#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๘
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพเดินทางไปประชุมผู้บริหาร คณาจารย์และบุคลากร ของวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี ศรีไพบูลย์ ประจำเดือนตุลาคม ๒๕๖๘
สิ่งหนึ่งที่เห็นอย่างชัดเจนก็คือ ตั้งแต่เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ระบาดเป็นต้นมา มีการเรียนการสอนออนไลน์ ก็เลยทำให้ครูบาอาจารย์จำนวนมาก ใช้การเรียนการสอนออนไลน์ยาวมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งข้อเสียของการเรียนการสอนออนไลน์นั้นมีมาก แต่ว่าลูกศิษย์ก็ขี้เกียจ อาจารย์ก็เอาสบายเข้าว่า ก็เลยเป็นปัญหาที่น่าจะปะทุขึ้นมาในเวลาอีกไม่นาน..! โดยเฉพาะความสัมพันธ์กันระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ กลายเป็นห่างเหินไปโดยใช่เหตุ ของอาจารย์ก็ถือว่าไม่ต้องเดินทางไปที่วิทยาลัยสงฆ์ ของลูกศิษย์ก็ไม่ต้องออกจากวัด แต่ว่าการเรียนการสอนในลักษณะอย่างนั้น โอกาสที่จะได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยนั้นย่อมเป็นไปได้ยาก ทุกท่านลองนึกถึงว่าถ้าเป็นเด็กนักเรียนยุคเก่าจะหนีการเรียน อย่างน้อยก็ต้องปีนรั้ว หรือไม่ก็มุดช่องหมาลอด..! สมัยนี้แค่คลิกปิดหน้าจอเท่านั้น..จบแล้ว..! กลายเป็นว่าคนรุ่นหลัง ๆ เรียนเพื่อให้สอบผ่านเท่านั้น ไม่ได้เรียนเพื่อให้รู้จริง ซึ่งจะเป็นปัญหาใหญ่ในการศึกษาของบ้านเราเมืองเราไปอีกนาน ในเมื่อค่านิยมของยุคนี้สมัยนี้ ไม่เห็นความจำเป็นของการศึกษา เพราะถือว่าขายของออนไลน์ได้ แล้วท่านทั้งหลายลองคิดดูว่า ถ้าทุกคนเป็นคนขาย แล้วใครจะเป็นคนผลิตสินค้า ? ดังนั้น..แนวคิดของคนยุคใหม่ที่กระผม/อาตมภาพได้ยินอยู่บ่อย ๆ เวลาอบรมเด็กนักเรียน ก็คือมักจะอ้างว่าสตีฟ จ็อบส์ก็ดี มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กก็ตาม ไม่ได้เรียนจบปริญญาก็ร่ำรวยเป็นหมื่นล้านแสนล้านได้ กระผม/อาตมภาพได้ยินแล้วอยากจะ "โบก" ให้คว่ำลงไปตรงนั้นเลย ประชากรโลก ๕,๐๐๐ - ๖,๐๐๐ ล้านคน มีมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กกี่คน ? มีสตีฟ จ็อบส์กี่คน ? แล้วเอ็งคิดว่าจะเป็นอย่างนั้นได้หรือ ? พูดง่าย ๆ ก็คืออ้างเท่ ๆ ไปอย่างนั้นเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เผือกน้อย : 17-10-2025 เมื่อ 05:11 |
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
โดยเฉพาะการศึกษายุคใหม่ ที่มี AI เข้ามาช่วยเหลือ ยังโชคดีที่ว่ากระผม/อาตมภาพไม่ต้องมาตรวจวิทยานิพนธ์ของเด็กยุคนี้ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีใครได้เกินเกรด C เพราะว่าไปให้ ChatGPT เป็นคนเขียนให้ ซึ่งเนื้อหาไม่มีทางที่จะเหมือนกับที่คนเขียน เพราะว่า AI ได้แต่ดึงข้อมูลเอามารวมกันเท่านั้น จะให้วิเคราะห์เป็นองค์ความรู้ใหม่ก็ยาก ทำแค่แค่สลับเนื้อหาเก่าให้เป็นของใหม่ จะได้ไม่ซ้ำกับของคนอื่นเขา
