#1
|
||||
|
||||
![]()
การไหว้ครูนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องเพราะว่าถ้านับแล้ว พ่อแม่ให้ชีวิตเรามา แต่ว่าครูบาอาจารย์ให้ศิลปวิทยาการ คือความรู้ความสามารถที่เราใช้เลี้ยงชีวิตตนเองและครอบครัว ความรู้บางสาขาก็เอาไว้ช่วยรักษาตนเอง รักษาครอบครัว และปกป้องประเทศชาติ
การไหว้ครูนั้น ครูก็ไม่ได้เรียกร้อง แต่เป็นการแสดงออกซึ่งความรู้คุณ แล้วกระทำสิ่งที่ดีงามตอบแทนต่อท่าน สมัยก่อนการไหว้ครูก็มักจะมีดอกไม้ ธูป เทียน แล้วก็ผ้าใหม่สักผืนหนึ่ง ซึ่งในสมัยก่อน ๆ นั้น ผ้าก็เป็นของหายาก ถือว่าเป็นของที่มีคุณค่ามาก บางสถานที่อยู่ในที่กันดาร บางทีก็หนาวเหน็บหิมะตกทั้งปี หรือว่าพื้นเป็นน้ำแข็งทั้งปี หาดอกไม้ไม่ได้ เขาก็เปลี่ยนเป็นใช้ผ้าในการมอบให้แสดงความเคารพแทน อย่างทางด้านประเทศทิเบต เป็นต้น การที่เราไหว้ครูเป็นการแสดงออกซึ่งความรู้คุณที่ท่านสั่งสอนความรู้ในด้านต่าง ๆ แก่เรา แล้วกระทำการตอบแทนท่าน จะว่าไปแล้วก็ตรงกับหลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่ว่า ปูชา จ ปูชนียานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ คือ การบูชาต่อบุคคลที่ควรบูชา จัดว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง เพียงแต่ว่ามาในระยะหลัง กำลังใจของเราเคลื่อนคลายจากการเคารพนับถือครูบาอาจารย์ไปบ้าง หน้าที่การงานต่าง ๆ รัดตัวจนไม่มีเวลาทำบ้าง ตามสายครูบาอาจารย์ท่านจึงให้จัดเป็นงานไหว้ครูประจำปี ก็คือรวมกันปีละครั้งเดียว พูดง่าย ๆ ว่าทำปีละครั้งดีกว่าไม่ทำเสียเลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-10-2025 เมื่อ 02:00 |
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
ตามสายครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าสืบไล่ขึ้นไปก็ตั้งแต่ยุคหลวงปู่แสง วัดมณีชลขัณฑ์ จังหวัดลพบุรี
มาสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพมหานคร มาหลวงปู่เนียม วัดน้อย จังหวัดสุพรรณบุรี มาหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนกระทั่งมาถึงยุคหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี เราทำการไหว้ครูกันในวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ ที่โบราณเรียกกันว่า "วันเสาร์ ๕" แต่วันเสาร์ ๕ ตามตำรานั้น มีทั้งข้างขึ้นข้างแรม ครูบาอาจารย์ท่านกำหนดไว้ว่าให้เป็นเสาร์ ๕ ข้างขึ้น ก็คือใช้เคล็ดคำว่า "ขึ้น" ทำอะไรทำขึ้น ก็คือ ทำแล้วเจริญรุ่งเรือง ถ้าปีนั้นไม่มีเสาร์ ๕ ให้จัดไหว้ครูในวันวิสาขบูชา ถ้าไม่มีเสาร์ ๕ หรือว่าวันเสาร์ ๕ ติดภารกิจสำคัญ วันวิสาขบูชาติดภารกิจสำคัญ ท่านให้จัดงานไหว้ครูในวันมาฆบูชา ก็คือไล่ความสำคัญลงไปตามลำดับ เอาเสาร์ ๕ เป็นอันดับแรก ถ้าไม่ได้แล้วค่อยใช้วันวิสาขบูชา แล้วถ้าไม่ได้จริง ๆ ค่อยใช้วันมาฆบูชา การไหว้ครูของเราก็ไหว้ตั้งแต่ครูใหญ่ คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นครูของทั้งมนุษย์และเทวดา ลงมาถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้า พรหม เทวดา และครูบาอาจารย์ทั้งหมด ก็คือไหว้รวมกันไปในครั้งเดียว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-10-2025 เมื่อ 02:02 |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
