|
#1
|
||||
|
||||
|
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๘
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
| สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#2
|
||||
|
||||
|
วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ เมื่อครู่นี้การขึ้นบทขัดธัมมนิยาม ถ้าคราวหน้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ ให้หายใจลึก ๆ สัก ๓ - ๔ ครั้งก่อน ไม่อย่างนั้นก็ได้นั่งสั่นอยู่แบบนั้นแหละ..! เนื่องเพราะว่าสมาธิของเราไม่สามารถที่จะใช้งานจริงได้ ถ้าสมาธิใช้งานจริงได้ สภาพจิตจะมั่นคง พูดง่าย ๆ ว่า "ไม่ประหม่า"
ถ้าหากว่ามาสายเวทมนตร์คาถา ก็เอาบทในภาณพระไปใช้ได้ บาลีท่านว่า "สีหะนาทัง นะทันเตเต ปะริสาสุ วิสาระทา" คือ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอยู่ในหมู่พุทธบริษัท ประหนึ่งพญาสีหราชแผดสีหนาท ก็คือไม่มีอะไรที่ต้องไปเกรงกลัวใคร..! เพราะฉะนั้น..พวกเราจะเห็นว่าคนโบราณส่วนใหญ่แล้วเขาจะมีครูบาอาจารย์ มีพระรัตนตรัย หรือว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเครื่องยึด ถึงได้กล้าออกรบ กล้าต่อตีกับข้าศึก ซึ่งอาวุธสมัยก่อนไม่เหมือนสมัยนี้ สมัยนี้อยู่ห่างกันเป็น ๑๐๐ กิโลเมตรก็ตายแล้ว..! สมัยนั้นต้องไปประจันหน้ากันด้วย หอก ดาบ แหลน หลาว ถ้ากำลังใจไม่มั่นคง เราก็ไม่สามารถที่จะสู้ใครได้ ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครเคยศึกษาอาคมมา ดูในบทโองการมหาทมื่น จะมีคำกล่าวว่า "เมื่อกูเอ่ยถึงครูกู ใครจักสู้กูก็มิได้" นั่นคือความมั่นใจที่เกิดขึ้น แต่ความมั่นใจทั้งหลายเหล่านี้ จะให้เกิดขึ้นตามปกติธรรมดาก็เป็นเรื่องยาก จึงต้องหมั่นขยันฝึกฝน จนกระทั่งสมาธิภาวนาสามารถกลืนเข้ากับชีวิตประจำวันของเราได้ จะทำอะไรอยู่ เราก็สามารถทรงสมาธิได้ ซึ่งในระยะแรก ๆ ก็ต้องอาศัยการท่องบ่นพระคาถาต่าง ๆ เพื่อช่วยสร้างสมาธิ แต่ว่าจากที่กระผม/อาตมภาพเรียนมา มีคาถาหลายบทที่ครูให้กลั้นลมหายใจแล้วว่ารวดเดียว ๙ จบก็มี ๓ จบก็มี หนักที่สุดก็คือ ๑๐๘ จบในลมหายใจเดียว ซึ่งความจริงในลักษณะอย่างนั้นก็คือบังคับให้ตนเองมีสมาธิ เพื่อที่ผลของพระคาถาจะได้เพิ่มมากขึ้น เนื่องเพราะว่าพระคาถาทุกบท เราจะทำได้ผลมากได้ผลน้อย ขึ้นอยู่กับกำลังสมาธิของเรา การกลั้นลมหายใจก็คือการพาตัวเข้าไปสู่สภาวะของบุคคลใกล้ตาย..! ทันทีที่เราไม่หายใจ สภาพจิตไม่ว่าจะฟุ้งซ่านส่งส่ายไปถึงไหนก็ตาม จะย้อนกลับมาอยู่กับตัวเองทันที เนื่องเพราะกลัวว่าจะตาย โบราณเข้าใจตรงจุดนี้ จึงให้บุคคลที่ไม่ได้ฝึกฝนมามาก ใช้วิธีกลั้นหายใจแล้วภาวนาพระคาถา แต่ถ้าทำไปมาก ๆ จะมีผลเสีย ก็คือเมื่อถึงเวลาเราจะมาฝึกตามสายวิสุทธิมรรค ตามจับลมหายใจเข้าออก กลายเป็นว่าพอเริ่มทำเมื่อไรก็จะกลั้นหายใจทันที..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:16 |
| สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#3
|
||||
|
||||
|
แบบเดียวกับที่กระผม/อาตมภาพเคยฝึกเรื่องการเดินลมปราณแบบกำลังภายในมาแต่เด็ก พอมาทุ่มเทให้กับการปฏิบัติธรรม ปรากฏว่าสภาพจิตไม่ยอมอยู่ที่ลมหายใจ ๓ ฐานตามที่เราต้องการ พอหายใจเมื่อไร ก็จะโคจรไปตามเส้นลมปราณที่เราเคยชิน เพราะว่าทำมานาน จนกระทั่งมาภายหลังฝึกมโนมยิทธิแล้วถึงได้เข้าใจว่า ลักษณะของการเดินลมปราณ ก็เหมือนกับการเคลื่อนจิตของมโนมยิทธินั่นเอง เพียงแต่ว่าเป็นการเคลื่อนจิตอยู่ภายในกายของตนเอง ขณะที่มโนมยิทธิสามารถเคลื่อนจิตไปตามภพภูมิต่าง ๆ ก็ได้
ก็แปลว่าถ้าเรายังอ่อนซ้อม ขาดการซักซ้อมให้ดี โอกาสที่เราจะสามารถใช้งานจริงได้ก็จะมีน้อย ยิ่งถ้าถึงเวลาไปเจอท่านที่สมาธิสูง ๆ ก็จะสั่น แบบเดียวกับน้องการ์ตูน (นางสาวศรัณย์พร บุรินทรโกษฐ์) หัวหน้าทัวร์บัสที่ ๑ ที่ไปอินเดีย - เนปาล มาด้วยกัน เอาน้ำชาร้อนมาถวายกระผม/อาตมภาพ ก็สั่นจนหก..! เรื่องพวกนี้จะตำหนิก็ไม่ได้ เนื่องเพราะว่าบางทีก็เผลอ พยายามที่จะ "เก็บ" แล้ว แต่ก็ยัง "เก็บ" ไม่หมด..! แบบเดียวกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง มีอยู่วันหนึ่งท่านกำลังฉันเพลอยู่ แต่กระผม/อาตมภาพฉันเสร็จแล้ว ก็จะต้องมาเปลี่ยนเวร เนื่องเพราะว่าเป็นเวรบ่าย ก็คือเข้าตั้งแต่เที่ยงจนถึง ๖ โมงเย็น พอเดินขึ้นมาบริเวณหน้าตึก ขึ้นบันไดได้ก็พนมมือไหว้ไปทางท่านที่ฉันเพลอยู่ในห้อง เพราะว่าทางมุมนั้นจะมีหน้าต่างที่มองผ่านมุ้งลวดไป แล้วจะเห็นท่านนั่งฉันเพลอยู่ ตัวเองก็ตั้งใจจะเปิดมุ้งลวดเข้าไปยังห้องยามหน้าตึก เสียงท่านเรียก "เฮ้ย..เล็ก" แต่กำลังท่านหลุดออกมาด้วย กระผม/อาตมภาพเข่าอ่อนลงไปกองกับพื้น พอท่านเห็น ท่านก็บอก "เออ ๆ ไม่เป็นไร ทำหน้าที่ไปก่อน เดี๋ยวพ่อออกรับแขกแล้วค่อยคุยกัน" ก็คือตอนนั้นเหมือนอย่างกับกบเขียดตัวเล็ก ๆ อยู่ตรงหน้าพญางูจงอางอย่างนั้น..! ดังนั้น..ท่านที่ทำได้แล้วส่วนใหญ่ก็จะ "เก็บ" ก็คือไม่ปล่อยพลังออกมามากนัก ไม่อย่างนั้นแล้วเดี๋ยวคนรอบข้างอยู่ไม่ได้..! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็ต้องฝึกซ้อมจนกว่าจะใช้งานได้จริง ให้ไปศึกษาในนวสีทั้ง ๕ ก็คือเริ่มตั้งแต่สมาปัชชนวสี ชำนาญในการเข้าสมาธิ วุฏฐานวสี ชำนาญในการออกจากสมาธิ ไล่ไปเรื่อย ๆ ไอ้บาลีบางทีแปลมาแล้วก็อ่านยาก อย่างที่บอกว่า ชำนาญในการพิจารณาตามลำดับฌาน ก็คือเข้าฌานตั้งแต่ อุปจารสมาธิ ๑ - ๒ - ๓ - ๔ เป็นต้น แล้วก็มีการย้อนหลัง มีการสลับไปสลับมา แต่พอเป็นบาลีว่ามา ถ้าเราขาดความมั่นใจ ขาดความคล่องตัว อ่านให้ตายก็ไม่เข้าใจ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:20 |
| สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#4
|
||||
|
||||
|
พวกเราทั้งหลายต้องเข้าใจว่า ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือสร้างความสุขในปัจจุบันให้กับตัวเอง ก็คือใช้อำนาจสมาธิสะกด รัก โลภ โกรธ หลง ให้ดับลงชั่วคราว แล้วหลังจากนั้นค่อยไปพิจารณา ไปตัด ไปหั่นกันอีกทีด้วยปัญญา
แต่ว่าอันดับแรกเลยก็คือความสุขในปัจจุบัน ถ้าซักซ้อมจนกระทั่งคล่องตัว นึกจะเข้าเมื่อไรก็ได้ ก็พอที่จะประกันว่าจะมีความสุขในอนาคต ก็คือต้องมีสุคติภูมิเป็นที่ไป แต่ว่าพวกเรามาปฏิบัติธรรม เพื่อหวังประโยชน์สุขสูงสุด ก็คือ หลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน จึงเป็นเรื่องที่ลำบากกว่าคนอื่นเขาหลายเท่า..! พวกเราส่วนใหญ่สวดมนต์ปาว ๆ ไปแล้วก็ปล่อยเลยไปเฉย ๆ ลองดูในปัพพชิตอภิณหปัจจเวกขณ์ ที่เราสวดกันอยู่ทุกบ่อยที่ว่า "คุณวิเศษของเรามีหรือไม่ ? เพื่อที่จะไม่เก้อเขินเมื่อเพื่อนสหธรรมิกไต่ถาม" พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ กับเพื่อนฝูง บวช ๓ วัน ทรงฌาน ๔ ได้กันหมดแล้ว..! พวกเราเองล่อกันมาหลายเดือนบ้าง เป็นพรรษาบ้าง หลายปีบ้าง ก็แปลว่าที่เราทำนั้นก็คือทำขาด ทำไม่ถึง โอกาสที่จะทำเกินแบบพระโสณโกฬิวิสเถระนั่นเป็นเรื่องยากมาก เพราะว่าในพระไตรปิฎกก็รู้สึกจะมีท่านเพียงองค์เดียวเท่านั้น ที่ทุ่มเทกับการทำความเพียรจนกระทั่งเท้าแตกเลือดนอง เดินต่อไม่ได้ก็คลานไป มือแตก เข่าแตก ไปต่อไม่ได้ก็เอาคางเกาะพื้นขยับไป เป็นรายเดียวที่พระพุทธเจ้าบอกว่าให้ลดความเพียรลงมาให้พอเหมาะพอดี ถึงจะได้มรรคได้ผล ส่วนพวกเราไม่ต้องคิดอะไรมาก เพิ่มอย่างเดียวเลย เพียงแต่ว่าอย่าเพิ่มความเพียรเฉย ๆ ต้องใช้ปัญญาพิจารณาด้วย โดยเฉพาะหลายต่อหลายท่าน ถึงเวลาเราสมาทานพระกรรมฐาน อุทิศส่วนกุศล ก็ "ขอให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด" ถ้าไม่ตั้งใจปฏิบัติแล้วจะรู้ว่านรกมีจริง..! เนื่องเพราะว่าการที่เราจะไปพระนิพพานได้ เราต้องเห็นทุกข์อย่างชัดเจน แล้วเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ถอนจิตจากการยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง แต่คราวนี้เราไปตั้งเป้าแล้วว่าเราจะไปพระนิพพาน แต่ไม่ยอมใช้ปัญญาในการพินิจพิจารณา ให้เห็นว่าทุกอย่างรอบข้างเรามีแต่ความทุกข์ทั้งสิ้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:23 |
| สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#5
|
||||
|
||||
|
คราวนี้เราไม่ได้เกิดมาชาติเดียว และไม่ได้เกิดมาคนเดียว ญาติพี่น้องครูบาอาจารย์ที่อยู่ข้างบนมีมากมาย ในเมื่ออยากไปพระนิพพานแต่ไม่ยอมขยับเสียที ท่านก็ต้องบังคับ วิธีบังคับก็คือทำให้เราต้องทุกข์สาหัส..!
