้จริง ๆ
โดยเฉพาะเกล็ดมังกรเสียเวลาเย็บมากเป็นพิเศษ ปกติเวลาเย็น ๆ บายศรีก็เสร็จแล้ว แต่ว่าครั้งนี้เจอมังกรเข้าไป ๔ ทิศ ไปทำเสร็จตอนตี ๔ ยังดีนะที่เสร็จตี ๔ เพราะพุทธาภิเษกตอน ๗ โมงครึ่ง ถ้าไปเสร็จเอา ๗ โมง ดีไม่ดีอาตมาจะหัวใจวายไปด้วย เพราะต้องมาลุ้นว่าจะเสร็จหรือเปล่า ? เขาทำเป็นมังกร ๕ เล็บ ตามความเชื่อของชาวจีน ถ้ามังกร ๕ เล็บจะเป็นมังกรแท้ สืบสายตระกูลของพญามังกรในทะเลทั้งสี่ แต่ถ้าหากว่าเป็นมังกร ๔ เล็บจะเป็นมังกรแปลง คือสัตว์อื่นอย่างงูหรือปลาบำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นมังกรขึ้นมา ถ้าเราดูภาพมังกรของจีนแล้วมีความเข้าใจ จะแยกแยะออกว่าเป็นมังกรแท้หรือมังกรแปลง แต่จะว่าไปแล้วมังกรแท้ก็คงจะเหมือนลูกเจ้าลูกนาย มีชาติมีตระกูล แต่มังกรแปลงต้องดิ้นรนจนตนเองประสบความสำเร็จ จริง ๆ แล้วน่าเลื่อมใสกว่า สมัยก่อนคนจีนเขาเชื่อว่า ถ้าปลาหลีฮื้อว่ายข้ามสามโตรกแยงซีเกียงได้ก็จะกลายเป็นมังกร เพราะว่าจุดสุดท้ายเป็นประตูมังกร ปลาต้องว่ายทวนน้ำไป จากแม่น้ำกว้างเป็นกิโล ๆ โดนบีบเหลือกว้างแค่ไม่กี่ร้อยเมตร น้ำจำนวนมหาศาลที่โดนบีบ ถ้าปลาไม่แข็งแรงจริงว่ายทวนขึ้นมาไม่ได้ เขาก็เลยเชื่อกันว่าถ้าปลาว่ายผ่านตรงนั้นได้จะเป็นมังกร"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2012 เมื่อ 05:30 |
สมาชิก 229 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยอาตมาอยู่วัดท่าซุงไม่เอาเรื่องก่อสร้างเลยนะ นอกจากอยู่เวรอยู่ยามแล้ว เวลาที่เหลือภาวนาอย่างเดียว พอออกจากวัดท่าซุงมา ตั้งแต่อาทิตย์แรกถึงอาทิตย์สุดท้ายก่อสร้างมาแทบทุกวัด ข้าวของราคาเท่าไรรู้หมด พูดง่าย ๆ ว่าปัจจุบันนี้ราคาในท้องตลาดเท่าไร ต้องใช้ประมาณเท่าไร แค่มองด้วยสายตาก็รู้แล้วว่าต้องใช้เงินเท่าไร
อย่างรถเอาเหล็กข้ออ้อยขนาด ๒๕ มิลลิเมตร มาลง ๑ คันรถ อาตมามองวูบเดียวบอกได้เลยว่าไม่หนี ๔ แสนบาท พอเขาส่งใบเสร็จมา ราคา ๔ แสน ๔ หมื่นกว่าบาท พอรถเอามาลงอีกหนึ่งคัน บอกได้เลย คันนี้ค่าเหล็ก ๖ แสนกว่าบาท เรื่องคำนวณต้องยกให้อาตมาคนหนึ่ง ทำจนชำนาญขนาดมองก็รู้ว่าเท่าไร"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2012 เมื่อ 05:31 |
สมาชิก 238 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
ถาม : ที่หลวงพ่อฤๅษีเคยบอกว่า คนผิดศีลข้ออทินนาทาน กฎแห่งกรรมก็คือทรัพย์สมบัติที่มีจะถูกทำลายโดยภัยธรรมชาติ หรือภัยต่าง ๆ ในกรณีที่เพื่อน ๆ ผมที่ทำงานถูกน้ำท่วม และทรัพย์สินเสียหาย ควรจะมีการชักชวนเขามาชำระพระหนี้สงฆ์ ไม่ทราบว่าผลจะตรงหรือไม่ครับ ?