คราวนี้สิ่งที่เราท่านทั้งหลายทำนั้น มาในระยะหลังครูบาอาจารย์ท่านเปิดเผยว่า งานไหว้ครูประจำปี หรืองานเป่ายันต์เกราะเพชร เป็นการรวมกำลังใจของคนหมู่มากที่มุ่งไปในด้านเดียวกัน เราสามารถขอบารมีพระ พรหม หรือเทวดา ที่ท่านช่วยรักษาประเทศชาติอยู่ รวมเอากำลังใจส่วนนี้ ไปป้องกันหรือต้านทานสิ่งไม่ดีไม่งามที่จะเกิดขึ้นได้
อย่างเช่นอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ถ้าเป็นไปตามสภาพของวาระกรรม ประเทศชาติของเราจะสูญเสียบุคคลสำคัญในประเทศไป สิ่งหนึ่งประการใดที่ไม่สามารถจะแก้ไขได้ ก็จะได้ผ่อนหนักให้เป็นเบา สิ่งหนึ่งประการใดที่พอแก้ไขได้ อาศัยกำลังคนหมู่มาก ก็เหมือนกับช่วยกันยกของหนัก คนละไม้คนละมือ ของที่ไม่น่าจะยกไหวก็จะยกไหว จึงเป็นเรื่องสำคัญที่แม้แต่กระผม/อาตมภาพก็นึกไม่ถึง ในเมื่อท่านบอกแล้วก็ขอแจ้งแก่ญาติโยมทั้งหลายด้วยว่า ในช่วงไหว้ครูก็ดี ในช่วงรับยันต์เกราะเพชรก็ตาม พยายามวางกำลังใจของเราให้สงบระงับมากที่สุด ทรงฌาน ทรงสมาบัติได้ยิ่งดี ถ้าทำไม่ได้ระดับนั้น ก็ให้นึกถึงภาพพระพุทธรูปที่เรารักเราชอบมากที่สุด เอาใจจดจ่ออยู่ตรงนั้น ส่วนที่เหลือจะเป็นภาระหน้าที่ของครูบาอาจารย์ท่านเอง เราอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านของวาระบุญวาระกรรม เปรียบเสมือนกำลังจะเปลี่ยนรถคันใหม่ ก็ต้องวิ่งขึ้นรถคันใหม่ลำบากกันหน่อย แต่ถ้าขึ้นรถคันใหม่ได้แล้ว เราก็จะเริ่มสบาย เพียงแต่ว่าการเปลี่ยนผ่านในยุคนี้ เป็นอะไรที่ค่อนข้างจะรุนแรง ท่านใดที่เคยอยู่ในสถานที่น้ำท่วม ต้องรีบจัดการบ้านเรือนของตนเองให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นแล้วถึงเวลาก็จะมาลำบากเดือดร้อนทีหลัง ท่านใดที่อยู่ใกล้ชายแดนที่มีศึกมีสงคราม ถ้าสามารถโยกย้ายไปอยู่ในที่ปลอดภัยได้ก็โยกย้ายไปก่อน ถ้าไม่สามารถทำได้ ก็ต้องภาวนานึกขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ ให้เราท่านทั้งหลายปลอดภัยในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ ถ้าวาระกรรมหนักจริง ๆ ก็ให้สูญเสียแต่ทรัพย์สิน แต่อย่าให้ชีวิตต้องสูญเสียไป คนเราถ้ายังมีชีวิตอยู่ เรื่องอื่นสามารถที่จะดิ้นรนหามาในภายหลังได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-10-2025 เมื่อ 02:03 |
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
ขอแจ้งให้ทุกท่านได้ทราบโดยทั่วกันว่า การไหว้ครูในวันนี้ แม้ว่าเครื่องบวงสรวงจะจัดโดยคณะบายศรีของท่านอาจารย์พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม ป.ธ. ๖ วัดปากน้ำภาษีเจริญก็ตาม แต่ให้ทุกคนตั้งใจว่าเรามีส่วนเป็นเจ้าของด้วย
ขอถวายเครื่องบูชานี้เป็นพุทธบูชา ธัมมบูชา สังฆบูชา บูชาไปถึงพรหมเทวดาและครูบาอาจารย์ทั้งหมด สิ่งหนึ่งประการใดที่ท่านอนุเคราะห์สงเคราะห์ต่อเรา ขอน้อมรับไว้ด้วยเศียรเกล้า และจดจารจารึกไว้ในใจตลอดไป ส่วนการรับยันต์เกราะเพชรนั้น ถ้าตามที่เคยขอพระท่านเอาไว้ ก็จะเป็นช่วง ๑๐ โมงเช้ากับบ่ายโมงตรง เพียงแต่ว่าวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นวัดท่าซุงก็ดี วัดพุทธพรหมยาน พิชญ์ชารามก็ตาม ต่างก็จัดงานทั้งสิ้น ใครมีความเชื่อมั่นศรัทธาในด้านไหน เราก็ไปร่วมพิธีในที่นั้น ๆ ได้ แต่ก็เป็นโชคดีตรงที่ว่าทำให้ผู้คนไม่แออัดยัดเยียดที่นี่มากนัก เพียงแต่ไม่ทราบว่าอาตมภาพจะดีใจเก้อหรือเปล่า ? เพราะถ้าหากว่าถึงเวลาเป่ายันต์ เกิดคนมากกว่านี้ แล้วมีฝนตกลงมาด้วย ก็คงจะได้สนุกกันมากกว่านี้..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-10-2025 เมื่อ 02:06 |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