แล้วส่วนใหญ่ก็ยังโง่อยู่เหมือนเดิม..! ก็คือทุกข์แล้วก็ไปคร่ำครวญอยู่กับความทุกข์ โดยที่ไม่ได้ฉวยโอกาสในการพินิจพิจารณา ในเมื่อเราต้องการจะพ้นทุกข์ ไม่รู้จักทุกข์ แล้วจะตัดทิ้งกันได้อย่างไร ? หลายต่อหลายท่าน สิ่งที่ไม่ดีไม่งามเกิดขึ้นในชีวิตของตนเอง บางทีนึกไม่ถึงว่าเกิดจากคำอธิษฐานของเรา ก็คือขอให้ถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ แล้วเราก็ปล่อยให้ความทุกข์นั้นเกาะกินเราไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ว่านั่นก็คือของที่วิเศษเลิศลอยชนิดที่ "หาค่ามิได้" ทุ่มเทเงินทองซื้อเท่าไรก็ซื้อหามาไม่ได้..! องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องสร้างบารมี เกิด ๆ ตาย ๆ นับชาติไม่ถ้วน สำหรับพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะที่ตรัสรู้เร็วที่สุด อย่างน้อย ๆ ก็ ๒๐ อสงไขยกับกำไรแสนกัป เราลองนึกดูว่า ถ้าแต่ละชาติเราใช้ทรัพยากรไปตั้งแต่เกิดจนตายสัก ๑ ล้านบาทก็พอ แล้วเกิดจนนับชาติไม่ถ้วน ไม่ใช่เกิดแค่ ๑ ล้านชาติ ก็แปลว่าเราต้องใช้เงินหรือว่าใช้ทรัพยากรไปเป็น "ล้านล้านล้าน" ชนิดที่ไม่สามารถจะประมาณเป็นตัวเลขได้ ถึงจะเพียงพอทำให้เรามีปัญญาเห็นทุกข์ คราวนี้ความทุกข์เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า เป็นสิ่งที่มีราคามหาศาล ชนิดทุ่มเทเท่าไรก็ซื้อหาไม่ได้ เรากลับไปผลักไส ดิ้นรน หลบหนี ตกลงว่าโง่หรือฉลาด..!? แล้วพอถึงเวลาเดือดร้อนขึ้นมาก็หาปัญญาไม่เจออีก ไม่รู้ว่าเดือดร้อนเพราะอะไร ?! เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าใครไม่ยอมพิจารณาด้วยปัญญา จนกระทั่งเห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา แล้วไปอธิษฐานขอถึงซึ่งพระนิพพานในชาตินี้ ก็ขอให้ตั้งหน้าตั้งตารองรับเอาไว้ ความทุกข์จะมาหาท่านอย่างแน่นอนและหนักหน่วงอีกด้วย..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:26 |
| สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
| ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|