#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๘
|
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ถ้าหากว่าเป็นวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ก็จะเป็น "วันมหาวิปโยค" ที่ประชาชนชาวไทยนำโดยนิสิตนักศึกษา ได้ร่วมกันเดินขบวนขับไล่เผด็จการปกครองประเทศไทยในช่วงนั้นออกไป ทำให้ได้ประชาธิปไตยคืนมาไม่ถึงครึ่งใบ ซ้ำยังมีผู้คนล้มตายไปเป็นจำนวนมาก แล้วหลังจากนั้นอีกไม่ถึง ๓ ปีเต็ม ก็มีเหตุการณ์วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เรื่องพวกนี้เป็นบทเรียนทางการเมืองสำหรับผู้ที่ลืมตัวลืมตน ลืมไปว่าพลังประชาชนหนุนเสริมคุณได้ ก็สามารถที่จะดึงคุณลงจากบัลลังก์ได้เช่นกัน..!
แต่วันนี้ไม่คิดที่จะพูดถึงเรื่องนี้ เรื่องที่คิดจะพูดก็คือว่า "คำสัญญา ๔ เดือนไม่มีจริงในโลก..!" โดยเฉพาะประเทศไทยของเราไม่มีเวลาให้ใครมาทดลองงาน ไม่มีเวลาให้ใครมาบิดเบือนกฎหมายบ้านเมือง ขนาดเรื่องที่ศาลมีคำพิพากษาเด็ดขาดไปแล้ว ก็ยังพยายามที่จะเตะถ่วงและบิดเบือน โดยอาศัยอำนาจทางการเมืองที่พยายามไขว่คว้ามา โดยไม่คิดว่าจะสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติเท่าไร..! เอาแค่เรื่องนำเอามุสลิมมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมก็ฉิบหายแล้ว..! เพียงวันแรกที่เข้าไป บรรดาข้าราชการต่าง ๆ ก็ต้องมา "ดุอา" ขอพรพระเจ้า แล้วก็ไม่ต้องไปหวังว่าเขาจะเมตตาต่อคนพุทธ..! เนื่องเพราะว่าหน่วยงานไหนก็ตามที่มุสลิมเข้าไปเป็นใหญ่ อันดับแรกเลยก็คือย้ายโต๊ะหมู่บูชาและพระพุทธรูปออกพ้นหน่วยงานทันที เขาไม่เคยเกรงใจชาวพุทธซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่ว่า ชาวพุทธของเรามักจะไปเกรงใจประชาชนส่วนน้อยเสมอมา เมื่อเขาสามารถจับจุดตรงนี้ได้จึงรุกเข้ามาทุกฝีก้าว แล้วท้ายที่สุด "ม้าอารี" อย่างชาวพุทธก็จะไม่มีคอกให้อยู่..! เรื่องพวกนี้อย่าคิดว่าเขารับปากว่าจะอยู่แค่ ๔ เดือน ซึ่งไม่มีความเป็นจริงในคำว่า ๔ เดือนนั้น และต่อให้อยู่แค่ ๔ เดือน เวลาที่มีอำนาจของเขาก็เหลือเฟือเกินพอ ที่จะสร้างประโยชน์ให้กับพรรคพวกของเขา ในขณะที่สร้างความเสียหายให้กับเราได้มากกว่าที่เราจะคิดถึง..! แค่นั้นยังไม่พอ ท่านรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ยังพูดเหมือนกับบุคคลที่ไม่รู้งาน ไม่เข้าใจแบบธรรมเนียมของพระพุทธศาสนา ถึงขนาดที่มีข้อกำหนดต่าง ๆ อย่างเช่นว่า จะแบ่งผู้เข้าบวชเป็นสองประเภท ก็คือประเภทแรกบวชตามประเพณี ประเภทที่สองคือบุคคลที่บวชแล้วอยู่ยาวไปเลย ซึ่งจะต้องมีการปฏิบัติการที่แตกต่างกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 00:05 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
ฟังดูแล้วเป็นขั้นเป็นตอนน่าเลื่อมใสมาก แต่แสดงว่าท่านไม่เคยบวชมาก่อนเลยในชีวิต..! เลยไม่รู้ว่าพระครูวิลาศกาญจนธรรมที่บวชมา ๔๐ ปีนั้น ตั้งใจจะบวชแค่ ๗ วันเท่านั้นเอง..! แล้วท่านจะไปแยกแยะอย่างไรว่าใครจะบวชแล้วอยู่นาน ใครจะบวชแล้วอยู่สั้น ? กำหนดวิธีการต่าง ๆ มาก็ล้วนแล้วแต่มีความยากลำบากในการปฏิบัติทั้งสิ้น กลายเป็นว่าช่วยตัดตอนบอนไซให้พระภิกษุสามเณรเหลือน้อยลงไปเรื่อย ๆ..!