เหลืออีกประมาณ ๕ นาทีเศษ ก็จะเริ่มในการไหว้ครู ให้พวกเราเตรียมตัวเตรียมใจภาวนา นึกถึงภาพพระพุทธรูปที่เรารักเราชอบที่สุด จะเป็นสมเด็จองค์ปฐมก็ได้ พระวิสุทธิเทพก็ได้ หรือพระพุทธรูปสำคัญอย่างพระแก้วมรกต พระพุทธชินราช พระพุทธสิหิงค์ หรือหลวงพ่อโสธรก็ได้ หรือว่าท่านใดมีวัตถุมงคลเป็นรูปพระ แล้วเรารักชอบมาก ก็นึกถึงวัตถุมงคลที่เป็นรูปพระพุทธรูปนั้น ๆ ก็ได้ ให้รักษากำลังใจเอาไว้จนกว่าจะเสร็จในการบวงสรวงไหว้ครูในวันนี้
พระภิกษุสามเณรอาคันตุกะ ถ้าอยู่ทางด้านนอก นิมนต์ในศาลานะครับ อาสนะสงฆ์ยังพอมีที่ว่างอยู่ แต่ต้องนั่งซ้อนกันสัก ๓ แถว เผื่อท่านซึ่งมาทีหลังจะได้อยู่ทางด้านท้าย ๆ ได้ ญาติโยมท่านใดถ้าไม่รังเกียจคนมาก ในศาลายังพอมีที่ว่างนะจ๊ะ อย่าเห็นว่านั่งกันแน่น ตอนเป่ายันต์ถ้ามีใครกรี๊ดขึ้นมาสักคน พื้นที่มักจะว่างกะทันหันเลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-10-2025 เมื่อ 02:07 |
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
![]()
ญาติโยมที่จะทำบุญ ให้อธิษฐานมาจากข้างนอก ไม่ใช่มาจนถึงตรงหน้าแล้ว ค่อยมาล้วงมาควักให้คนอื่นเขาหวาดเสียวกัน แล้วยิ่งมายืนอธิษฐานอยู่ตรงนั้น เสียเวลาคนอื่นเขา กลายเป็นว่าเราขวางทางบุญของคนอื่น ถึงเวลาเกิดอุปสรรคในชีวิตก็ยังงง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นวะ ?
การทำบุญต้องถือหลักในจูเฬกสาฎก ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตุลิฏะ ตุลิฏัง สีฆะ สีฆัง คือ ทำอะไรให้เร็ว ๆ ไว ๆ จูเฬกสาฎกตัดสินใจทำบุญช้าไป แทนที่จะได้เป็นมหาเศรษฐี หรือว่าเป็นอนุเศรษฐี ก็เป็นได้แค่คหบดี หรือผู้มีฐานะธรรมดา ถ้าเป็นมหาเศรษฐีจะมีทรัพย์ ๘๐ โกฎิ เป็นอนุเศรษฐีมีทรัพย์ ๔๐ โกฏิ แต่ด้วยความที่ตัดสินใจไม่เด็ดขาด มัวแต่ลังเลอยู่จึงทำให้ช้า ผลบุญลดลง เหลืออยู่แค่เป็นคหบดีหรือนายบ้าน ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ประมาณผู้ใหญ่บ้านหรือกำนันเท่านั้น ไปไม่ถึงระดับเจริญ สิริวัฒนภักดี หรือธนินท์ เจียรวนนท์ ดังนั้น..ทำบุญทำให้ง่าย ทำให้ไว เป็นตรรกะง่าย ๆ ว่า ถ้าเราทำอะไรไว ๆ ถึงเวลาก็ได้อะไรไว ๆ เหมือนกัน ไม่มีทางที่จะได้มาม่าไปได้..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-10-2025 เมื่อ 01:26 |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
![]()
ญาติโยมไม่ต้องเมตตาไปทำเสื้อหลวงพ่อเล็กมา เพราะว่าตามชื่อไม่มีทางที่จะใหญ่ไปได้ ตอนที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระเทพเมธากร (ณรงค์ ปริสุทฺโธ ป.ธ. ๔) อดีตเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี อดีตเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ประชุมชนาราม (วัดท่ามะขาม) จะตั้งให้เป็นพระครูปลัด เป็นตายอาตมภาพก็ไม่เอา เพราะว่าจะเป็น "พระครูปลัดเล็ก" ประจานตัวเองเปล่า ๆ..!