ตอบ : สิ่งที่เราทำเป็นความดีใหญ่ แต่ผลไม่ตรง เพราะว่าทรัพย์สินเสียหายเกิดจากกรรมเก่าที่เราสร้างมาในอดีต ส่วนบุญใหม่ที่เราสร้างในปัจจุบันเป็นส่วนของบุญ บุญกับกรรมนี่ต่างคนต่างอยู่ ถึงเวลาต่างคนต่างให้ผล เพราะฉะนั้น..ทำไว้ดีกว่าไม่ทำ แต่ไม่ใช่การแก้กันโดยตรง ในเรื่องของการสูญเสียทรัพย์สิน มีเคล็ดลับง่าย ๆ ว่าให้ปล่อยนกบ่อย ๆ สักเดือนละตัวสองตัวก็ได้ ถ้าปล่อยนกจะป้องกันในเรื่องของการสูญเสียทรัพย์สินได้ เพราะถึงเวลานกบินไปแล้วไปลับ ก็ปล่อยนกไปแทน จริง ๆ โบราณเขาเก่งเหมือนกัน การปล่อยสัตว์อย่างปล่อยนก จะมีอานิสงส์พิเศษคือป้องกันเรื่องข้าวของสูญหาย ทรัพย์สินเสียหาย เรื่องของการปล่อยปลา ถ้าทำเป็นประจำจะมีความเป็นอยู่คล่องตัว คนอื่นเขาลำบากแค่ไหนเราก็ไปได้เรื่อย เหมือนปลาที่แถกเหงือกไปเรื่อย ๆ เพื่อไปหาที่อยู่ใหม่ แต่นี่เราปล่อยลงแม่น้ำใหญ่ ก็ยิ่งสบายใหญ่เลย การปล่อยไก่จะตัดเคราะห์กรรมใหญ่ได้ แต่ถ้าเคราะห์กรรมประเภทอุปฆาตกรรมหนักจะถึงแก่ชีวิต ให้ปล่อยพวกวัวหรือควาย ที่ว่ามานี้ถ้าได้สัตว์ประเภทที่เขากำลังจะฆ่าได้ก็ยิ่งดี เพราะว่าเท่ากับใช้ชีวิตแลกกัน เรื่องของการปล่อยสัตว์นอกจากได้เมตตาบารมีแล้ว ยังมีอานิสงส์พิเศษที่ว่ามาอีกด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2012 เมื่อ 11:16 |
สมาชิก 220 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยไปเจอปูทะเลแล้วปล่อย อาตมาเรียนถามว่ามีอานิสงส์พิเศษอะไรครับ ? ท่านบอกว่าหลวงปู่พระครูโวทานธรรมาจารย์ วัดดาวดึงษาราม ฝั่งธนบุรี เป็นอาจารย์สอนเทศน์ของหลวงพ่อท่าน เคยปล่อยปูด้วยความสงสาร ท่านบอกว่า "ไอ้ปูอีปูเอ๊ย..ข้าจะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้า พวกเอ็งไม่ต้องตามไปเกิดเป็นบริวารของข้าหรอกนะ ข้าปล่อยพวกเอ็งไม่ได้ต้องการให้พวกเอ็งไปเป็นบริวารของข้า ข้าปล่อยพวกเอ็งเพราะต้องการให้พวกเอ็งพ้นทุกข์เท่านั้น"
ปูโดนมัดมาทั้งวัน บางตัวพอตัดเชือกออกมาขาหลุดหมดเลย คนเรานั่งนิ่ง ๆ ท่าเดียวก็แย่แล้ว แต่นี่โดนมัดด้วย ปรากฏว่าพอหลวงปู่ท่านปล่อยปูไปไม่นาน อาการที่ท่านเคยปวดหลังเมื่อยเอวอยู่ ๆ ก็หายไปเฉย ๆ หลวงปู่ท่านก็เลยคิดขึ้นมาได้ว่า น่าจะเป็นอานิสงส์ของการปล่อยปูให้พ้นจากการโดนมัด ท่านก็เลยเอามาเล่าให้ลูกศิษย์ฟัง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็จำไว้ ถึงเวลาหลวงพ่อท่านก็มาปล่อยบ้าง เพราะฉะนั้น..เรื่องของการปล่อยสัตว์ บางทีอานิสงส์พิเศษบางอย่างก็มีชนิดที่เรานึกไม่ถึง แต่ถ้าเกี่ยวกับข้าวของที่สูญหายหรือเสียหาย ก็ให้ปล่อยนกแทน ปล่อยเดือนละตัวสองตัวก็ได้ อาตมาเองถ้าไปวัดเชียงมั่นที่เชียงใหม่ ไปไหว้พระแก้ววัดเชียงมั่น ก็จะปล่อยนกเขา เพราะว่าตรงนั้นจะมีนกเขาให้ปล่อย ที่อื่นไม่เคยเจอ ไปถึงก็ต่อรองราคากันสนุกสนานเฮฮา ตอนหลังเขาจำได้แล้ว ไปถึงเขาก็วิ่งมาให้ปล่อยเลย แรก ๆ เขาก็ถาม "ปล่อยนกบ่เจ้า" อาตมาบอกว่า "นกชนิดนี้ไม่ปล่อยหรอก ชอบกินมากกว่า" ญาติโยมก็หัวเราะกันสนุกสนานเฮฮา แรก ๆ จะขายตัวละ ๑๕๐ บาท ต่อไปต่อมาเหลือแค่ตัวละ ๘๐ บาท หายไปครึ่งหนึ่ง อย่าไปเชื่อเขานะว่าปล่อยชีวิตสัตว์แล้วต่อราคาไม่ได้ ต่อไปเถอะ..เพราะเงินที่เหลือเราเอามาซื้อปล่อยเพิ่มได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2012 เมื่อ 14:56 |
สมาชิก 218 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
มีอยู่รายหนึ่งมาบอกกับอาตมาว่า "หลวงพ่อครับ..ผมไปดูหมอมา เขาบอกว่าให้ปล่อยปลาไหลเท่าอายุ ต้องเขียนชื่อตัวเองและวันเดือนปีเกิดติดตัวปลาไหลไปด้วย" อาตมาได้ยินก็หัวเราะก๊ากเลย ถามว่า "ตกลงตายห่าหมดเลยใช่ไหม ?" "หลวงพ่อรู้ด้วยหรือครับ ?"
