|
#1
|
||||
|
||||
|
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๘
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
| สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#2
|
||||
|
||||
|
วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ เอาเรื่องสำคัญของเราก่อน ก็คือกระผม/อาตมภาพตั้งใจจัดงานอุปสมบทหมู่รุ่นพิเศษ เพื่อถวายพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในวาระปัญญาสมวาร ก็คือครบ ๕๐ วันที่สมเด็จพระพันปีหลวงเสด็จสวรรคต
คราวนี้การรับสมัครนั้นจะให้ทางเว็บไซต์วัดท่าขนุนเปิดกระทู้รับสมัคร ผู้ที่ตั้งใจจะบวช ถ้าหากว่ายังไม่เคยบวชแบบอุกาสะฯ กับทางวัดท่าขนุนก่อน ก็ต้องเข้าวัดตั้งแต่ก่อน ๑๘.๐๐ น.ของวันศุกร์ที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ นี้ ส่วนท่านใดที่เคยบวชแบบอุกาสะฯ มาแล้ว ผ่อนผันให้เข้าวัดได้ก่อน ๑๘.๐๐ น.ของวันอังคารที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๖๘ โดยที่จะไปอุปสมบทหมู่ในเวลา ๑๒.๓๐ น.ของวันศุกร์ที่ ๕ แล้วขอให้ทุกคนอยู่ถึงวันศุกร์ที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๘ ซึ่งเป็นวันครบ ๕๐ วันการเสด็จสวรรคต ของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ส่วนที่เหลือจะอยู่ต่ออีกนานน้อยนานมากเท่าไร แล้วแต่ความสมัครใจของท่านเอง เริ่มสมัครได้ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไปเลย หลังจากที่ทางเว็บไซต์วัดท่าขนุนเปิดกระทู้แล้ว ทุกท่านต้องคิดว่าในเรื่องของการอุปสมบทถวายพระราชกุศลแบบนี้ หาคนอยู่ยาว ๆ ยาก ก็น่าจะไม่ใช่ เพราะว่าอย่างหลวงพ่อสมคิด (พระครูบวรกาญจนธรรม) เจ้าคณะตำบลบ้านเก่า เขต ๒ เจ้าอาวาสวัดตะเคียนงาม ท่านก็อุปสมบทถวายพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ แล้วก็อยู่ยาวมาจนบัดนี้ ๔๑ ปีเข้าไปแล้ว หรือเอาแค่ท่านจิต (พระจิตติพัฒน์ อินฺทปญฺโญ) ของเรา ก็อุปสมบทหมู่เหมือนกัน แล้วก็อยู่ยาวมาจนบัดนี้ ก็แปลว่าถ้าหากว่าใครบุญดี สามารถอยู่ต่อได้ ก็ถือว่าเป็นการสร้างบุญสร้างกุศลให้แก่ตนเองและบุคคลที่ตนเองรัก โดยเฉพาะเป็นการอุปสมบทหมู่ในวาระสำคัญ ก็คือในวันพ่อแห่งชาติ เพื่อถวายพระราชกุศลแก่สมเด็จแม่ของชาติเราด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 01:07 |
| สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#3
|
||||
|
||||
|
เรื่องต่อไปก็คือเรื่องที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เสด็จเยือนประเทศจีนอย่างเป็นทางการ กระผม/อาตมภาพเห็นแล้วออกอาการ "น้ำตาจิไหล" ว่า ประเทศเรามีรัฐบาลไว้ทำอะไรก็ไม่รู้ ? โดยเฉพาะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปีนี้ทรงเจริญพระชนมายุ ๗๔ พรรษาแล้ว ถ้าหากว่านับตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ พระองค์ท่านก็เสด็จเยือนประเทศจีนอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก ไม่นับตอนที่ยังดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร
เนื่องเพราะว่าเป็นโอกาสหรือวาระพิเศษ ในการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับประเทศจีนครบ ๕๐ ปี ก็คือมีการลงนามกันระหว่างท่านนายกรัฐมนตรีโจว เอิน ไหล นายกรัฐมนตรีจีน กับท่านหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ในวันที่ ๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘ มาจนป่านนี้ เพราะว่าก่อนหน้านั้น พวกเราโดนโฆษณาชวนเชื่อในเรื่องของลัทธิคอมมิวนิสต์ จนกระทั่งเห็นเป็นยักษ์เป็นมาร หวาดกลัวไปทั่วประเทศ โดยเฉพาะเมื่อประเทศเวียดนาม ประเทศลาว ประเทศกัมพูชา ตกอยู่ภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์กันหมด ก็ทำให้เกรงว่าไทยเราจะเป็นโดมิโนตัวต่อไป ซึ่งถ้าประเทศไทยพังลงเมื่อไร อาเซียนทั้งหมดก็จะไม่เหลืออะไรเลย..! แต่ปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ทรงต่อสู้กับเรื่องทั้งหลายเหล่านี้มาโดยตลอด ก็คือทำโครงการทุกอย่างเพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชน จนกระทั่งนักข่าวต่างประเทศสัมภาษณ์พระองค์ว่า "การต่อสู้กับระบอบคอมมิวนิสต์นี้ พระองค์ท่านมีความหวังว่าจะชนะหรือไม่ ?" พระองค์ท่านบอกว่า "คุณถามผิด..เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับระบอบคอมมิวนิสต์ หากแต่กำลังต่อสู้เพื่อปากท้องของประชาชนผู้หิวโหย" นั่นก็คือพระวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่และกว้างไกล โดยเฉพาะกำลังพระทัยที่เปิดกว้าง ไม่เห็นว่าใครเป็นศัตรู หากแต่ว่าทุกผู้คนล้วนแล้วแต่เป็นพสกนิกร ที่พระองค์ท่านจะต้องช่วยเหลือให้พ้นจากความอดอยากปากแห้ง..! แล้วตลอดระยะเวลาที่ทรงครองราชย์ ๗๐ ปี พระองค์ท่านก็ได้พลิกฟื้นบรรดาสถานที่แห้งแล้งกันดารต่าง ๆ ให้กลายเป็นที่อุดมสมบูรณ์ จากโครงการทั้งหมด ๔,๐๐๐ กว่าโครงการ จนปัจจุบันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑๐ ก็ทรง "สืบสาน รักษา และต่อยอด" มา จนถึงวันนี้ที่พระองค์ท่านเจริญพระชนมายุ ๗๔ พรรษาแล้ว ยังต้องเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนอีก..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 01:11 |
| สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#4
|
||||
|
||||
|
เนื่องเพราะว่าบรรดานักการเมืองทั้งของเราและของประเทศรอบข้าง ล้วนแล้วแต่เห็นผลประโยชน์ของตนเองเป็นใหญ่ ไม่ได้เห็นผลประโยชน์ของชาติเป็นใหญ่..!
ดังนั้น..ประชาชนของเราจึงต้องอดทนอดกลั้น ต่อการยั่วยุของเขมรมาโดยตลอด แม้กระทั่งประเทศมาเลเซียที่อยู่ในฐานะของประธานอาเซียน ก็กล่าวหาไทยเราว่าไปรุกรานประเทศเขมร นายกรัฐมตรีเขมรเป็นผู้ที่ใฝ่สันติภาพ..! ฟังดูแล้วเราจะเห็นว่า ในเรื่องของการเมืองนั้น เป็นการพลิกลิ้น กลับคำ สาดโคลนกันแบบไม่เกรงใจใคร ขอให้ได้ประโยชน์เข้าตัวเท่านั้นเอง จนกระทั่งท่านประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ออกมาปราม จากคำกล่าวหาที่ว่าทหารไทยเหยียบกับระเบิดเก่า ประเทศมาเลเซียก็ต้องกลับลำ ๑๘๐ องศา บอกว่าเป็นกับระเบิดใหม่ แต่ผู้สื่อข่าวเสนอข่าวผิดพลาด..! เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่านายกรัฐมนตรีของไทยรุ่นหลัง ๆ นี่หาคนทันเกมต่างประเทศยาก นายกรัฐมนตรีที่ทันเกมต่างประเทศที่สุด ซึ่งกระผม/อาตมภาพชื่นชมที่สุดก็คือพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เนื่องเพราะว่าด้วยความที่ท่านเป็นลูกชายของจอมพลผิน ชุณหะวัณ จึงโดน "เตะสกัด" จากรอบทิศทาง เพราะเกรงว่าถ้าเป็นใหญ่ขึ้นมา แล้วจะเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติแบบพ่อ ท่านก็เลยโดนโยนไปเป็นทูตทหารสารพัดประเทศ "ดอง" อยู่แค่ยศพลตรีเท่านั้น จนกระทั่งมาเป็นนายกรัฐมนตรี ได้รับพระราชทานยศเป็นพลเอก ด้วยความที่ท่านคร่ำหวอดในวงการทูตมาโดยตลอด จึงรู้ว่าอะไรเหมาะ อะไรควร โดยใช้คำพูดที่ว่า "เรื่องของการทูตต้องพูดให้ชัด แต่เตะไม่ถึง..!" ไม่เหมือนกับท่านนายกฯ ของเรา แทนที่จะบอกกล่าวกับต่างประเทศว่า "เขมรละเมิดสนธิสัญญาสันติภาพ" ดันไปประกาศว่า "ไทยฉีกสนธิสัญญาสันติภาพ..!" แทนที่จะเป็นพระเอกก็เลยกลายเป็นผู้ร้ายไปโดยปริยาย แล้วคำพูดประเภทโง่ ๆ ที่บอกว่า "ไทยไปรุกรานเขมรก่อนเหมือนกัน" ก็ยิ่งบรรลัยเข้าไปใหญ่ ก็เลยสงสัยว่านายกรัฐมนตรีไทยระยะหลัง ๆ นี้ เหลือสมองแค่ ๘๔,๐๐๐ เซลล์จริง ๆ กระมัง ?!! แม้กระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ต้องบอกว่า ทรงชราภาพจนขนาดนี้แล้ว ยังต้องออกมาทำหน้าที่แทน มีใครรู้บ้างว่ารัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของเราชื่ออะไร ? แล้วพูดอยู่ในลักษณะประมาณว่า ประเทศไทยของเราเอง ควรที่จะทำอย่างนั้น ควรที่จะทำอย่างนี้ ออกความเห็นมาแต่ละทีโดนชาวบ้าน "ยี้" มารอบทิศ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 01:15 |
| สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#5
|
||||
|
||||
|
ตั้งแต่สมัยที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ยังทรงพระชนมชีพอยู่ กระผม/อาตมภาพก็บอกกับทุกคนแล้วว่า ถ้าหากว่ากระผม/อาตมภาพเป็นนายกรัฐมนตรี ขี้เกียจแถลงนโยบาย ถึงเวลาก็ขอโอกาสเข้าเฝ้าพระองค์ท่านอย่างน้อยเดือนละ ๒ ครั้ง แค่ขอพระราชทานแนวทางเท่านั้นเองว่า จะให้ประเทศไทยไปทางไหน ?