การเคารพครูบาอาจารย์เคารพด้วยใจก็พอ ไปพิมพ์รูปพิมพ์ชื่อท่านใส่เสื้อผ้า ถึงเวลาจะซักก็ลำบากอีก จะไปซักปนกับกางเกงก็ไม่ได้ หรือดีไม่ดีไปซักปนกับชุดชั้นในก็ยิ่งบรรลัยเข้าไปใหญ่ เพราะฉะนั้น...ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไปทำเสื้อผ้าในลักษณะแบบนั้น เพราะเป็นเรื่องที่เผลอเมื่อไรก็จะปรามาสพระรัตนตรัยเมื่อนั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-10-2025 เมื่อ 01:27 |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
![]()
พระที่แจกไปให้นั้นสำคัญมาก เพราะว่าด้านหลังบรรจุผงสังฆาฏิพระสุปฏิปันโนชั้นยอด ๒๒ รูปด้วยกัน มีหลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข จังหวัดสิงห์บุรี หลวงพ่ออุตตมะ (พระราชอุดมมงคล วิ.) วัดวังก์วิเวการาม จังหวัดกาญจนบุรี เป็นต้น หลายต่อหลายท่านเก่งกาจสามารถ ระดับที่สั่งอะไรคิดอะไรก็เป็นไปตามนั้น แต่ว่ารุ่นหลัง ๆ ไม่รู้จักกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็น
หลวงปู่ครูบาชุ่ม โพธิโก วัดวังมุย จังหวัดลำพูน หลวงปู่ครูบาพรหมจักรสังวร (พรหมา พฺรหฺมจกฺโก) - พระสุพรหมยานเถร วิ. วัดพระพุทธบาทตากผ้า จังหวัดลำพูน หลวงปู่ครูบาอินทจักรรักษา (อินถา อินฺทจกฺโก) - พระสุธรรมยานเถร วัดน้ำบ่อหลวง จังหวัดเชียงใหม่ หลวงปู่คำแสน คุณาลงฺกาโร วัดดอนมูล จังหวัดเชียงใหม่ หลวงปู่คำแสน อินฺทจกฺโก (พระครูสุคันธศีล) วัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่ หลวงปู่ครูบาธรรมชัย ธมฺมชโย (พระครูวรเวทย์วิสิฐ) วัดทุ่งหลวง จังหวัดเชียงใหม่ หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ จนฺทวํโส (พระครูพัฒนกิจจานุรักษ์) วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จังหวัดลำพูน หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค จังหวัดนครสวรรค์ เหล่านี้เป็นต้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-10-2025 เมื่อ 01:28 |
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
![]()
ต้องบอกว่าเกิดไม่ทัน แต่ประวัติท่านทั้งหลายเหล่านี้พอที่จะหาได้ เราก็ไปเสิร์ชในกูเกิ้ลเอา แต่ว่าส่วนใหญ่ความบริสุทธิ์ของใจท่านเขาไม่กล่าวถึง เขามักจะกล่าวถึงแต่อานุภาพวัตถุมงคลบ้าง อิทธิปาฏิหาริย์ของท่านบ้าง แล้วพระทั้งหลายเหล่านี้ท่านก็ไม่ได้ยืนยันให้อีกด้วย
อย่างหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่ ทหารอากาศขับเครื่องบินไป เห็นท่านนั่งอยู่บนก้อนเมฆ ลงไปเที่ยวถามหาว่าพระลักษณะแบบนั้น รูปร่างแบบนั้นอยู่ที่ไหน พอไปเจอหลวงปู่แหวน มั่นใจว่าใช่ ก็ไปกราบถามท่านว่า "วันนั้นหลวงปู่ไปนั่งสมาธิบนก้อนเมฆหรือครับ ?" ท่านตอบแค่ว่า "เฮาบ่ไจ้นก" ก็คือกูไม่ใช่นก จะขึ้นไปทำอะไรบนโน้น ?! หลวงพ่อเกษม เขมโก สำนักสุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ท่านเข้าสมาธิอยู่กลางแจ้งเป็นเวลาหลาย ๆ เดือน จนเนื้อหนังโดนแดดเผา ลอกเป็นแผ่น ๆ ลักษณะแบบนั้น ถ้าหากว่าทรงสมาบัติ ๘ ไม่ได้ โดยเฉพาะเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน จะไม่สามารถทำแบบนั้นได้ หลวงปู่ครูบาชุ่ม วัดวังมุย ท่านเข้านิโรธสมาบัติในอิริยาบถทั้ง ๔ ก็คือ ยืน เดิน นั่ง นอน หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านบอกว่า ยังไม่เคยได้ยินว่าใครทำได้แบบนี้ เนื่องเพราะว่านิโรธสมาบัติเป็นการทิ้งร่างกายไปเลย ส่วนใหญ่เขาเข้าในลักษณะนั่งหรือว่านอน บางทีก็ยืนแบบหลวงปู่คำคะนิง จุลมณี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ จังหวัดอุบลธานี ท่านยืนอยู่ ๓ ปี กระผม/อาตมภาพพยายามหาคำตอบ ท้ายที่สุดก็เดาว่า ท่านอาศัยอำนาจอภิญญาสมาบัติ อธิษฐานจิตบังคับให้ร่างกายทำงานตามเวลาที่กำหนด อยู่ในลักษณะของวสี ก็คือความชำนาญในการกำหนดสมาธิ พอถึงเวลาร่างกายก็ทำหน้าที่ไปตามที่จิตสั่งเอาไว้ เหมือนกับตั้งโปรแกรมให้หุ่นยนต์ ส่วนจิตของท่านก็ไปสบายอยู่ข้างบน ไม่รบกวนอยู่กับร่างกาย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-10-2025 เมื่อ 01:30 |
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
![]()
หรือว่าหลวงปู่ครูบาพรหมจักรสังวร วัดพระบาทตากผ้า ท้ายทางเดินจงกรมของท่านที่เป็นศิลาแลง มีรอยเท้ามนุษย์ประทับอยู่ ลูกศิษย์ถามท่านว่า "รอยเท้าใครครับหลวงปู่ ?" ท่านก็ไปเดินเหยียบให้ดู บอก "เท่ากันพอดีเลยเนาะ" ท่านก็ไม่ได้บอกอะไร นอกจากพูดแค่นั้น
หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม เกรงว่าจะน้อยไป ท่านก็เลยเหยียบเสียสองรอย แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าลูกศิษย์ไม่รู้คุณค่า เห็นว่าหลวงปู่เหยียบก้อนหินแล้วเป็นรอยตื้นเกินไป ก็เลยไปช่วยกันแกะสลักเสียจนลึก ทำให้เสียความเป็นธรรมชาติไปหมด..! อาตมภาพไปพม่าอยู่หลายปี ไปนั่งถกกับพระพม่าว่า "พระพม่ากับพระไทย ใครจะเก่งกว่ากัน ?" พระพม่าฟันธงว่าพระกะเหรี่ยงเก่งกว่า สามารถเหยียบหินให้เป็นรอยได้ กระผม/อาตมภาพก็นั่งเถียงว่าพระไทยก็ทำได้ ท้ายที่สุดเถียงกันแทบตาย ลงท้ายก็คือหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์นั่นเอง เพราะว่าหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ท่านอยู่กับกะเหรี่ยงที่บ้านก้อ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ก็เลยทำให้พระพม่าเข้าใจว่าหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์เป็นพระกะเหรี่ยง ส่วนอาตมภาพก็ไปเหมาโหลว่าหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์เป็นพระไทย ก็เลยไปนั่งงัดข้อกันอยู่ครึ่งค่อนวัน เป็นอะไรที่ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ "วิวาทะ" กันได้โดยง่าย หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค ชานหมากของท่านคายออกมาเมื่อไร ก็สามารถที่จะลองได้เลย ก็คือมีปืนก็ยิงไปเถอะ..ไม่ออกหรอก..! แต่มีอยู่วันหนึ่งหลวงปู่ท่านบ่นว่า "มันลองกันเยอะ..จนข้าเจ็บปากไปหมดแล้ว..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เผือกน้อย : 04-10-2025 เมื่อ 10:24 |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