"จะไม่ตายได้อย่างไร ? ปลาไหลตัวลื่น ๆ เขียนไม่ได้ ถ้าคุณจะเขียนชื่อได้ คุณต้องเช็ดจนเมือกหมดก่อน ถ้าปลาไหลไม่มีเมือกก็เหมือนคนโดนถลกหนัง แล้วจะไปเหลืออะไร" ท้ายสุดเขาบอกว่าตายหมดจริง ๆ อาตมาเป็นเด็กบ้านนอกอยู่กับทุ่งอยู่กับนา รู้จักสัตว์พวกนี้ดี ที่น่าอนาถที่สุดคือ ตามทุ่งนาตอนหน้าแล้งเขาจะเผาตอซัง ก็คือตอข้าว พอเผาแล้วก็เป็นขี้เถ้าไปทั้งทุ่ง พอฝนลงขี้เถ้าพวกนี้จะไหลไปในรูปลาไหล โอ้โห..เหมือนกับโดนน้ำกรดราด เพราะปลาไหลพวกนี้แพ้ขี้เถ้า ก็ตะกายขึ้นมาเต็มทุ่ง แล้วที่ตะกายขึ้นมาไปไหนก็ไม่รอดแล้ว เพราะโดนไปเต็ม ๆ เหมือนคนโดนน้ำกรดราดไปทั้งตัว อาตมาเองเห็นทีไรสยองทุกที เขาไม่ได้เจตนาหรอก เป็นผลพลอยได้ เพราะชาวนาต้องเผาตอซังเพื่อให้เป็นปุ๋ยทุกปี แต่พอถึงเวลาฝนตกแล้ว น้ำที่เกิดจากขี้เถ้าไหลลงไป เรียบร้อย..เล่นเอาปลาไหลเผ่นขึ้นมา เก็บกันทีเป็นหาบ ๆ เลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2012 เมื่อ 14:59 |
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าปล่อยปลาแล้วปลาใหญ่มากินละครับ ?
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ อย่าไปเสียกำลังใจ ปล่อยไปแล้วตายหรือปลาใหญ่มากินไปก็ช่างเถอะ เพราะเราได้ปล่อยแล้ว แต่ปลาที่เราปล่อยไปแล้วมีปลาอื่นมากินเข้า เพราะกรรมเขาไม่พ้นที่จะต้องตาย เขาไปก่อกรรมไว้กับอีกฝ่ายหนึ่ง พอถึงเวลาเขาก็มาเอาคืนพอดี ตอนอาตมาอยู่วัดท่าซุง ไปเจอกบที่ไข่ไว้บนพื้นซีเมนต์ที่สวนไผ่ ๖ ไร่ พอไข่เป็นลูกอ๊อดพอดีน้ำตรงนั้นจะแห้ง อาตมาจึงเอาช้อนไปตักขึ้นมาทีละช้อน ๆ ใส่ถังได้ครึ่งค่อนถัง ก็เอาไปปล่อย เทลงที่แม่น้ำหน้าวัด อาตมาก็ไม่นึกว่าจะพาพวกเขาไปตาย เพราะที่หน้าวัดมีปลากระแหเป็นฝูง ๆ เลย พอเทลงไปปลากระแหก็ว่ายมาเมียง ๆ มอง ๆ พอเห็นว่ากินได้ก็พุ่งเข้าใส่เลย พึ่บพั่บ ๆ พักเดียวเป็นพัน ๆ ตัวหมดเกลี้ยง..! ถ้าโยมเจออย่างอาตมาคงใจฝ่อตาย ตั้งใจจะช่วยแท้ ๆ กลายเป็นทำให้พวกเขาตายเร็วขึ้น แต่ความจริงเราต้องแยกแยะให้ออก เราไม่ได้เจตนาจะทำให้เขาตาย จะปล่อยเขาให้รอด แต่ดันลงไปที่ดงปลากระหายเลือดพอดี อาตมาเคยปล่อยปลาดุก ปลากระแหมาดึงหนวดปลาดุกไปกินเกลี้ยงเลย อะไรที่ยื่นเกินออกมาโดนดึงไปกินหมด แล้วอย่างลูกอ๊อดก็ตัวละคำพอดี
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2012 เมื่อ 15:01 |
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|