|
#1
|
||||
|
||||
|
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันเสาร์ที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๘ การเจ็บไข้ได้ป่วยมีสารพัดสาเหตุ สำคัญที่สุดก็คือสร้างกรรมเก่าไว้ในอดีต โดยเฉพาะเศษกรรมปาณาติบาต ทำให้ชาตินี้เกิดมาเจ็บไข้ได้ป่วย ประการต่อไปก็คือแก่ พอร่างกายแก่ เรี่ยวแรงในการต้านทานโรคก็มีน้อยลง ทำให้โรคภัยไข้เจ็บกำเริบได้ง่ายขึ้น สาเหตุหลัก ๆ มีอยู่แค่นี้ ส่วนอื่นเป็นแค่ส่วนประกอบเท่านั้น ประเภทว่า พักผ่อนไม่เพียงพอ คลุกคลีกับคนป่วย กินอาหารไม่ครบหมู่..อย่าไปเชื่อเขา อาตมภาพเห็นรุ่นพ่อรุ่นปู่ซดแต่ข้าวต้มกับน้ำเกลือ ก็ยังแข็งแรงพอกับควาย..! ไหนบอกว่าต้องกินอาหารครบ ๕ หมู่ ?! คนจีนรุ่นนั้นส่วนใหญ่มารับจ้างเป็นกรรมกรแบกหาม อาหารหลักก็คือข้าวต้ม กินข้าวสวยไม่ได้เพราะว่าเปลืองมาก กินข้าวต้มอย่างไร ? ก็แค่หาอะไรที่พอเค็ม ๆ กินกับข้าวต้มได้ จึงเอากรวดคั่วน้ำเกลือ ถึงเวลาก็ดูด ๆ ให้รู้สึกว่ามีความเค็มหน่อย แล้วก็ซดข้าวต้มตามเข้าไป กินเพื่ออยู่เท่านั้น แต่ละคนอาบเหงื่อต่างน้ำ ผอมจนซี่โครงขึ้นกันระนาว หาเงินส่งกลับบ้านที่เมืองจีน โคตรแข็งแรงเลย..! โดยเฉพาะพวกจับกังแบกข้าวสาร พอถึงเวลาเดินผ่านหัวหน้างานก็เอาไม้ติ้วแหลม ๆ เสียบไว้ที่กระสอบ พอตัวเองแบกไปถึงที่ อย่างเช่นว่าขึ้นที่โกดังหรือว่าแบกลงเรือ ก่อนจะทิ้งกระสอบลง ก็ชักไม้ติ้วออก เก็บรวบรวมไว้ ถึงเวลาหมดงานหรือเวลาหมดวัน ก็เอาไม้ติ้วไปให้ผู้จัดการเขานับ แล้วก็จ่ายเงินให้ตามนั้น เกิดไม่ทัน..ไม่ได้เห็นกันสินะ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พิชวัฒน์ : 29-10-2025 เมื่อ 21:25 |
| สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#2
|
||||
|
||||
|
โดยเฉพาะการแบกข้าวสารขึ้นเรือ แบกข้าวสารลงจากเรือ เป็นไม้กระดานแผ่นเดียวพาด แล้วกระสอบน้ำหนักเป็น ๑๐๐ กิโลกรัม เดินทีไม้ก็อ่อนยวบ ๆ ตามไป พลาดมีสิทธิ์ตาย..! เพราะโดนกระสอบหนักเป็น ๑๐๐ กิโลกรัมทับลงไป มาเจอเด็กรุ่นหลังแค่ ๕๐ กิโลกรัมก็แบกไม่ขึ้นแล้ว..! อาตมาตอนช่วงวัยรุ่น ข้าวสาร ๑๐๐ กิโลกรัมนี่แบกได้สบายมาก ไม่รู้สึกหนักเสียด้วยซ้ำไป..!
คราวนี้เราปฏิบัติธรรมถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันนี้ พรุ่งนี้ แล้วก็มะรืน คราวนี้เวลาที่พวกเรารอส่วนใหญ่คือ การปฏิบัติธรรมช่วงเช้ามืด ซึ่งงวดนี้อาตมภาพน่าจะนำไม่ไหว เพราะว่าไม่มีเสียงจะพูด การใช้เสียงดังอย่างที่ได้ยินตอนนี้ ก็ต้องอาศัยเรี่ยวแรงเยอะหน่อย ทำให้เหนื่อยง่าย หายใจไม่ทัน ถ้ารู้ว่าแก่แล้วแย่ขนาดนี้ ก็ว่าจะไม่แก่แล้วนะ..! แต่ดันหลวมตัวแก่ไปซะแล้ว..! พอป่วยแต่ละทีก็ฟื้นตัวยากมาก สมัยก่อนป่วย ๆ ก็ทำงานไปได้เรื่อยเปื่อย สมัยนี้ป่วยแล้วต้องนอนพัก บาลีถึงบอกว่า สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เดี๋ยวพวกเราบวชเนกขัมมะ แล้วเข้าสู่การปฏิบัติธรรมกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2025 เมื่อ 03:10 |
| สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#3
|
||||
|
||||
|
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันเสาร์ที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๘ คำว่า การปฏิบัติธรรม ก็คือการขัดเกลากาย วาจา และใจ ของตนเองให้ดีขึ้น มีความสะอาดหมดจดมากขึ้น ถามว่าสะอาดจากอะไร ? ก็สะอาดจากกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ถ้าหากว่าเรามาเดินจงกรม มานั่งหลับตา แล้วสะอาดจาก รัก โลภ โกรธ หลง ได้อย่างไร..? ก็เพราะว่าโดยปกติแล้วคนเราจะโดนกิเลสชักจูง ทางใจ..คือความคิด..คือฟุ้งซ่านไปในด้าน รัก โลภ โกรธ หลง ทางวาจา..คือคำพูด..ที่เป็นไปตาม รัก โลภ โกรธ หลง จะบัญชา ทางกาย..คือการกระทำ..