แล้วเราก็ระดมสรรพกำลังและงบประมาณทั้งหมดที่มี สนองพระราชดำริ สนองพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทุกอย่างก็จบแล้ว ไม่ใช่เจอแต่นายกฯ โง่ ๆ รัฐมนตรีโง่ ๆ สร้างรั้วกั้นเขมรก็ไม่ได้ เพราะว่าเป็นการไปละเมิดสิทธิมนุษยชน ได้ยินแล้วกูจะบ้า..! จ้องแต่จะเปิดด่านอย่างเดียว เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอง ทั่วโลกเขารู้ว่าเจ้าพ่อสแกมเมอร์ตัวจริงอยู่ในแวดวงนักการเมืองไทย แต่ประเทศไทยแกล้งโง่ "ตั้งโจรไปให้สอบสวนโจร เพื่อที่จะฟอกขาวให้โจร" ฟังแล้วเครียด...! แต่ทุกท่านก็จะเห็นแล้วว่าบ้านเราเมืองเรานั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่า ทุกคนก็คือพสกนิกรของพระองค์ท่าน แม้แต่ในช่วงสงคราม ๕ วันกับเขมรที่ผ่านมา พระองค์ท่านก็อยู่แนวหน้าโดยตลอด แต่ไม่ให้ออกข่าว นักการเมืองของเราต้องรอเรื่องสงบแล้วค่อยไปเหยียบชายแดน แถมยังออกความเห็นโง่ ๆ อีกต่างหาก อะไรก็ไม่ว่า ไปเปิดเผยว่าชาวไทยของเราอยู่ที่ศูนย์อพยพจุดไหนบ้าง ? ทำอย่างกับกลัวเขมรจะไม่ยอมยิงระเบิดใส่..! จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องทำใจเลยว่า เราเกิดในยุคนี้สมัยนี้ ถือว่าโชคดีเป็นอย่างยิ่งแล้ว ที่ยังมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เป็นหลักใจของเรา ยังมีกองทัพที่เข้มแข็งพอจะให้ชาวบ้านชาวเมืองเขาเกรงใจ แต่ไปเจอบรรดาผู้นำโง่ ๆ ที่เห็นแก่ประโยชน์ตนเอง ไปคอย "ดึงขาหลัง" จนกระทั่งกองทัพของเราทำอะไรก็ไม่ถนัด นอกจากทำใจแล้ว ก็ยังต้องเร่งสร้างบุญสร้างกุศล เพื่ออุทิศให้บรรดาเทวดาที่ปกปักรักษาประเทศไทยของเรา ให้ท่านทำหน้าที่ให้เข้มแข็งกว่านี้ กระผม/อาตมภาพบอกแล้วว่าทั้ง ๆ ที่เป็นพระก็ยัง "ของขึ้น" ถึงขนาดอาราธนาบารมีพระอยู่ในลักษณะของยันต์เกราะเพชร หรือการสะท้อนกลับ ใครทำอะไรไม่ดีกับประเทศไทยแถวชายแดน จะได้รับผลคืนไปทั้งสิ้น แล้วตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ก็คงจะเห็นแล้วว่าใครบรรลัยไปบ้าง ? แต่ว่าเรื่องแบบนี้พูดไปก็ไม่มีหลักฐานยืนยัน ยกเว้นพวกที่ได้ทิพจักขุญาณเท่านั้น แต่พวกเราก็ต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพราะว่าถ้าเราสูญเสียพื้นที่เมื่อไร ประเทศที่เล็ก ๆ แต่เหิมเกริมขนาดนี้ รับรองว่าไม่ได้คืบจะเอาศอก หากแต่ว่าได้คืบจะเอาครึ่งค่อนประเทศ..! โดยมีบรรดามหาอำนาจก็ดี นักการเมืองของต่างประเทศที่เห็นแก่ประโยชน์ของตนก็ตาม คอยให้ท้ายถือหางอยู่ ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้เสด็จจีน แล้วประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ไม่ออกมาปราม คาดว่าป่านนี้คงปะทะกันไปอีกรอบหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ ต้องคอยเอาใจช่วยกันต่อไป สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 01:20 |
| สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
| ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|