|
#1
|
||||
|
||||
|
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๖๘
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
| สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#2
|
||||
|
||||
|
วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ สรุปว่านาคที่จะอุปสมบทหมู่ในวาระปัญญาสมวาร เพื่อถวายกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ทั้งสิ้น ๗ ท่านด้วยกัน
คราวนี้บางท่านถึงแม้ว่าจะเคยบวชแล้วก็อย่าได้ประมาท นอกจากจะซักซ้อมหมู่ร่วมกันเพื่อความพร้อมเพรียงแล้ว ยังต้องซักซ้อมในชุดของตนด้วย ซึ่งการบวชก็แบ่งออกเป็น ๓ ชุด ก็คือชุดแรก ๓ รูป ชุดที่สองและชุดที่สาม ชุดละ ๒ รูป เดี๋ยวอีกสักครู่ เลขาพัฒน์ (พระมหาพัฒน์ ฐิตาจาโร ป.ธ. ๓) ท่านก็คงจะแจ้งให้ทราบว่าใครจับคู่กับใครบ้าง ส่วนในเรื่องของคู่สวดก็ไปซักซ้อมสวดกันในคู่ของตนเอง เนื่องเพราะว่าวันบวชคือวันที่ ๕ ธันวาคม เป็นงานวันพ่อแห่งชาติ ทางที่ว่าการอำเภอทองผาภูมิมีการจัดงานเป็นปกติอยู่แล้ว นอกจากนั้นทางวัดยังจัดบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ดังนั้น..การอุปสมบทจึงไปเริ่มตอนเที่ยงครึ่งของวันที่ ๕ หลังจากเสียงตามสายจบแล้ว ก็แปลว่าท่านทั้งหลายยังพอจะมีเวลาอยู่อีกประมาณ ๓ วัน ในการที่จะซักซ้อมขั้นตอนทุกอย่างให้คล่องตัว ทุกท่านต้องไม่ลืมว่าการอุปสมบทคือการที่เราเข้าไปร้องขอต่อคณะสงฆ์ว่า ให้ช่วยยกเราขึ้นเป็นอุปสัมบัน คือบุคคลผู้มีศีลเสมอกัน ในเมื่อเป็นการร้องขอต่อคณะสงฆ์ก็ต้องเสียงดังฟังชัด พระทุกรูปในพิธีต้องได้ยินชัดเจนด้วยกันทั้งหมด ไม่ใช่ไปกระซิบกันแค่สองคนระหว่างเรากับคู่สวด หรือว่าเรากับพระอุปัชฌาย์..! แล้วเรื่องพวกนี้ก็เป็นเรื่องแปลกที่ว่า ต่อให้ท่านทั้งหลายกล้าหาญชาญชัยมาขนาดไหนก็ตาม เมื่อถึงเวลาเข้าไปอยู่ท่ามกลางหมู่สงฆ์ บางทีก็ประหม่าขึ้นมาอย่างชนิดหาสาเหตุไม่ได้ ถึงเวลานั้น สิ่งที่เราจดจำมาอาจจะสับสนไปหมด ทางกระผม/อาตมภาพจะบอกแค่ว่าขั้นตอนต่อไปคืออะไร ส่วนที่เหลือท่านจะต้องว่ากล่าวด้วยตนเองทั้งสิ้น ดังนั้น..ถ้าใครประมาท คิดว่าเคยบวชมาแล้ว ก็อาจจะเสียผู้เสียคน ขายหน้าเขาในวันนั้นได้..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:06 |
| สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#3
|
||||
|
||||
|
อีกส่วนหนึ่งก็คือการอุปสมบทเข้ามานั้น การบวชไม่ใช่เรื่องยาก แต่บวชแล้วจะอยู่ให้เป็นพระนั้นยากมาก เพราะว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เราทำตามความเคยชินสมัยฆราวาส ตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว เป็นเรื่องที่อึดอัดขัดใจเป็นอย่างยิ่ง ท่านที่ตั้งใจจะบวชแล้วเอาดีให้ได้ บางทีแต่ละวันเหมือนอย่างกับผ่านไปเป็นปี แต่เราก็ต้องอดทนสู้ไป เนื่องเพราะว่าการบวชก็คือการถือเนกขัมมบารมี คำว่าเนกขัมมะคือละจากกาม ได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ทั้งหมด ก็แปลว่าสิ่งใดที่เราชอบและเคยทำก็จะทำไม่ได้แล้ว