ซึ่งก็เป็นไปตามที่ รัก โลภ โกรธ หลง จะบัญชา คราวนี้ถ้าพวกเรานั่งอยู่ตรงนี้ ต่อให้ไม่ทำอะไรเลย กิเลสก็บังคับได้แต่แค่เราคิด บังคับให้เราพูดไม่ได้ เพราะว่าเราอยู่ในสังคม โดยเฉพาะสังคมของผู้ปฏิบัติธรรม ซึ่งก็คือผู้หวังความเจริญ จะทำอะไรที่เป็นไปตาม รัก โลภ โกรธ หลง ก็ทำไม่ได้ พูดง่าย ๆ ว่าอยู่ต่อหน้าคนอื่น อยู่ต่อหน้าพระพุทธรูป อยู่ต่อหน้าพระสงฆ์ เราก็มีความเกรงใจ มีความละอาย ก็แปลว่าหนทางที่จะกระทำในสิ่งที่เป็นไปตาม รัก โลภ โกรธ หลง สามทาง ก็คือ ใจคิด วาจาพูด กายกระทำ ส่วนใหญ่ก็เหลือแต่คิดอย่างเดียว ก็แปลว่าแค่เรามานั่งเฉย ๆ เราก็ชนะไป ๒ ใน ๓ แล้ว..! หลายท่านที่รู้จักสังเกต จะเห็นว่าบางคนนั่งเฉย ๆ ไม่ได้ เดินให้พล่านไปหมด..! เหมือนอย่างกับมดอยู่บนกระทะร้อน ๆ แล้วก็ไม่รู้ตัวด้วยว่าร้อนเพราะอะไร ? จึงเป็นเรื่องที่น่าสงสารมาก พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อริยสัจ ก็คือความจริง ๔ ประการ ประกอบไปด้วย ทุกข์ ก็คือสิ่งที่เราต้องทน ไม่ว่าจะมากจะน้อย จัดเป็นทุกข์ทั้งสิ้น สมุทัย คือสาเหตุที่ทุกข์นั้นเกิด เราต้องสร้างเหตุ ทุกข์นั้นถึงเกิดขึ้น นิโรธ คือความดับสิ้นไปของทุกข์ บางคนคิดวุ่นคลุ้มคลั่งอยู่ ๓ - ๔ วัน อยู่ ๆ เรื่องที่ตัวเองคิดก็หายไปไหนไม่รู้..!? มรรค คือหนทางที่นำไปสู่ความดับทุกข์
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พิชวัฒน์ : เมื่อวานนี้ เมื่อ 08:25 |
| สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#4
|
||||
|
||||
|
บางคนก็สงสัยว่าทำไมพระพุทธเจ้าตรัสอริยสัจ ๔ กลับหัวกลับหางกัน ? ก็เพราะว่าพระองค์ตรัสตามสภาพจิตของเราที่พบเจอ ก็คือพอเกิดทุกข์ขึ้น ปัญญาคนยังไม่พอที่จะมองอย่างอื่น ก็ไปเครียดไปคลุ้มคลั่ง "ทุกข์ฉิบหายเลยโว้ย..!" พอทุกข์มาก ๆ เข้าปัญญาเริ่มทำงาน ก็จะมองว่าทำไมเราถึงทุกข์ ? เครียดอยู่ตั้งสามวัน เครียดเพราะอะไร ? อ๋อ..ซื้อทองไม่ทัน..ราคาขึ้นไปสูงมาก..! สาเหตุมาจากตรงนี้เอง
พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงตามสภาพจิตใจของคนตอนนั้น เจอทุกข์ กลัดกลุ้มอยู่กับทุกข์ ประเภทเจ็บแล้วเจ็บอีก เจ็บจนเริ่มจะเข็ด ก็ชักจะใช้ปัญญาเป็น จึงค่อยมามองว่าทุกข์เกิดจากอะไร ? ถึงได้รู้สมุทัยตามมา คราวนี้เปะปะไปมาอยู่ ๒ วัน ๓ วัน อยู่ ๆ ความทุกข์หายไปเฉย ๆ นิโรธคือการดับทุกข์จึงเกิดขึ้น เออ..สบาย..ก่อนหน้านี้แบกแทบตาย..! อยู่บ้านก็เป็นทาสหมา เป็นทาสแมว เลี้ยงอยู่ทุกวัน ถึงเวลาก็ต้องมาคิดแล้วว่า วันนี้เลี้ยงหรือยัง ? จะเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเปล่า ? เราไปปฏิบัติธรรมที่วัดท่าขนุนสามวัน ทิ้งอาหารทิ้งน้ำไว้ให้พอไหม ? จะอยู่กันได้ไหม ? กลับไปบ้านจะเละแค่ไหน ? เครียดอยู่ตั้งหลายวัน ท้ายที่สุดก็..ช่างหัวมันเถอะ..ปฏิบัติธรรมดีกว่า..! ที่เครียดอยู่หายไปตอนไหนหว่า ? ก็เลยเริ่มคิดหาทาง เอ๊ะ..ทำไมอยู่ ๆ หายเครียด ? ความทุกข์ที่แบกเอาไว้ตัดไปตอนไหน ? อ๋อ..ดับไปตอนเราเลิกแบก แค่วางลงก็เบาแล้ว..! ที่เขาบอกว่า "โลกมีไว้ให้เหยียบ ไม่ได้มีไว้ให้แบก" เราไปแบกอยู่เสียนาน พอวางลงก็เลยหายทุกข์ มรรคคือหนทางแห่งความดับทุกข์ เกิดขึ้นเพราะเราเห็นแล้วว่า ถ้าปล่อยวาง ความทุกข์ก็จะสิ้นสุด หรือหายไปเอง ดังนั้น..พระพุทธเจ้าตรัสถึงอริยสัจ ๔ จึงเหมือนอย่างกับกลับหัวกลับหาง กล่าวถึงทุกข์ขึ้นมาก่อน ทุกข์จนพอ ทุกข์จนเข็ด เริ่มมีปัญญาหาสาเหตุ สมุทัยจึงเกิดขึ้น มั่วไปมั่วมาอยู่ ๓ วัน ๗ วัน บางทีก็หลายสิบปี อยู่ ๆ ทุกข์หายไป อ๋อ..ที่แท้ก่อนหน้านี้ ไอ้นั่นก็ลูก ไอ้นี่ก็ผัว อะไร ๆ ก็ของกู..! ตอนนี้พอแล้วไม่เอาแล้ว โยนทิ้งแล้ว..ไปปฏิบัติธรรมดีกว่า อยู่ ๆ รู้สึกเบาสบายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ที่แท้ก็ง่าย ๆ แค่นี้เอง แค่วางลงก็จบแล้ว ก็ถึงได้เกิดนิโรธ สบายอยู่พักหนึ่ง แต่พอทุกข์ใหม่ก็เครียดอีก ท้ายที่สุดปัญญาเกิด จึงเห็นว่าที่แท้แค่ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ทุกอย่างก็จบลงแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-10-2025 เมื่อ 02:11 |
| สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#5
|
||||
|
||||
|
ดังนั้น..ในเรื่องของอริยสัจที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพวกเรามา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือรู้ทุกข์..รู้ว่าทุกข์มาจากอะไร ? แล้วก็ดับทุกข์..ก็คือศึกษาและปฏิบัติตามวิธีการ ถ้าทำได้ถูกต้อง ทุกข์นั้นก็จะดับลง ง่าย ๆ แค่นี้เอง..!