โดยเฉพาะในเรื่องของการบริจาค ญาติโยมเห็นตู้ก็หยอดบริจาคทำบุญ เห็นคิวอาร์โค้ดก็สแกนทำบุญ แต่ท่านจะให้มีเอกสารระบุว่าทำบุญอันนี้สำหรับเงินส่วนตัวของเจ้าอาวาส ทำบุญอย่างนี้เป็นเงินทำบุญในการบูรณปฏิสังขรณ์วัด ต้องระบุเจตนารมณ์ให้ชัดเจน เป็นการถอดกางเกงผายลมชัด ๆ..! ไม่คิดเลยว่าบุคคลที่ขึ้นไปเป็นถึงขนาดเสนาบดี ถึงมีความคิดสั้น ๆ แค่นี้ ไม่เคยดูว่าความเป็นจริงนั้นเป็นอย่างไร ?! โดยเฉพาะที่จะมอบหมายให้ สตง.ทำการตรวจบัญชีวัดทุกปี กระผม/อาตมภาพยินดีมากที่ได้ยินอย่างนี้ แต่ท่านรัฐมนตรีได้ถาม สตง.หรือเปล่า ว่ามีกำลังพลเพียงพอที่จะมาตรวจบัญชีพระทุกวัดหรือไม่ ? แล้วขณะเดียวกัน บางวัดจะต้องเดินทางกันข้ามวันข้ามคืนกว่าที่จะเข้าไปถึง จะมี สตง.ที่ไหนยินดีสละความสุขส่วนตนเข้าไป เพื่อที่จะตรวจสอบบัญชีวัด ซึ่งทั้งปีแทบไม่มีรายได้เลยบ้าง ? เมื่อได้ยินท่านทั้งหลายพูดในลักษณะนี้แล้ว กระผม/อาตมภาพก็ยังคิดว่าเป็นเวรเป็นกรรมของพระพุทธศาสนาของเราแท้ ๆ แต่ละคนที่เข้ามา ล้วนแล้วแต่ไม่สามารถที่จะ "เข้าใจ" และ "เข้าถึง" เลย แล้วจะไปพัฒนาพระพุทธศาสนาได้อย่างไร ? แม้แต่ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติคนปัจจุบัน ที่ไม่รู้ว่าข้ามห้วยมาจากไหน ? ก็มีความเด็ดขาดที่น่าเลื่อมใสมาก ประมาณว่าถ้าหากว่าใครมีนอกมีในอะไรกับพระ จะจัดการอย่างเด็ดขาด..! แล้วให้ทุกคนช่วยกันดูแลควบคุมวัดวาอารามให้อยู่ในกรอบ กระผม/อาตมภาพได้ยินแล้ว "น้ำตาจิไหล..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 00:08 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
ท่านทั้งหลายไม่เคยที่จะศึกษาเลยแม้แต่น้อยว่า ในช่วงที่ผ่านมานั้น สำนักงานพระพุทธศาสนาแต่ละจังหวัด หรือแม้กระทั่งปัจจุบันนี้อีกหลายจังหวัด ที่ตั้งสำนักงานก็คือวัด..! ส่วนท่านซึ่งมีที่ตั้งสำนักงานต่างหาก พวกบรรดาข้าวของเครื่องใช้ ครุภัณฑ์ ลหุภัณฑ์ แม้กระทั่งพระพุทธรูปประจำสำนักงานก็ยังขอไปจากวัด..! งบประมาณสนับสนุนต่าง ๆ ส่วนใหญ่ก็ขอจากวัด..! แล้วท่านจะให้เจ้าหน้าที่ของท่าน ไปเข้มงวดกวดขันกับบุคคลที่ช่วยเหลือท่านทุกอย่างแบบไหนกัน ?