ลองคิดดูว่าถ้านิสิตนักศึกษาไม่เขียนสารนิพนธ์หรือทำวิทยานิพนธ์ด้วยตนเอง แล้วจะเอาความรู้ความสามารถที่แท้จริงมาจากไหน ? โดยเฉพาะเด็กยุคใหม่ ถึงเวลาก็ค้นข้อมูลจากโทรศัพท์มือถือ ความรู้ที่แท้จริงในหัวจึงไม่มี ถ้าหากว่าไม่มีโทรศัพท์มือถืออยู่ในมือก็มืดแปดด้าน..! คราวนี้เราลองย้อนกลับมาในวงการสงฆ์ของเราบ้าง ถ้าหากว่าการเรียนของพระภิกษุสามเณรมีเป้าหมายแค่เรียนให้จบ เรียนให้ได้รับประกาศนียบัตรเท่านั้น เพื่อถึงเวลาจะได้มีคุณสมบัติตามที่ผู้บังคับบัญชาต้องการ แล้วบุคคลที่ไม่มีความรู้อย่างแท้จริง จะไปบริหารจัดการวัดวาอารามให้เจริญขึ้นมาได้อย่างไร ? แล้วในขณะเดียวกัน พระภิกษุสามเณรรุ่นใหม่ ๆ มักจะเป็นบุคคลเหลือเลือกจากสังคมแล้ว ก็คือกลายเป็นบุคคลที่หาที่ไปไม่ได้ ส่วนใหญ่บวชเข้ามาก็ไม่ได้คิดที่จะสร้างความเจริญให้แก่ กาย วาจา ใจ ของตนเอง ไม่ได้ตั้งเป้าหมายที่จะบรรลุธรรมอย่างที่ปฏิญาณเอาไว้ตอนบวช ก็คือ "นิพพานะ สัจฉิกะระณัตถายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์นี้มาเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน" ในเมื่อเป็นบุคลากรเหลือเลือก ถ้าเข้าสู่กระบวนการผลิตก็เท่ากับเป็นวัสดุเกรด C เกรด D ที่เขาคัดทิ้งแล้วจากสังคมภายนอก มาผ่านขบวนการขัดเกลา แล้วท่านที่เป็นเจ้าอาวาส เป็นครูบาอาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ สักแต่ว่าสอบให้ผ่านเท่านั้น โดยไม่มีความรู้ที่แท้จริง จะไปขัดเกลาสัทธิวิหาริก หรืออันเตวาสิกของตนเองให้ดี ย่อมเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น..ถ้าเราท่านทั้งหลายมีความรับผิดชอบในเขตไหน เราก็ทำหน้าที่ของเราตรงนั้นให้ดีที่สุด โดยเฉพาะทำตัวเองเป็นแบบอย่างที่ดีให้ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-10-2025 เมื่อ 01:08 |
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
หลายท่านอาจจะคิดว่าเราเพิ่งบวชไม่นาน แต่ท่านลองคิดดูว่า การอุปสมบทหมู่ครั้งต่อไปของวัดท่าขนุนก็คือช่วงลอยกระทง ก็แปลว่าถ้ามีพระบวชเข้ามา ท่านก็เป็นรุ่นพี่ แล้วถึงเวลารุ่นน้องสอบถามอะไร เราเองไม่ได้ตั้งใจเรียน ไม่ได้ตั้งใจศึกษา ก็มักจะกำหนดจดจำแล้วก็เอาไปบอกต่อกันผิด ๆ อย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยเจอมาด้วยตนเอง ก็คือมีผู้ที่เป็นนักบวชรุ่นพี่เขาแนะนำว่า "ขึ้นชื่อว่าผลไม้ ที่ขึ้นชื่อด้วยคำว่า "มะ" ทุกอย่าง สามารถฉันหลังเพลได้" กระผม/อาตมภาพพยายามที่จะหาอ่านตำรา หาข้อมูลแทบเป็นแทบตายยังไม่รู้เลยว่า เรื่องที่รุ่นพี่ท่านนั้นพูดเอามาจากไหน ?