คราวนี้พวกเรามานั่งอยู่ตรงนี้ สิ่งที่พาให้เราทุกข์ก็เหลือแค่ความคิด ถ้าหากว่าเราไม่คิด เราก็ไม่ทุกข์ วิธีที่จะไม่คิด ถ้านั่งนิ่ง ๆ ก็อยู่กับลมหายใจตรงหน้า หายใจเข้า..ตามดูตามรู้เข้าไปจนสุด หายใจออก..ตามดูตามรู้ออกมาจนสุด มีหน้าที่ตามดูเข้าไปจนสุด ตามดูออกมาจนสุด อย่างอื่นไม่ต้องสนใจ ถ้าเผลอสติไปคิดเรื่องอื่น รู้ตัวขึ้นมา รีบดึงกลับมาตรงนี้ใหม่ ตามลมเข้าไปจนสุด ตามลมออกมาจนสุดเหมือนเดิม หรือถ้าหากว่าเคลื่อนไหวอยู่ ให้เอาความรู้สึกทั้งหมดจับอยู่กับการเคลื่อนไหวของเรา เท้าขวายกขึ้น..เลื่อนไปข้างหน้า..วางลง..สัมผัสพื้น..ถ่ายน้ำหนักไปที่เท้าขวา พร้อมกับเท้าซ้ายยกขึ้น..เคลื่อนไปข้างหน้า..วางลง..สัมผัสพื้น..ถ่ายน้ำหนักลงไปที่เท้าซ้าย พร้อมกับเท้าขวายกขึ้น..เลื่อนไปข้างหน้า..วางลง..สัมผัสพื้น อยู่แค่นี้ เผลอคิดถึงเรื่องอื่นเมื่อไร ก็จะเดินไม่ตรงกับคำบริกรรมแล้ว อาจจะฟุ้งซ่านไปใหญ่โตอีกต่างหาก ก็แปลว่าถ้าเราอยู่กับปัจจุบัน ตั้งหน้าตั้งตาเอาสติจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า ความทุกข์ของเราก็จะเหลือน้อยมาก เหลือแต่ความทุกข์ตามสภาพร่างกายเท่านั้น แต่ใจจะไม่ทุกข์ นั่นคือวิธีการปล่อยวางอย่างหนึ่ง ก็คือวางอดีตไม่ไปห่วงหาอาลัยถึงมัน วางอนาคตไม่ไปฟุ้งซ่านใหญ่โตกับมัน หยุดอยู่กับปัจจุบัน คือ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ เท่านั้น ถ้าซักซ้อมทำไปบ่อย ๆ กำลังใจมากขึ้น กิเลสก็จะมีอำนาจชักจูงเราได้น้อยลงไปเรื่อย ๆ แต่อย่าประมาท เพราะว่ากิเลสไม่ได้ไปไหน รอจังหวะอยู่ เราเผลอขาดสติเมื่อไร กิเลสพุ่งกลับมาทันที คราวนี้ก็เขื่อนแตก..! เพราะที่ผ่านมาเก็บกดไว้นาน รู้สึก รัก โลภ โกรธ หลง มาเป็นฟ้าถล่มดินทลาย แทบจะแบกไม่ไหว รับไม่ไหวเลยทีเดียว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-10-2025 เมื่อ 02:15 |
| สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#6
|
||||
|
||||
|
วิธีรับมือที่ดีที่สุดให้ทำตัวให้เป็นประโยชน์ คุณแม่บ้านก็กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า รีดผ้า ขัดห้องน้ำ คุณพ่อบ้านก็ตัดหญ้า ซ่อมกรงหมา ซ่อมรั้ว ทาสีบ้านไปเรื่อย เอาให้หายบ้า..! พอกิเลสที่มาฟ้าถล่มดินทลาย เพราะว่าโดนเก็บกดไว้นาน เริ่มเบาลง เหมือนกับเขื่อนแตกแรก ๆ น้ำทะลักมาแรงมาก แต่พอยื้อผ่านไประยะหนึ่ง กำลังน้ำน้อยลง เราก็ค่อย ๆ อุดรู ก็คือดึงสติกลับมาที่ลมหายใจเข้าออกหรืองานตรงหน้าใหม่ แรก ๆ ก็สู้กันแบบนี้ วันหนึ่งพังเป็นร้อย ๆ ครั้ง หกล้มหกลุก หัวร้างคางแตก แต่ต้องสู้..อย่ายอมแพ้..!
นักปฏิบัติธรรมกว่าจะเอาดีได้ ถ้าเป็นนักรบก็แผลทั้งตัว หาที่ว่างไม่ได้หรอก อย่างอาตมภาพนี่โบราณเรียกว่า "เย็บจนเข็มหลง" คือไม่รู้ว่าจะเย็บแผลไหน ดึงทางด้านนี้แผลทางด้านโน้นเปิด ดึงทางด้านโน้นแผลทางด้านนี้เปิด หามุมเย็บยากมาก..! ดังนั้น..บารมี คือกำลังใจ เป็นสิ่งสำคัญสุด ๆ ถามว่าสำคัญตรงไหน ? สำคัญตรงที่ว่าแพ้ก็ต้องสู้ ท้อก็ห้ามถอย..! แล้วเราจะมีกำลังใจแบบนี้ได้อย่างไร ? ต้องดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา พระองค์ท่านทรงทรมานพระวรกายอยู่ถึง ๖ ปีเต็ม ๆ ประเภทแค่ลุกก็เซล้ม ร่างกายนี้เอามือลูบไปตรงไหน เส้นขนหลุดหมด เพราะไม่มีอาหารไปหล่อเลี้ยง ขนาดนั้นพระองค์ยังไม่ท้อเลย ประมาณว่าจะตายลงไปก็ช่าง เพราะรู้ว่าสิ่งที่ตนตั้งใจทำนั้น มีผลดีมหาศาลแค่ไหน..!?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-10-2025 เมื่อ 02:18 |
| สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#7
|
||||
|
||||
|
ถ้าถามว่าแล้วของเรามีผลมหาศาลแค่ไหน ? ก็ถ้าทำดี ทำถูก ก็ตัดชาติตัดภพได้เลย ลองนึกถึงคนที่ลอยคออยู่กลางทะเล พายุรากาซามายังไม่พอ พายุแมตโมตามมา พายุฮาลองตามมา เล่นเอาน้ำท่วมไปครึ่งค่อนประเทศ ลอยคออยู่ มองไปทางไหนไม่เห็นฝั่ง ของเราแย่กว่านั้นเพราะเราลอยมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว แล้วก็ยังคงต้องลอยต่อไปนับชาติไม่ถ้วน..!
แต่ถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม ทำดีขั้นแรกก็มีเกาะ..ให้พักเบาแรงได้ ก็คือมีศีล มีสมาธิ มีปัญญาเบื้องต้น ช่วยให้เราหลบพายุร้าย หรือว่าคลื่นลมแรงได้ชั่วคราว ทำดีขึ้นไปอีกก็มีฝั่ง..มองเห็นฝั่งก็ใจชื้น ลอยคออยู่กลางทะเลหมดเรี่ยวหมดแรง พอเห็นฝั่งไม่รู้เอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาตะกายต่อได้ แล้วถ้าทำถูกต้องจริง ๆ ขึ้นฝั่งได้..จบเลย..ไม่ต้องเหนื่อยอีกแล้ว..! เพราะฉะนั้น..เราต้องหวังเป้าสูงสุด ก็คือข้ามพ้นทะเลทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน คลาน..ล้ม..ลุก..สู้ใหม่ พลาดอีก..ล้มอีก..ลุกอีก..