เรื่องพวกนี้ทำให้กระผม/อาตมภาพนึกถึงพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งเมื่อวานนี้ก็เพิ่งจะเป็น "วันนวมินทรมหาราช" ซึ่งเป็นการรำลึกถึงพระองค์ท่านเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบรมราโชวาทตอนหนึ่งของพระองค์ท่านก็คือ "เราต้องเข้าใจ เข้าถึง จึงจะพัฒนาได้" แต่บรรดาเสนาบดีของเราก็ดี ผู้ที่เป็นใหญ่ในหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาก็ตาม ไม่ได้มีความเข้าใจแบบธรรมเนียมในพระพุทธศาสนาเลย แถมยังไม่เข้าใจเสียด้วยว่า งบประมาณน้อยนิดที่ท่านจัดสรรไปให้ สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดไม่เคยพอที่จะใช้งาน ยังต้องไปขอจากพระอยู่เลย..! แล้วท่านก็จะให้เขาไปเข้มงวดกวดขันกับพระ ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งก็ "กลืนไม่เข้า คายไม่ออก" เพราะว่านี่ก็ผู้บังคับบัญชา นั่นก็ผู้มีพระคุณ พูดง่าย ๆ ว่าทุกวันนี้ที่อยู่ได้ ก็เกิดจากการที่พระภิกษุสามเณรให้การสนับสนุนช่วยเหลือ แต่ท่านทั้งหลายไม่เข้าใจถึงตรงนี้ มีแต่ต้องการจะให้ลูกน้องไปเข้มงวดกวดขันในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เป็นการแก้ไขปัญหาในทางที่ไม่ถูกต้อง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 00:11 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
ถ้าเป็นกระผม/อาตมภาพ ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีเป็นต้นมา จะต้องประกาศยุทธศาสตร์ชาติ จะ ๒๐ ปี ๓๐ ปี หรือ ๔๐ ปีก็ตาม ในการสร้างเด็กของเราตั้งแต่ระดับปฐมวัย ให้รู้จักละอายชั่ว กลัวบาป โตไปไม่โกง อยู่ในลักษณะของการปลูกฝังกันตั้งแต่เด็ก ๆ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกินความใฝ่ฝัน เพราะว่าประเทศญี่ปุ่นทำสำเร็จมาแล้ว คนของเขาซื่อสัตย์ ซื่อตรง ส่วนใหญ่แล้วกล้าพูดกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง และมีจิตสาธารณะช่วยเหลือสังคมอย่างเต็มที่
เรื่องพวกนี้ไม่ใช่คนยุคหนึ่งสมัยหนึ่งจะทำได้ แต่ต้องเป็นการปลูกฝังกันเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก เมื่อประกาศยุทธศาสตร์แล้ว คราวนี้ก็เจาะลงไปเลยว่าแต่ละกระทรวงต้องทำอย่างไรบ้าง ? เรื่องพวกนี้แค่ปรึกษาบรรดานักวิชาการ รับรองได้ว่าขั้นตอนต่าง ๆ จะออกมาวิลิศมาหรากว่าที่ท่านคิดเสียอีก พูดง่าย ๆ ว่ามีอำนาจอยู่ในมือแต่ใช้ไม่เป็น หรือใช้ก็เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง มากกว่าที่จะทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติ ขอให้ตนเองอยู่ในอำนาจ สามารถที่จะบิดเบือนเรื่องทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของตนเองได้ ต่อให้เอาชาวมุสลิมเข้ามาเป็นรัฐมนตรี สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติเท่าไรก็ช่างมัน ขอให้กูได้ประโยชน์ก็แล้วกัน..! กระผม/อาตมภาพอยากจะเตือนว่า สิ่งที่บรรพบุรุษของท่านสร้างเสริมมาจนมีชื่อเสียงเกียรติคุณปรากฏนั้น จะโดนทำลายฉิบหายวายป่วงลงไปก็เพราะน้ำมือลูกหลานอย่างท่านนี่แหละ อย่าให้เหมือนกับเพลงที่เขาร้องกันว่า "วิญญาณปู่จะร้องไอ้ลูกหลานจัญไร..!" ก็แล้วกัน..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 00:13 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|