![]()
ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติของเนื้อหามวลสารต่าง ๆ ก็สามารถที่จะระบุได้ว่าวัตถุมงคลนั้นแท้เทียมประการใด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
![]()
(มีพระต่างประเทศมาทำบุญ) ท่านที่เป็นพระต่างประเทศ โอกาสที่จะคุยกันรู้เรื่องจริง ๆ ก็พระลาว นอกนั้นก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษ เพราะว่าลาวกับไทยก็เชื้อสายเดียวกัน คำพูดฟังกันรู้เรื่องเกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ยกเว้นว่า "สบายดี" คนไทยว่า "สวัสดี" แต่อย่าไปถามว่า "สบายดีบ่ ?" สบายดีบ่ ? แปลว่า "ป่วยหรือเปล่า ?" สบายดีก็คือสวัสดี
ภาษาลาวเป็นอะไรที่สนุกมาก ไปประเทศลาวทีไรมีเรื่องให้หน้าแตกทุกที เพราะว่าของเราเป็นลาวแบบไทย ส่วนของเขาเป็นลาวแท้ พูดผิดเมื่อไรก็พังเมื่อนั้น..! เขาถาม "อาจารย์..สันกะปูบ่ ?" ฟังอยู่ตั้งนานว่าคืออะไร อ๋อ..ปู คนลาวเรียก "กะปู" บอกไปว่า "ใส่บาตรห้ามถามพระ มีอะไรก็ส่งมา อย่าเป็นของดิบก็แล้วกัน" ปรากฏว่าผักเผิกเขาต้มมาหมด..! ความจริงพระพุทธเจ้าท่านห้ามฉันเนื้อดิบ เพราะฉะนั้น..พวกลาบ พวกหลู้ พวกก้อย อะไรที่เป็นเนื้อดิบ ฉันไม่ได้ทั้งนั้น ทำเอาพระอีสานจะเฉาตาย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-10-2025 เมื่อ 01:18 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
![]()
ใครมีธุระอะไรไปทำให้เรียบร้อยแล้วค่อยเข้ามา ถ้าตั้งใจจะรับยันต์เกราะเพชร ให้เตรียมธูป ๓ ดอก กับเทียน ๑ เล่ม เอาไว้เป็นเครื่องบูชาครูตอนรับยันต์ด้วย ใช้แค่นั้น ดอกไม้ไม่ต้อง เงินทองไม่ต้อง ถ้าไม่ได้เตรียมมา บริเวณเต็นท์ข้างโบสถ์มีให้ท่านไปหยิบเอาได้ จะทำบุญหรือไม่ทำบุญก็ไม่ว่ากัน
เมื่อถึงเวลารับยันต์แล้ว ธูปเทียนที่ว่านั้น เมื่อผ่านบารมีพระที่ท่านสงเคราะห์ จะมีอานุภาพเหมือนกับมีดหมอ ใครโดนผีเจ้าเข้าสิงที่ไหน ให้ตั้งใจขอบารมีพระ ว่าคาถานะโมพุทธายะ นึกถึงพุทธานุภาพของพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ เอาธูปหรือเทียนนั้นจี้ใส่ ผีจะหนีไปเอง แต่อาตมภาพชอบใช้ตอนบน ก็คือจะบนพระหรือบนเทวดา ใช้ธูปเทียนที่ผ่านพิธีรู้สึกว่าง่ายดี ไม่ต้องอธิษฐานมาก เหมือนอย่างกับถือนามบัตรเจ้าใหญ่นายโตไป อย่างไรเขาก็ต้องอนุเคราะห์สงเคราะห์เราแน่นอน ดังนั้น..ในเรื่องของธูปเทียนในงานเป่ายันต์เกราะเพชร จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ท่านทั้งหลายไม่ควรจะละเลย เพราะว่าจะเสียประโยชน์ไปเอง..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-10-2025 เมื่อ 01:19 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
![]()
พระภิกษุสามเณรอาคันตุกะ เมื่อถึงเวลาเพล นิมนต์ฉันเพลที่โรงครัวนะครับ ไปก่อนนั่งลงได้สัก ๔ รูป ๖ รูปต่อวงก็นิมนต์ฉันได้เลย ไม่ต้องรอกัน วันงานถือว่าอนุญาตพิเศษ ถ้ามัวแต่รอกันอยู่ บางทีกระผม/อาตมภาพติดอยู่ตรงนี้ ๑๑ โมงครึ่งยังลุกไม่ได้เลย..!