แล้วทุกท่านก็จะเห็นว่าปัจจุบันนี้ แม้แต่ทางคณะสงฆ์ธรรมยุต ก็ไม่ได้เคร่งครัดต่อศีลต่อธรรมอย่างจริงจัง ล่าสุดที่บางท่านไปในงานของวัดธรรมยุต จะเห็นว่าแม้เป็นตอนค่ำ เขาก็เสิร์ฟน้ำมะพร้าวอ่อนมา ทั้ง ๆ ที่มะพร้าวอ่อนเป็น "มหาผล" ต่อให้เป็นน้ำก็ฉันไม่ได้ ไม่ทราบเหมือนกันว่าเขาเอาข้อห้ามหรือว่าข้ออนุญาตตรงไหนมา ถึงให้ฉันน้ำมะพร้าวหลังเพลได้ ? อัจฉริยภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น บางทีหลายพันปีผ่านไป คนยุคใหม่ยังไม่สามารถที่จะตามทัน บรรดา "มหาผล" ต่าง ๆ อย่างเช่นมะพร้าวอ่อนก็ดี แตงโมก็ตาม มีฮอร์โมนเยอะมากเป็นพิเศษ แล้วถึงเวลาพระภิกษุสามเณรของเราฉันเข้าไปก็จะอยู่ยาก ดังนั้น..คนรุ่นใหม่พอไม่สามารถที่จะทำตามสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งหรือสอน ก็มักจะใช้ "อัตโนมติ" ของตนเองว่าฉันได้ ไม่เป็นไร ระยะนี้ถ้าหลายท่านเข้าไปในงานวัด โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร ก็จะเจอว่าเขาถวายน้ำฟักทอง น้ำข้าวโพด น้ำถั่วเขียว บางทีก็มีน้ำมันเทศ ซึ่งก็คือปั่นมาข้นคลั่กเลย..! ถ้าท่านทั้งหลายศึกษาพระวินัยของพระจริง ๆ จะเห็นว่า ถ้าเป็นธัญพืช ก็คือพืชที่เป็นอาหาร ไม่ควรทำเป็นน้ำปานะ แต่เขาก็ฉันกันหน้าตาเฉย กระผม/อาตมภาพรับมาแล้วก็วาง ก็คือต่อให้บ่นไปก็ไร้ประโยชน์ ทำให้เขาเหม็นขี้หน้าเสียเปล่า ๆ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-10-2025 เมื่อ 01:11 |
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
แล้วที่หนักกว่านั้นก็คือมีเมล็ดแตงโม มีเมล็ดทานตะวันเสิร์ฟให้ทุกโต๊ะ โดยเฉพาะงานสวดศพตอนค่ำ แล้วท่านลองคิดดูว่าภาพพระภิกษุไปนั่งแทะเมล็ดแตงโม หรือว่าเมล็ดทานตะวันตอนค่ำ จะงดงามดีหรือไฉน ? จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องเคร่งครัดกับตนเอง อยู่ในลักษณะตึงเอาไว้ก่อน ถ้าผ่อนแล้วจะพอดี ถ้าท่านไปหย่อนยานเสียตั้งแต่แรก ก็ไม่ต้องไปพูดถึงอีกแล้ว
ถ้าหลายท่านสังเกตจะเห็นว่า เมื่อเอ่ยถึงอะไร กระผม/อาตมภาพจะบอกก่อนเลยว่าต้องอาบัติหรือเปล่า ? ก็คือศีลพระขาดหรือไม่ ? ก็แปลว่าสติของท่านจะต้องจดจ่ออยู่กับศีลของตนเอง ถ้าเราไม่ละอายชั่วกลัวบาป ไม่รักศีลของตนเอง ก็ไม่รู้ว่าจะบวชเข้ามาทำอะไร ? เพราะว่าหานรกใส่ตัวเสียเปล่า ๆ จึงเป็นเรื่องที่กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกกับพวกท่านว่า ต้องศึกษาให้ชำนาญเข้าไว้ วันก่อนเพื่อนพระส่งภาพโยมเลี้ยงหมูกระทะมา กระผม/อาตมภาพบอกไปเดี๋ยวนั้นเลยว่า "อย่าส่งต่อ..ดราม่าเยอะ" เนื่องเพราะว่าพระเราห้ามหุงต้มอาหารเอง ห้ามเก็บอาหารไว้เอง ห้ามเก็บอาหารไว้ในที่อยู่ หมูกระทะน่าจะจัดอยู่ในประเภทหุงต้มเอง เพราะว่าที่เขามาก็คืออาหารสด เราก็ต้องมานั่งปิ้งนั่งย่างจนจีวรเหม็นหึ่งไปหมด..! ทันทีที่เขาส่งรูปมา กระผม/อาตมภาพก็บอกไปแบบนั้น ก็แสดงว่าถ้ากำลังใจของเรารู้ระมัดระวังในศีลอยู่ ขยับตัวไปทางไหน ถ้าสติสมบูรณ์ก็จะรู้ว่าศีลขาดหรือไม่ ? อย่าไปให้อภัยตัวเอง เพราะว่าถ้าให้อภัยตัวเองครั้งหนึ่งจะมีครั้งต่อ ๆ ไปทันที เพราะกิเลสจะถือเป็นข้ออ้างว่า "คราวที่แล้วยังทำได้เลย..!" ดังนั้น..ในสถานการณ์ของวงการสงฆ์ในปัจจุบัน วิธีที่ดีที่สุดก็คือขัดเกลาตนเองของเรา พยายามทำตนให้เป็นพระภิกษุสงฆ์ที่ดี ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถ้าไม่สามารถสร้างความเจริญให้กับพระพุทธศาสนาได้ เราก็อย่าเป็นคนทำให้พระพุทธศาสนานี้ต้องพังลงไปด้วยมือของเราเอง..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-10-2025 เมื่อ 01:15 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|