ศีลของพระมีอะไรต้องเร่งศึกษาเข้าไว้ พยายามทบทวนอยู่ทุกวันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ว่าเราสามารถที่จะประพฤติปฏิบัติได้สมบูรณ์หรือไม่ ? ส่วนไหนสงสัยข้องใจให้ไต่ถามจากพระพี่เลี้ยง อย่าตีความด้วยตนเอง เพราะว่าอาจจะผิดได้ เนื่องจากว่าศีลพระบางข้อนั้น ผิดแล้วเราไม่มีโอกาสแก้ตัว เพราะว่าจะขาดจากความเป็นพระไปเลย..! อย่างเช่นว่าการหยิบสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ตามที่ท่านอรรถาธิบายไว้ก็คือเคลื่อนออกจากที่แค่ ๑/๑๖ ของเส้นผม แปลว่าการกระทำนั้นสำเร็จ..! ก็คือขาดจากความเป็นพระไปตอนนั้นเอง ไม่ต้องรอให้ใครมาตัดสิน จึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง เนื่องจากว่าอาบัติปาราชิกนั้น ถ้าโดนเข้าไปแล้วก็หมดอนาคต ในบาลีท่านบอกว่า "เปรียบเหมือนกับตาลยอดด้วน" คือไม่สามารถที่จะเจริญงอกงามในพระพุทธศาสนาได้อีกต่อไป หรือ "เปรียบเหมือนกระเบื้องที่แตกอยู่ปากบ่อ" ก็คือไม่สามารถที่จะใช้งานได้อีก คำว่า "กระเบื้อง" ในที่นี้อย่าไปนึกถึงกระเบื้องมุงหลังคา คำว่ากระเบื้องที่แปลจากภาษาบาลีก็คือถ้วยชามเคลือบ ซึ่งสมัยก่อนก็คือเครื่องปั้นดินเผาต่าง ๆ นั่นเอง ดังนั้น..ถ้าอ่านเจอในบาลีว่า "ถือกระเบื้องแตกไปขอทาน" ไม่ได้ถือกระเบื้องมุงหลังคา แต่ก็คือถือถ้วยชามแตก ๆ บิ่น ๆ ไปขออาหารจากคนอื่นเขา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:09 |
| สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#4
|
||||
|
||||
|
ในแต่ละวันหน้าที่ของเราก็ต้องทำ ศีลก็ต้องรักษา สมาธิก็ต้องปฏิบัติ กิเลสต่าง ๆ ก็มักจะชวนให้เราแหกคอกออกไปเสมอ จึงเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความอดกลั้นอดทนเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะเราบวชเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง การที่เราจะถวายสิ่งของต่อผู้ที่เป็นที่รักของคนทั้งประเทศ เป็นผู้ซึ่งถือว่าอยู่ในสถาบันสูงสุด เราก็ต้องหาของที่ดีที่สุดไปถวาย ซึ่งก็คือท่านต้องตั้งใจปฏิบัติให้ดีที่สุดนั่นเอง ก็แปลว่าในระยะเวลาตั้งแต่วันพ่อไปจนถึงวันครบรอบ ๕๐ วันของพระองค์ท่าน เราก็ต้องกัดฟันสู้ไป ทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ วางกำลังใจในประมาณว่า "ถ้าทำไม่ได้ก็ให้ตายไปเลย..!" ถ้าท่านตั้งใจได้ขนาดนี้ โอกาสที่จะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้ก็จะมีสูงยิ่ง แล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็จะเป็นคุณแก่ตัวท่านก่อน เนื่องเพราะว่าก่อนที่เราจะให้อะไรใคร เราก็ต้องมีสิ่งของนั้นก่อน บุญกุศลส่วนนี้จึงเกิดกับเราก่อน โดยเฉพาะเกิดในขณะที่เราเป็นนักบวช กระผม/อาตมภาพเคยเปรียบเอาไว้ว่า ถ้าเป็นการลงทุน ฆราวาสมีศีล ๕ เป็นต้นทุน