สู้ใหม่ ตื้อไปเรื่อย สัจจบารมี จริงจังจริงใจ ถ้าหากว่าไม่ถึงที่หมาย ไม่เลิกเด็ดขาด อธิษฐานบารมี จิตใจปักมั่นอยู่กับเป้าหมาย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแปลง ขันติบารมี อดทน อดกลั้น ต่อสารพัดสิ่งที่มากระทบ โดยเฉพาะคำพูดชุ่ย ๆ ของคนรอบข้าง "กูรู้ว่ากูทำแล้วได้อะไร ?" วิริยบารมี พากเพียรไปจนสุดกำลัง ถึงชาตินี้ไปไม่ถึง ก็ขอให้ทางที่เหลือสั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าตั้งกำลังใจไว้แบบนี้ ท้อก็ไม่ถอย ลำบากแค่ไหนก็สู้ต่อ ซึ่งจะว่าไปแล้วพวกเราเองมีกำลังใจแบบนี้กันแล้ว ไม่อย่างนั้นวันหยุดไปเที่ยวกันหมดแล้ว ไม่มานั่งอยู่ตรงนี้หรอก..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-10-2025 เมื่อ 02:20 |
| สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#8
|
||||
|
||||
|
ก่อนทำวัตรเย็น วันเสาร์ที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๘ มีใครไม่สบายบ้างไหม ? ที่ถามเพราะจะหาเพื่อน พอเห็นคนอื่นไม่สบายด้วยก็จะได้อ้างได้ เพราะว่าถ้าถามว่า "ไม่สบายมากหรือเปล่า ?" ตอนนี้ก็ไม่มาก เพราะว่าไม่สบายคนเดียว พอมีเพื่อนหลายคนก็จะได้บอกเขาได้ว่า ไม่สบายมาก..เพราะว่าไม่สบายหลายคน..! ช่วงปลายฝนต้นหนาว ช่วงปลายหนาวต้นร้อน หรือว่าปลายร้อนต้นฝน เป็นช่วงรอยต่ออากาศ สภาพร่างกายของคนเราซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโลก ก็มีผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ดังนั้น..ถ้าหากว่าเป็นคนแก่หรือคนป่วย แล้วดูแลไม่ดี ก็มักจะตายกันในช่วงนั้น ก็แปลว่าเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลสวดพระอภิธรรมของพระแล้ว..! แล้วที่ประหลาดที่สุดก็คือ ทองผาภูมิไม่เคยตายศพเดียว เพราะว่ารักกันมากถึงเวลาต้องตาม ๆ กันไป ไม่รู้ว่าอิจฉาคนตายหรือเปล่า ? เห็นนอนสบายกูเลยขอตายบ้าง..! คราวนี้ในส่วนที่เราทั้งหลายต้องระมัดระวังก็คือ รักษากำลังใจให้มั่นคง อย่าให้หวั่นไหวไปกับสภาพภายนอก ถ้ากำลังใจมั่นคง..ก็เหมือนกับว่าป่วยแต่ตัว..ใจไม่ได้ป่วย ถ้ากำลังใจไม่มั่นคง..ก็ป่วยทั้งตัว..ป่วยทั้งใจ มักจะหายยากหน่อย..! เรื่องพวกนี้ดูง่าย ๆ ว่าเราเป็นคนปากหนักหรือปากเบา ถ้าเป็นคนปากหนัก..บางทีป่วยใกล้ตายคนข้าง ๆ ยังไม่รู้เลย แต่ถ้าเป็นคนปากเบา..ป่วยนิดหน่อยคนรู้ไปครึ่งโลก..! ก็คือนอกจากต้องการให้คนรอบข้างรับทราบแล้ว ยังลงโซเชียลอีกต่างหาก ถ้าประมาณนั้นก็แปลว่ากำลังใจยังแย่มากอยู่ ก็คือยังกลัวตายนั่นเอง ก่อนหน้านี้มีพระรูปหนึ่งของวัดท่าขนุน ป่วยนิดหน่อยก็ต้องถึงมือหมอทันที เพราะว่าท่านกลัวตาย โดนประตูหนีบนิ้วหน่อยหนึ่ง ถ้าเป็นอาตมภาพก็จะไม่แลเลย ประตูหนีบเล็บก็ต้องปวดอยู่แล้ว แต่ของท่านต้องถึงหมอเดี๋ยวนั้น ท่านบอกว่ามันปวดเหมือนนิ้วจะขาดแล้ว..! นี่ถ้าเห็นอาตมาภาพรักษาตัวเองก็คงเป็นลมตายไปเลย ถึงเวลาอยู่ในป่า ตกเขาถลอกปอกเปิก หนังเปิดมาชิ้นหนึ่งก็กระตุกโยนทิ้งไป หาน้ำล้างได้ เช็ดเสร็จ มีผ้าก็พันไว้ มีพลาสเตอร์ก็ปิดไว้ ถ้าไม่มีก็เดินต่อทั้งอย่างนั้น..! ไปขาหักที่น้ำตกทีลอซู เดินออกมาใช้เวลาสามชั่วโมงครึ่ง คือตอนขาดี ๆ เดินเข้าไป ใช้เวลาสี่ชั่วโมง ขาหักเดินออกใช้เวลาสามชั่วโมงครึ่ง เพราะว่าเจ็บมาก แตะพื้นไม่ค่อยได้ ก็เลยต้องใช้วิธีไปเร็ว ๆ จะได้แตะพื้นน้อยหน่อย ถ้ารู้วิธีแบบนี้..ขาเข้าก็คงไม่ถึงสี่ชั่วโมง..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2025 เมื่อ 03:11 |
| สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#9
|
||||
|
||||
|
ความจริงครั้งนั้นไม่น่าขาหักหรอก น่าจะตกเขาตายไปเลย..! แต่ด้วยความที่เก่งเกินไปก็เลยขาหัก เพราะว่าที่นั่นจะมีอยู่มุมหนึ่งที่เป็นหน้าผา แล้วมองเห็นน้ำตกทีลอซูได้ทั้งหมด เป็นมุมที่เรียกว่าสวยที่สุด จึงปีนไปมุมนั้นเพื่อที่จะถ่ายรูป แต่ปรากฏว่าพลาด..หัวทิ่มลงเหว..!
คราวนี้พวกเราทุกคนอาจจะทำไม่ได้ แต่บังเอิญอาตมภาพทำได้ ก็คือเวลาที่เราล้มลง จะมีแรงส่ง ก็คือน้ำหนักตัวของเราที่โดนแรงดึงดูดโลกดึงลงไป พอตกลงไปยังไม่ถึงครึ่งทาง อาตมภาพก็หมุนตัว อาศัยแรงที่กดลงนั่นแหละ เหวี่ยงตัวเองกลับมาด้านใน ไปลองทำดู..เผื่อว่าทำได้..! ปรากฏว่าพอเหวี่ยงกลับเข้ามาแล้ว เท้าต้องก้าวตามไปเพราะไม่มีที่ให้ยืน เท้าดันแหย่พรวดเข้าไปในซอกหิน แล้วโดนน้ำหนักตัวกระชากไปข้างหน้า เสียงดังกร๊อบ..! ไพเราะเสนาะหูมาก ใครไม่เคยได้ยินเสียงกระดูกตัวเองหัก ก็ลองทำดู..เผื่อว่าจะได้ยินบ้าง.. แต่เบาใจอยู่ตรงที่ว่า เมื่อวันก่อนที่จะเดินจากบ้านโคทะเข้าไปที่น้ำตก ได้จ้างช้างเขาเอาไว้แล้ว ว่าวันนี้ให้ตามเข้าไปรับด้วย แต่ปรากฏว่ากะเหรี่ยงนำทาง เขาบอกว่า "ไอ้นี่เชื่อใจไม่ได้หรอก" และปรากฏว่าเขารู้จักกันจริง เพราะว่าพอมีฝรั่งจ้างซ้ำ เขาไปกับฝรั่งเฉยเลย..! ได้เงินเยอะดี..! อาตมาก็เลยต้องเดินออกมาสามชั่วโมงครึ่ง แล้วช้างของฝรั่งก็ตามหลังมา ทันกันตรงบ้านโคทะ ปรากฏว่าแหม่มแกลื่นล้ม ข้อเท้าเขียว ๆ หน่อยเดียว เดินไม่ได้ อาตมาก็เลยชี้ให้ดูขาตัวเองที่บวมเกือบเท่าลูกฟุตบอล บอกว่า "นี่ไม่ได้แพลง แต่หัก" แล้วก็ไม่พูดต่อว่า "ช้างที่มึงนั่งอยู่นั่น กูจ้างมาเองแหละ..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-10-2025 เมื่อ 02:19 |
| สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#10
|
||||
|
||||
|
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันอาทิตย์ที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๘ "ยักษ์ตนหนึ่งมีตาสองข้าง ข้างหนึ่งสว่าง ข้างหนึ่งริบหรี่ มีปากอยู่ ๑๒ ปาก มีฟันไม่มาก ปากละ ๓๐ ซี่ เที่ยวไล่จับกินสัตว์ทั้งปฐพี ยักษ์ตนนี้ชื่อว่าอะไร ?" ถ้าเป็นปัญหาเชาว์ก็ต้องตอบว่าชื่อยักษ์ "อะไร" เพราะเขาบอกว่า "ยักษ์ตนนี้ชื่อว่าอะไร" พอดีว่าไม่ใช่ปัญหาเชาว์ แต่เป็นปัญหาธรรม ยักษ์ตัวนี้คือกาละ คือเวลา บอกว่ามีตาสองข้าง ข้างหนึ่งสว่าง ข้างหนึ่งริบหรี่..ก็คือกลางวันกับกลางคืน มีปากอยู่ ๑๒ ปาก..ก็คือเวลา ๑๒ เดือนในหนึ่งปี มีฟันไม่มาก ปากละ ๓๐ ซี่..ก็คือเดือนหนึ่งมี ๓๐ วัน เที่ยวจับกินสัตว์ทั่วปฐพี..ก็คือสรรพสัตว์ทั้งหลายเกิดเท่าไร ตายหมดเท่านั้น..! คราวนี้พวกเราบอกว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม พอเจอยักษ์ไล่ล่า..กูนอน..เพลิน..อยากจะกินก็กินไป..! ถึงเวลายักษ์ไล่ล่ามา..กูก็นั่งเขี่ยไลน์..นั่งเช็คเฟซบุ๊ก..! ยักษ์ไล่มาถึง..เดี๋ยว..ขอกินก่อน..ตอนนี้ชานมไข่มุกกำลังอร่อย..! สรุปก็คือเราตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อให้หลุดพ้น แต่สิ่งลากถ่วงทั้งปวงดึงเราเอาไว้รอยักษ์มากิน แล้วเราก็ไม่ดิ้นรนหนีมันเลย..! เมื่อครู่นี้หลวงพ่อไปทำอะไร..? อาบน้ำ พับผ้า แต่งตัวใหม่ เลี้ยงหมา แล้วค่อยมา ยังมาก่อนพวกเราตั้งเยอะ..! สรุปว่าช้าแบบนี้จะหนียักษ์ทันไหม ? พูดง่าย ๆ ก็คือนอนให้ยักษ์กินแต่โดยดี ไม่ต้องหนีให้เหนื่อย แล้วก็เวียนว่ายตายเกิดไปชาติแล้วชาติเล่า ถึงได้ว่า อะถายัง อิตะรา ปะชา ตีระเมวานุธาวะติ เปรียบชนทั้งหลายที่วิ่งพล่านอยู่ที่ริมฝั่งน้ำ ล้มตายไปคนแล้วคนเล่า วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า ไม่มีใครคิดที่จะข้ามน้ำนั้นไป แล้วก็ตายทับตายถมกันต่อไป เพราะว่าเรายังไม่เข็ด ถ้าคนรู้จักเข็ด รู้จักกลัว จะต้องตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมแบบเอาชีวิตเข้าแลก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2025 เมื่อ 03:12 |
| สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#11
|
||||
|
||||
|
ทุกวันนี้หลักธรรมของพระพุทธเจ้า แค่สามัญลักษณะก็คือความเป็นธรรมดาเสมอกันถ้วนทั่วทุกตัวสัตว์ ก็คืออนิจจังไม่เที่ยง ทุกขังดำรงชีวิตอยู่มีแต่ความทุกข์ อนัตตาไม่มีอะไรให้เรายึดถือมั่นหมายได้ สักแต่เป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบกันขึ้นมา..รู้ทุกคน..แต่รู้แค่นี้..!
เคยคิดต่อหรือเปล่าว่าทำไมถึงอนิจจัง ? ทำไมถึงทุกขัง ? และทำไมถึงอนัตตา ? ทำอย่างไรที่จะให้เป็น นิจจัง สุขัง และอัตตาบ้าง ? ไม่คิด..เปลืองสมอง..! เพราะฉะนั้น..เวลามนุษย์ต่างดาวต้องการสมองมนุษย์โลก รับรองได้ว่าจะได้ของที่สดใหม่มาก เพราะไม่ค่อยได้ใช้กัน ถ้าใครใช้สมองมาก ๆ สมองเสื่อมโทรม มนุษย์ต่างดาวไม่เอา เดี๋ยวมนุษย์ต่างดาวก็ส่งพรีเดเตอร์ (Predator) มาเจาะกินสมองเฉพาะไอ้พวกไม่ค่อยใช้ความคิด..! สมัยก่อนลูกศิษย์สองคน ผู้หญิงกับผู้ชาย กระจู๋กระจี๋อี๋อ๋อกัน ก็บอก "เฮ้ย..ห่างกันหน่อย ผู้หญิงกับผู้ชายใกล้เกินไปไม่ดี" ยายบ้านั่นบอก "ไม่ได้คิดอะไร" อ๋อ..มึงไม่มีสมองใช่ไหม ? ไม่ได้คิดอะไร ลองถามผู้ชายสิว่า "ผู้หญิงอยู่ใกล้ มันคิดอะไรหรือเปล่า ?" ปัญญาอ่อนชัด ๆ ต้องให้ตูด่าอยู่ทุกบ่อย ทำอย่างกับครูบาอาจารย์ไม่ด่าแล้วจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ..! ดังนั้น..สิ่งที่เราทำ กับสิ่งที่เราประสงค์ก็คือเป้าหมายในชีวิต ไปกันไม่ได้ ถ้าหากว่าเป้าหมายในชีวิตกับการกระทำไปกันไม่ได้ ก็อย่าไปหวังว่าจะประสบความสำเร็จ เพราะว่าพวกเราลำบากหน่อยก็ท้อ ยากหน่อยก็ถอย เลือกเอาแต่ที่สบาย แล้วโลกนี้มีอะไรที่สบายด้วยหรือ ? มีแต่ลำบากน้อยกับลำบากมาก ลำบากน้อยของช้างสำหรับมดก็ถึงตายเหมือนกันนะ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-10-2025 เมื่อ 04:20 |
| สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#12
|
||||
|
||||
|
ดังนั้น..เราต้องตระหนักอยู่เสมอ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เราเหมือนกับอยู่บนเรือนที่กำลังไฟไหม้ ต้องเร่งหนีไปให้เร็วที่สุด ไม่ใช่นอนเพลินรอไฟไหม้ตาย..!