ถ้าหากว่าช่วงงานท่านมาแล้วโดนละเลยไปบ้างก็ต้องขออภัย เพราะว่าพระเณรวัดท่าขนุนถึงจะมี ๔๐ กว่ารูป แต่ว่าติดภารกิจกันหมด ส่วนที่หนักที่สุดก็คือท่านที่ดูแลความสะอาดและห้องน้ำห้องส้วม ฝ่ายดูแลความสะอาดแทบจะต้องขนขยะกันทุก ๆ ๓ นาที ๕ นาที..! รบกวนญาติโยมทั้งหลาย เวลารับประทานอาหารโรงทานแล้ว ให้ทิ้งขยะลงในถุงดำ เขาจะได้ขนไปทิ้งง่าย ๆ หน่อย ไม่ใช่นั่งกินตรงไหนก็กองไว้ตรงนั้น แล้วอยู่ ๆ ขยะหายไป มาคิดว่าวัดท่าขนุนมีระบบอัตโนมัติอีก..! ความจริงทำให้พระท่านต้องลำบาก มาไล่ตามเก็บในสิ่งที่ญาติโยมทั้งหลายทำเอาไว้ไม่เรียบร้อย เผลอเมื่อไรก็จะได้เกิดเป็นคนใช้เขา ๕๐๐ ชาติ..! ถ้าเป็นคนใช้ในบ้านเศรษฐีแล้วเจ้านายเขารักก็ดีไป ถ้าไปเจอแบบ "ดาวพระศุกร์" เข้า พวกนี้เกิดทันเรื่องดาวพระศุกร์ไหม ? ตั้งแต่สมัยคุณยายมนฤดียังเป็นวัยรุ่นอยู่ ส่วนดารารุ่นหลัง ๆ ไม่ต้องมาถามอาตมภาพ..ไม่รู้จัก ดาราคู่สุดท้ายที่รู้จัก พระเอกชื่อทูน หิรัญทรัพย์ นางเอกชื่อจารุณี สุขสวัสดิ์ หลังจากนั้นแล้วไม่ต้องถาม เด็ก ๆ วิ่งมาบอก "หลวงพ่อ ๆ รถเมล์มา" บอกว่า "มาก็ขึ้นไปสิวะ เกี่ยวอะไรกับกู" ปรากฏว่าเขาบอกว่าเป็นดาราชื่อรถเมล์ หรือไม่ก็ "หลวงพ่อ..บี้มา" "บี้ใครวะ ? กูไม่รู้จัก..ขออภัย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-10-2025 เมื่อ 01:22 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
![]()
อาตมภาพหย่าขาดกับโทรทัศน์มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๗ คาดว่าหลายท่านยังไม่เกิด เพราะว่าตั้งใจจะบวช ก็เลยรักษาศีล ๘ ตั้งแต่ปี ๒๕๒๗ มาบวชปี ๒๕๒๙ ใช้เวลาประมาณ ๒ ปี น้ำหนักตัวจาก ๖๓.๕ กิโลกรัม ลดลงไปเหลือแค่ ๕๔ กิโลกรัม จนป่านนี้ยังไม่ได้น้ำหนักคืนมาเลย บวชมา ๔๐ ปีเข้าไปแล้ว ปัจจุบันนี้ ๖๑ กิโลกรัมบ้าง ๖๑.๕ กิโลกรัม บ้าง ป่วยทีหนึ่งก็หายไป ๒ กิโลกรัม ๓ กิโลกรัม..! กลายเป็นคนแก่หุ่นดี อายุ ๖๗ ปีแล้วยังเหมือนอย่างกับวัยรุ่น ก็คือยังผอมอยู่เลย..!