สมมติว่ามีเงินทุนอยู่ ๕ ล้านบาท แต่พระเรามีศีล ๒๒๗ เป็นต้นทุน ก็เหมือนกับมีเงิน ๒๒๗ ล้านบาท ถ้าลงทุนในเรื่องเดียวกันแล้วได้กำไร คนที่ลงทุน ๒๒๗ ล้านย่อมได้กำไรมากกว่าหลายเท่า อานิสงส์ส่วนนี้ ถ้าท่านทั้งหลายตัดสินใจอยู่ต่อ ก็จะสนับสนุนให้ท่านทั้งหลายเจริญรุ่งเรืองในพระพุทธศาสนา แต่ถ้าสึกหาลาเพศไป คนมีบุญก็เหมือนกับคนมีเงิน ทำอะไรก็จะสะดวกคล่องตัวกว่าคนอื่นเขา โดยเฉพาะการสร้างบุญกุศล ไม่ว่าจะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนา ในขณะที่เรารักษาศีล ๒๒๗ ข้อ บุญกุศลนั้นย่อมมีอานิสงส์มากกว่าศีล ๕ หลายต่อหลายเท่า เราจึงควรฉวยโอกาสในขณะที่บวชอยู่ พยายามสร้างบุญกุศลให้แก่ตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ นอกจากได้ถวายเป็นพระราชกุศลแล้ว ยังจะเป็นปัจจัยให้เราท่านทั้งหลายได้ดำเนินชีวิตที่ดีต่อไปข้างหน้า โดยเฉพาะบุคคลรอบข้างที่เรารัก ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ก็ดี ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงก็ตาม เขาทั้งหลายเหล่านั้น ถ้าอนุโมทนา ก็จะพลอยได้ผลบุญไปอย่างเต็มเปี่ยมด้วย ส่วนท่านทั้งหลายเองก็จะได้อาศัยผลบุญนี้เป็นเรือเป็นแพ ข้ามห้วงน้ำคือวัฏสงสารนี้ ไปโดยไม่ยากลำบากเหมือนกับคนอื่น เนื่องเพราะว่าถ้าเขาไม่ได้สร้างบุญกุศลไว้ตรงนี้ ก็ย่อมขาดเรือแพที่จะอาศัย อาจจะต้องลอยคอ ตะเกียกตะกาย แล้วท้ายสุดก็จมน้ำตายลงไปเอง..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:11 |
| สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#5
|
||||
|
||||
|
เราท่านทั้งหลายจึงต้องตระหนักว่ากำลังจะก้าวเข้าสู่ความเป็นอุปสัมบัน ก็คือนักบวชที่ชาวบ้านเขาเคารพนับถือ สิ่งหนึ่งประการใดที่ทำแล้วจะสร้างความเลื่อมใสแก่ญาติโยม เราต้องทำในสิ่งนั้น ซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็คือพระวินัย หรือว่าศีล ๒๒๗ ข้อนั่นเอง ไม่ใช่การบอกใบ้ให้หวยใด ๆ ทั้งสิ้น..!
จึงเป็นเรื่องที่เราต้องตระหนัก ก็คือมี "สมณสัญญา" ว่า บัดนี้เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้ว อาการกิริยาใด ๆ ที่เป็นของสมณะ เราจักต้องทำอาการกิริยานั้น ๆ ต้องตระหนักใน "สมณสารูป" ก็คือ ตัวเราติเตียนตัวเราเองโดยศีลได้หรือไม่ ? ผู้รู้พิจารณาแล้ว ติเตียนตัวเราโดยศีลได้หรือไม่ ? จะต้องตระหนักถึง "สมณธรรม" ก็คือ วันคืนล่วงไป ล่วงไป เราทั้งหลายทำอะไรกันอยู่ ? ถ้าท่านทั้งหลายบวชเข้ามาแล้ว รักษาสมณสัญญา สมณสารูป และสมณธรรมเอาไว้ได้ ต่อให้ไม่ได้มรรคผล ท่านก็จะเป็นภิกษุสงฆ์ที่ดีในพระพุทธศาสนา สามารถช่วยค้ำจุนพระพุทธศาสนาของเราให้เจริญรุ่งเรืองไปจนกว่าจะครบ ๕,๐๐๐ ปี สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:13 |
| สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
| ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|