ก็แปลว่าทุกครั้งที่มีการปฏิบัติธรรม จะต้องมานั่งรอ ไม่ใช่หลวงพ่อคุยไปครึ่งชั่วโมงแล้วค่อยโผล่มา "ทำไมหลวงพ่อรีบมาจังเลย หนูไม่ทันได้ฟัง" น่าโบกให้คว่ำ..! ไม่ทำอะไรให้เร็วกว่านั้นหน่อยล่ะ อาตมภาพอายุ ๖๗ ปีแล้ว เพราะฉะนั้น..ใครอายุน้อยกว่านี้ แล้วจะมาอ้างว่าช้าเพราะแก่นี่ไม่ต้องอ้างเลยนะ..! พวกเราจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเพิ่มบารมี..คือความเข้มข้นของกำลังใจของเรา ตัวแรกเลยคือ ปัญญาบารมี ต้องเห็นทุกข์เห็นโทษจริง ๆ รู้จักเข็ดรู้จักกลัว ภาษาบาลีท่านใช้คำว่า ภะยะทัสสาวี ผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร จะต้องมีวิริยบารมี พากเพียรไม่ท้อถอย ทำเต็มที่ ชนิดเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อความสำเร็จ ต้องมีขันติบารมี อดกลั้นอดทน ไม่ได้ไม่เลิก ต้องมีสัจบารมี จริงจังจริงใจ ยากแค่ไหนก็ไม่เปลี่ยนเป้าหมาย ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะไม่ประสบความสำเร็จ มีผู้รู้ท่านเปรียบว่า เหมือนพวกเราโดนขังอยู่ในคุกใหญ่ กำแพงคุกหนาเท่ากันทุกจุด แต่เราเจาะ ๆ ๆ ไปได้ ๑ - ๒ เมตร แล้วไม่ทะลุสักที คิดว่าน่าจะมีที่บางกว่านี้ แล้วก็ขยับไปเจาะที่ใหม่ เจาะไปได้สักศอกสักคืบ ไม่น่าใช่ ไปตรงโน้นดีกว่า สรุปก็คือบางคนเข้าสำนักปฏิบัติธรรมมาเป็นสิบสำนักแล้ว ยังเอาดีไม่ได้เลย เปลี่ยนบ่อยเกินไป จิตเรามีสภาพจำ พอเริ่มจำวิธีการต่าง ๆ ของสำนักโน้นได้ เคยชิน เริ่มทำได้อัตโนมัติ เราเปลี่ยนอีกแล้ว..! ก็ต้องมาเริ่มจำใหม่ จำเยอะไป คราวนี้สับสน เดี๋ยวก็ปนกันมั่วไปหมดระหว่างของใหม่กับของเก่า แล้วยิ่งเอาดียากเข้าไปอีก ดังนั้น..เราหยิบจับอะไรขึ้นมาแล้วต้องทำให้ถึงที่สุดไปเลย ถึงจะย้ายไปทำของใหม่ ไม่อย่างนั้นแล้วก็ไม่ต้องไปหวัง เดี๋ยวพวกเราสมาทานพระกรรมฐานแล้วเข้าสู่การปฏิบัติธรรมกันต่อไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-10-2025 เมื่อ 04:23 |
| สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#13
|
||||
|
||||
|
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันอาทิตย์ที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๘ มาเข้ารอบปฏิบัติธรรมช่วงบ่ายของเราต่อไป จะว่าไปแล้วการปฏิบัติธรรมนั้นจริง ๆ ก็คือทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที ถ้าเราไปปล่อยให้สภาพจิตว่างเว้นจากความดีเมื่อไร สิ่งที่ไม่ดีจะแทรกเข้ามาแทน แล้วถ้าเข้ามาได้ ก็เอาออกยากมาก เนื่องเพราะว่าส่วนใหญ่แล้วสิ่งที่เข้ามาคือสิ่งที่เราชอบ สังเกตว่าถ้าเราจะตัด จะสลัด จะละทิ้งอะไรที่เราเกลียด เราจะทำได้ง่าย แต่ถ้าหากว่าจะไปตัด ไปละ สิ่งที่เรารัก รู้สึกว่ายากมากเหมือนใจจะขาด คราวนี้กิเลสเขารู้ ก็เลยหาสารพัดสิ่งที่เรารักเราชอบมาให้ แล้วส่วนใหญ่พวกเราก็จะรับไว้ด้วยความยินดี ถ้าปัญญาไม่ถึง มองไม่เห็นโทษ ไม่เกิดความรังเกียจ ก็เสร็จเรียบร้อย..ไปไหนไม่รอด ตาอยากเห็นรูปสวย ๆ หูอยากได้ยินเสียงเพราะ ๆ จมูกอยากได้กลิ่นหอม ๆ ลิ้นอยากได้รสอร่อย กายอยากได้สัมผัสที่นุ่มนวล พอไม่ผลักไสก็เข้าไปในใจหมด ที่เรามาฝึกกรรมฐานก็เพื่อสร้างสติ สติเป็นนายประตูใจ คอยปิดประตูไม่ให้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เข้าไปข้างในได้ แต่ถ้าหากว่าเราไม่สามารถปิดตายได้เลย ก็คือเด็ดขาดสิ้นเชิงกันไปเลย เผลอทิ้งช่วงเมื่อไร ประตูเปิด สิ่งเหล่านี้ก็จะเข้าไปอีก ก็เลยมีอยู่ ๒ วิธี วิธีแรกสร้างสติให้มาก สร้างสมาธิให้มาก แล้วก็คอยระมัดระวังสกัดกั้น ไม่ให้สิ่งเหล่านี้เข้าไปในใจของเรา วิธีนี้เหนื่อย ต้องคอยระวังตลอดเวลา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2025 เมื่อ 03:12 |
| สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#14
|
||||
|
||||
|
อีกวิธีหนึ่งก็พิจารณาเห็นทุกข์ เห็นโทษ เห็นความเป็นธรรมดาว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก่อทุกข์ให้กับเรามานับชาติไม่ถ้วนแล้ว ถ้าหากว่าเรายังยินดี ยังรับเข้าไปในใจของเราอีก ก็จะก่อทุกข์ให้เราอีกนับชาติไม่ถ้วนต่อไป ในเมื่อเห็นและรังเกียจเสียแล้ว ก็ไม่คิดที่จะนำเข้ามาสู่ใจ
บาลีท่านใช้คำว่า เหมือนบุรุษผู้ตกอยู่ในหลุมคูถ ก็คือสมัยก่อนเป็นส้วมหลุม คนตกลงไป เลอะขี้ทั้งตัว มีผู้ช่วยเหลือขึ้นมา ทำการชำระร่างกายสะอาดดีแล้ว ให้สวมใส่ผ้าใหม่ คล้องพวงมาลัยดอกไม้หอม แล้วให้กระโดดลงไปในหลุมคูถอีก ไม่มีใครยินดีกระทำ..! ปัญญาเราจะถึงไหม ? ตอนนี้เบื่อ ๆ อยาก ๆ แล้วก็อยากมากกว่าเบื่อ..ตายแน่..! เอาวิธีที่หนึ่งก็แล้วกัน เหนื่อยหน่อยแต่ว่าอย่างไรเสียก็พ้นไปได้ชั่วคราว ดังนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมส่วนที่สำคัญก็คือต้องใช้ปัญญา คำว่า ใช้ปัญญา ในที่นี้ก็คือปัญญาในวิปัสสนาญาณ ถ้าหากว่าเป็นวิปัสสนาญาณ ๙ ตามในวิสุทธิมรรคก็จะเริ่มที่ อุทยัพพยานุปัสนาญาณ เห็นการเกิดการดับเป็นปกติ เกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป เกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป ไม่ใช่ท่องได้ แต่ว่าเห็นนั้นจริง ๆ คนเราเป็นเด็กเล็ก เป็นเด็กโต เป็นหนุ่มสาว เป็นวัยกลางคน เป็นคนแก่ แก่มาก ท้ายที่สุดก็ตาย มองไปทางไหนเห็นการเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป ตลอดเวลา ในเมื่อเห็นอย่างนั้นก็จะรู้สึกว่าไม่มีอะไรในโลกนี้เป็นแก่นสารเลย ทุกอย่างเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป ทั้งหมด สภาพจิตก็จะถอนจากการยึดมั่นถือมั่นออกมา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2025 เมื่อ 03:14 |
| สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#15
|
||||
|
||||
|
หรือว่าวิปัสสนาญาณข้อต่อไปก็คือ ภังคานุปัสสนาญาณ ทุกอย่างดับหมด พังหมด ไม่ต้องรอแผ่นดินไหว ไม่ต้องรอภูเขาไฟระเบิด ไม่ต้องรอนิวเคลียร์ลง ทุกอย่างพังหมด..! แม้แต่ตัวเรา ท้ายสุดก็พัง ตาย เน่า เปื่อย ผุ จมดิน ไม่เหลืออะไรเลย มองไปทางไหน โน่นก็พัง..นี่ก็ตาย..!