ส่วนใหญ่พออายุเริ่มมาก โดยธรรมชาติร่างกายก็จะตุนสารอาหารไว้ให้ ก็คือตุนไขมันไว้ให้ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าพออายุมาก การเคลื่อนไหวช้า บรรพบุรุษของเราจึงไล่ทุบไดโนเสาร์ไม่ไหว ไม่มีอะไรกินแล้วก็อดตายไปหลายรุ่น จนเกิดการจดจำขึ้นในสารพันธุกรรมว่า ถ้าอายุขนาดนี้ หากินไม่ค่อยจะไหวแล้ว ก็ต้องตุนเอาไว้เอง ดังนั้น..ถ้าใครอายุเริ่มเข้าเกณฑ์มาก ก็จะต้องอ้วนเป็นธรรมดา ยกเว้นว่าท่านขยันออกกำลังหรือดูแลสุขภาพตัวเอง แต่ว่าสมัยนี้ก็ลำบาก ถ้าหากว่าท่านไปเข้าฟิตเนส เกิดเป็นชายแท้เข้าไป ปรากฏว่าพวกหล่อล่ำกล้ามใหญ่ในนั้นมองกันน้ำลายยืด อาตมภาพเห็นแล้วยังสยองแทน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-10-2025 เมื่อ 01:24 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
![]()
สีหะนาทัง นะทัน เตเต ปะริสาสุ วิสาระทา เป็นคาถาสำหรับนักเทศน์ หรือเวลาเข้าสังคมแล้วกลัวประหม่า ให้ภาวนาไปก่อนสัก ๑๐ นาที ๒๐ นาที
ความหมายของพระคาถาก็คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมในท่ามกลางพุทธบริษัท ประหนึ่งราชสีห์แผดสีหนาท
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-10-2025 เมื่อ 01:24 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
![]()
พระพุทธชินราชใบเสมาเป็น ๑ ในเบญจภาคีพระเนื้อชิน พวกเล่นหล่อด้วยทองคำมาถวาย องค์หนึ่งก็หลายบาทอยู่ แต่อาตมภาพไม่กล้าขาย เพราะว่าถ้าขายแล้วร้านทองเอาไปหลอม ก็ทำลายพระพุทธรูปอีก..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-10-2025 เมื่อ 01:25 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
![]()
ใครต้องการน้ำมนต์เสาร์ ๕ ของวัดท่าขนุน พูดง่าย ๆ ว่าผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคที่หาสาเหตุไม่ได้ ลองเอาน้ำมนต์ไปดื่มไปอาบดู ถ้ากรรมไม่หนักจนเกินไปนักก็จะหายเลย
แต่เอาให้แน่นะ เนื่องเพราะว่าอาตมภาพเจอมาสองราย ที่ไม่ได้เป็นอะไรเลย แต่มั่นใจว่าตัวเอง "โดนของ"..! รายแรกเป็นพระอาจารย์ของอาตมภาพเอง จบด็อกเตอร์มาจากอินเดีย ปกติท่านก็ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ ปรากฏว่าวันนั้นท่านบอกว่า "พระครูเล็ก..ช่วยดูให้ผมหน่อย ผมปวดหัวเข่า รักษาอย่างไรก็ไม่หาย น่าจะโดนของมา..!" อาตมภาพบอกว่า "ท่านอาจารย์..ไปหาหมอเอ็กซเรย์เดี๋ยวนี้เลย ไม่ได้โดนของอะไรหรอก ป่วยปกติ" ท่านอาจารย์ก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ปรากฏว่าไปเอ็กซเรย์แล้วกระดูกหัวเข่าแตก..! หมอก็เลยต้องผ่าตัดให้ อาตมภาพไปเยี่ยม ถามว่า "ท่านอาจารย์ไปทำอีท่าไหน กระดูกหัวเข่าแตก ?" ท่านบอกว่า "เดินชนมุมโต๊ะหน่อยเดียว ไม่นึกว่าจะแตก เห็นเจ็บก็เอายาหม่องทา พอบวมมากขึ้น กินยาแก้ปวด กินอะไรมาเป็นอาทิตย์ก็ไม่หาย..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-10-2025 เมื่อ 01:11 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
![]()
ส่วนอีกรายหนึ่งดีกว่านั้น เป็นสุภาพสตรี บอกว่า "โดนของ" มา เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวเหงื่อออก ก็เลยบอกว่า "โยมไปหาหมอ บอกเขาว่าขอฮอร์โมนหน่อย โยมแก่จนกระทั่งวัยทองแล้ว ยังไม่รู้ตัวว่าฮอร์โมนหมด..!"
ดังนั้น..เป็นอะไรกรุณาหาหมอตามปกติก่อน รักษาไม่ได้แล้วค่อยมาหาหมอผี ไม่ใช่เอะอะก็จะหาแต่หมอผี เดี๋ยวก็เสียตังค์มากอีก เพราะว่าแต่ละรายส่วนใหญ่มักจะหลอกเอาประโยชน์จากเราทั้งนั้น..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-10-2025 เมื่อ 01:13 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
![]()
พอดีอาตมภาพอายุเพิ่งจะ ๖๗ ปี ครูบาวิฑูรย์ ชินวโร ประธานที่พักสงฆ์ปรียนันท์ธรรมสถาน จังหวัดนครสวรรค์ ท่านจะทำไม้เท้ามาถวาย ยังสงสัยว่า "นี่ข้าพเจ้าแก่ขนาดนี้แล้วหรือ ?" จำได้ว่าเพิ่งอายุ ๒๐ กว่า ๆ เอง ด้วยความที่จำได้ว่าอายุยังน้อยอยู่ ก็เลยไม่รู้สึกว่าแก่..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-10-2025 เมื่อ 01:14 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|