คราวนี้ถ้าปัญญาเพียงพอก็จะเห็น อ๋อ..ทุกอย่างพังแบบนี้เอง เราจะไปยึดถืออะไรได้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ ก็อยู่ลักษณะเดียวกัน สภาพจิตก็ถอนตัว เบาออกมาอีกนิดหนึ่ง ขยับต่อไปเป็นภยตูปัฏฐานญาณ เห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นโทษ เป็นภัย เป็นของน่ากลัว บางคนขาดสติป้ำ ๆ เป๋อ ๆ ไปเลยก็มีนะ..! เพราะเห็นว่าน่ากลัวมาก พังหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย แล้วไหนละ ? พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เมีย ผัว ลูก หลาน เหลน โหลน เรือนชาน บ้านช่อง รถรา ไม่มีอะไรเหลือเลย พังทั้งหมด รู้สึกเคว้งคว้าง กำลังใจไม่มีที่ยึด แบบนั้นเขาเรียกว่าโง่ไปหน่อย..! ยึดพระไว้ก่อนแล้วค่อยคิดพิจารณาสิวะ..! ในเมื่อเห็นเป็นภัยในลักษณะนั้น ก็เกิดความกลัว ไม่อยากมี ไม่อยากได้ ไม่อยากเป็นอีกแล้ว ก็จะเกิดอาทีนวานุปัสสนาญาณ เห็นทุกอย่างว่าเป็นของที่ควรจะละทิ้ง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2025 เมื่อ 03:16 |
| สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#16
|
||||
|
||||
|
ขยับขึ้นไปอีกหน่อย นิพพิทานุปัสสนาญาณเกิด ทุกอย่างทำไมน่าเบื่อไร้สาระขนาดนี้ แต่อย่าไปเกิดกลางห้างแบบอาตมภาพนะ วันนั้นไปซื้อของกับสาว ๆ ที่ว่าไปซื้อของกับสาวก็คือ สาวเขาไปซื้อ อาตมามีหน้าที่จ่ายเงิน แล้วก็แบก ถุงที่หนึ่ง ถุงที่สอง ถุงที่สาม จากหิ้วก็ไม่ไหวต้องเริ่มหอบ..!
อยู่ ๆ เกิดความคิดขึ้นมาว่า "นี่เอ็งกำลังทำอะไรอยู่วะ ? ทำไมมันเหลวไหลไร้สาระขนาดนี้..!" ก็คือที่มีสาระกว่านี้ไม่มีให้ทำแล้วหรือ..? ต้องชมว่าผู้หญิงเขาความรู้สึกโคตรไวเลย เขาหันขวับมาถามว่า "พี่เป็นอะไร ?" ก็บอก "เป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้เบื่อหน้าเธอฉิบหายเลย..!" เขาบอกว่า "ถ้าอย่านั้นก็กลับ" อาตมาเวลาไปไหนกับน้อง ๆ ผู้หญิงนี่ สอนเขาอยู่อย่างเดียว คือมีอะไรพูดตรง ๆ ไม่ใช่เอา..แต่บอกว่าไม่เอา ไม่ใช่ได้..แต่บอกว่าไม่ได้ แบบนั้นเดี๋ยวเจอโบก..! ก็เลยเคยชินกับการพูดตรง ๆ แต่ดันไปเบื่ออยู่กลางห้างพอดี..! ชื่อห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว ตอนนั้นเพิ่งสร้างเสร็จ เป็นห้างที่ส่งอาตมภาพมาบวช..! เบื่อมาก ๆ ก็บวชให้หมดเรื่องไปเลย..! เมื่อเบื่อมาก ทำอย่างไร..? หาทางหนี มุญจิตุกัมยตาญาณก็เกิด กูจะไปทางไหนดีวะ ? คราวนี้วิธีหนีมีทางเดียวก็คือต้องกลับไปหาหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ก็จะเป็นปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ย้อนกลับมาพิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กันใหม่ เพราะฉะนั้น..ในเรื่องวิปัสสนา ถ้าเราทำเป็น บางข้อพอเกิดแล้ว ข้ออื่นจะตามมาติด ๆ ๆ ๆ กันเลย มาชนิดไม่ทันตั้งหลัก โดนแถมให้ ประมาณว่าโปรโมชั่น ๑๐:๑๐ ที่ผ่านมา ซื้อของไปเท่าไรก็ไม่รู้ เห็น เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่นบอกว่าไลฟ์ได้ไป ๖๓ ล้านบาท ปล่อยเขาไปเถอะ..โม้มาก ๆ ระวังสรรพากรเอาไว้..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2025 เมื่อ 03:19 |
| สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#17
|
||||
|
||||
|
เพราะฉะนั้น..พวกเราต้องพิจารณาวิปัสสนาญาณให้มากขึ้น เห็นทุกอย่างว่าไม่เที่ยงอย่างไร ? เป็นทุกข์อย่างไร ? ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราอย่างไร ? แล้วก็ถอนใจจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวเองขึ้นมา เพราะว่าไม่มีไอ้ที่นั่งหัวโด่อยู่นี่หรอก สักแต่ว่าเป็นรูป สักแต่ว่าเป็นธาตุ ที่เรามาอาศัยอยู่ชั่วคราว ตามบุญตามกรรมที่ทำเอาไว้ พอถึงเวลาอยู่ไม่ได้ ต้องพังสลาย กลายเป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม คืนให้กับโลกไป
เดี๋ยววันนี้ไม่มีที่ไปแล้ว ไม่เหลืออะไรแล้วนี่ เคว้งคว้างหาที่ยึดไม่ได้ วิ่งพล่านไปทั้งวัด..หมากัดแน่..! ถ้าหาที่ยึดไม่ได้ก็ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ไว้ก่อนนะ คราวนี้พอเราซักซ้อมมาก ๆ เข้า กำลังใจคลายการยึดเกาะไปเรื่อย ๆ ของที่เคยรักก็รักน้อยลง ของที่เคยยึดมั่นก็ยึดน้อยลง ก็จะค่อย ๆ สลัด ตัดออก ไปทีละน้อย..ทีละน้อย บาลีเขาว่าจาโค คือจาคะ..บริจาค สละออก ปฏินิสสัคโค..โยนทิ้งไปเลย อันนี้แรงขึ้นไปอีกหน่อย ถ้าหากว่ากำลังใจมาถึงตรงจุดนี้นี่ บางคนต่อให้ร่ำรวยแค่ไหนก็ไม่เอาแล้ว แต่ขอบอกว่ายังเป็นกำลังใจที่ยังไม่มั่นคงจริง ๆ ยังต้องระมัดระวังประคับประคองอยู่ เพราะว่าถ้าเผลอเมื่อไร อาจจะถอยกลับไปเห็นความดีความงามใหม่ เราจะเห็นมหาเศรษฐีพันล้านมาบวชอยู่วัดป่าเฉยเลย ประเภทลูกหลานของหลวงปู่ภัททิยศากยราชา ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ สละราชสมบัติออกบวช ปลดโน่นนี่นั่นทิ้งได้หมด "โอ๊ย..สุขจริงหนอ..สุขจริงหนอ" ก่อนหน้านี้ทุกอย่างท่านต้องแบกทั้งหมด..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-10-2025 เมื่อ 02:16 |
| สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#18
|
||||
|
||||
|
เอาแค่วัดท่าขนุน ค่าไฟเดือนละประมาณ ๖๐,๐๐๐ บาท แบกไปสิ..! คนอื่นเขาใช้ เจ้าอาวาสหามาจ่ายก็แล้วกัน ไหนจะค่าน้ำ ไหนจะค่าไฟ ไหนจะค่าโทรศัพท์ ไหนจะซ่อมแซมบูรณปฏิสังขรณ์ โน่นก็ขอเบิกเงินเดือน นี่ก็ขอเบิกค่าเทอม โรงเรียนนั้นมาขอความช่วยเหลือ วัดนี้มาขอความช่วยเหลือ ฯลฯ
แล้วหลวงปู่ภัททิยศากยราชาท่านดูแลทั้งประเทศ จะยุ่งแค่ไหน ? สละทุกอย่างออก ไปนอนกลางดินกินกลางทราย มีแค่บริขาร ๘ โอ๊ย มีความสุขมาก..! กูไม่ต้องแบกอะไรอีกแล้ว..! ก็ไป "อโห..สุขัง อโห..สุขัง" พระปุถุชนได้ยินก็ไปฟ้องพระพุทธเจ้า สมัยก่อนลูกอีช่างฟ้องก็เยอะนะ..! ไปฟ้องว่าพระภัททิยศากยราชาไปนึกถึงความสุขตอนเป็นพระมหากษัตริย์ ไปนั่งรำพึง "สุขหนอ..สุขหนอ" อยู่นั่น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัททิยะลูกเรามีความสุขจากการปล่อยวางทุกอย่างได้แล้ว ไม่ใช่นึกถึงความสุขที่เป็นพระมหากษัตริย์อย่างที่พวกเธอเข้าใจ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-10-2025 เมื่อ 02:18 |
| สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#19
|
||||
|
||||
|
ในสมัยโน้นมีกษัตริย์ไปบวชเยอะนะ อย่างพระมหากัปปินะนั่นก็พระมหากษัตริย์ สมัยก่อนความเป็นกษัตริย์เป็นเจ้าผู้ครองนคร บางที่พื้นที่ก็ประมาณอำเภอเดียวบ้าง ๒ - ๓ จังหวัดบ้าง ถ้าใหญ่ประมาณเป็นภาคเลย ก็เห็นจะมีแต่แคว้นโกศลกลับแคว้นมคธ ขนาดกบิลพัสดุ์ยังเล็กกระจึ๋งเดียว ประมาณตำบลเดียวเท่านั้นเอง..!
แต่คราวนี้ด้วยความที่มีกองทัพของตัวเอง มีกษัตริย์เป็นผู้นำ เขาก็เรียกกษัตริย์บ้าง ราชาบ้าง แต่มีมหาราชาอยู่ท่านเดียวก็คือแคว้นโกศล เขาเรียกพระเจ้าปเสนทิโกศลว่ามหาราช..ราชาผู้ยิ่งใหญ่ เพราะว่าแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลมาก ในสมัยนั้นน่าจะประมาณซัก ๗ - ๘ จังหวัดของสมัยนี้..ใหญ่มาก ตอนนั้นชมพูทวีปแบ่งออกเป็นมหาชนบท ๑๖ แคว้น ก็คือมี ๑๖ ประเทศ รุ่นอาตมาต้องมานั่งท่องกัน รุ่นหลัง ๆ เขาไม่ท่องกันแล้ว เพราะฉะนั้น..รุ่นเก่า ๆ จะจำได้ว่า ๑๖ แคว้นมีอะไรบ้าง รุ่นใหม่ไม่ค่อยมีใครรู้ เป็นอะไรที่น่าเสียดายมาก ถ้าไม่อย่างนั้นก็ต้องมานั่งท่อง อังคะ มคธะ กาสี โกสละ วัชชี มัลละ เจตี ฯลฯ ใล่ไปเรื่อยจนถึง คันธาระ กัมโพชะ อัสสกะ อวันตี โน่น ๑๖ แคว้น พวกเราเรียนน้อยไปไม่เป็นไร อาตมภาพบ่นไปฝ่ายเดียวก็ได้..! สมัยก่อนถ้าหากว่าท่องได้ จะจำได้ตลอดชีวิต แต่บางอย่างที่เคยท่องไว้ มาสมัยนี้ใช้ไม่ได้ ถามว่าทำไมใช้ไม่ได้ ? สมัยก่อนเขาว่า "สัปดาห์หนึ่งนั้นมี จำให้ดีมีเจ็ดวัน สีแดงนั้นวันอาทิตย์ เหลืองจับจิตคือสีวันจันทร์ วันอังคารสีสวยงาม สมนามเป็นสีชมพู พุธนั้นดูเขียวขจี พฤหัสบดีเป็นสีน้ำเงิน วันศุกร์สวยเกิน มองเพลินเป็นม่วงงามขำ เสาร์สีดำจำเอาไว้ ท่องให้ขึ้นใจอย่าได้ลืมเอย" มาสมัยนี้สีเปลี่ยนไปตอนไหนก็ไม่รู้..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-10-2025 เมื่อ 02:20 |
| สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#20
|
||||
|
||||
|
เพราะฉะนั้น..บางอย่างท่องได้สมัยนั้น ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้ของสมัยนี้นะ สมัยก่อนจำได้ก็คือเขียนไม่ผิด แล้วก็จะโดนบังคับท่องสมบัติผู้ดี คนรุ่นหลัง ๆ นี่หนังสือสมบัติผู้ดีหน้าตาเป็นอย่างไรไม่เคยเจอ
สมัยก่อนเวลาลูกบ้านไหนมารยาทไม่ดี ผู้ใหญ่เขาจะด่า "ไปเอาสมบัติผู้ดีมาต้มกินซะบ้างนะ..!" คือจะเป็นหนังสือที่กล่าวถึงว่าทำอย่างไรที่จะดูเป็นผู้ดี สมบัติผู้ดีมีข้อ.................กล่าวย่อพอยกหยิบอ้าง ภาคหนึ่งระวังท่าทาง....................รู้วางไว้ตัวชั่วดี ภาคสองสำรวมนิสสัย.................มิให้เสื่อมเสียราศี ภาคสามน้อมกายวจี...................ท่วงทีคารวะผู้ควร ภาคสี่มีกริยา...........................วาจาน่ารักเสสรวล ภาคห้ากว้างขวางทางชวน..........ชักมวลหมู่เพื่อนนิยม ภาคหกปฏิบัติงานดี...................เรียบมีหลักมั่นคงสม ภาคเจ็ดจิตเอื้ออุดม............เกลียวกลมช่วยเหลือหมู่ชน จิตสาธารณะเขามีตั้งแต่สมัยโน้นแล้ว ภาคแปดไม่เห็นแก่ตัว..................เมามัวตั้งหน้าหาผล ภาคเก้าสุจริตในกมล..................ไม่ค้นของใครใฝ่ปอง โตไปไม่โกงจ้า..! เขาสอนมาตั้งแต่ยุคนั้นแล้ว แล้วเอ็งเอาไปโยนทิ้งไว้ที่ไหน ? ไม่เอามาสอนต่อ กลายเป็นยิ่งเรียนยิ่งถอยหลัง..! เขากลัวพวกเราจะเก่ง ถ้าเก่งแล้วปกครองยาก ต้องโง่ ๆ แบบเขมร ผู้นำบอกอะไรก็เชื่อหมด..! นี่เราไปวจีทุจริตกับเขาอีกแล้วใช่ไหม ? ถ้าอย่างนั้นสมาทานพระกรรมฐาน รีบเอาความดีใส่ตัวกันเถิด ชักจะเริ่มชั่วแล้ว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-10-2025 เมื่อ 02:21 |
| สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
| ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|