#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๙ กันยายน ๒๕๖๘
|
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ตั้งแต่เช้ามากระผม/อาตมภาพก็วุ่นวายกับชีวิต เพราะว่ารถที่ยืมท่านเจ้าคุณกล้า - พระวชิรวาที, ผศ., ดร. (กล้า วีรรตโน) เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ วรวิหาร รองเจ้าคณะอำเภอเมืองเพชรบุรีมา น้ำมันรั่ว จากที่ยืมตั้งแต่วันแรกก็ได้กลิ่นน้ำมันแล้ว แต่คิดว่าน่าจะเป็นเพราะเติมน้ำมันมากเกินไป จนกระทั่งมีการรั่วคอถัง ก็ยังไว้วางใจอยู่ แต่กลิ่นแรงขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งต้องมาหาว่า มีการเปิดเพื่อรับอากาศจากข้างนอกเข้ามาหรือเปล่า ?
ท้ายที่สุดวันนี้ก็ชัดเจนที่สุด เพราะว่ารั่วขนาดไหลโจ๊กเลย..! เมื่อเรียกช่างมาดูแล้ว สรุปว่าท่อส่งน้ำมันเข้าเครื่อง หรือว่า "แป๊บ" น้ำมันเข้าเครื่องแตกร้าว..! ในตอนแรกรอยแตกก็น่าจะมีเพียงเล็กน้อย แต่ด้วยความที่ว่าใช้งานต่อเนื่อง แล้วน้ำมันที่ฉีดเข้าเครื่องเพื่อจุดระเบิดนั้น ใช้แรงดันสูงมหาศาล เพราะว่าต้องฉีดน้ำมันให้เป็นไอ แรงดันขนาดนั้น รอยร้าวก็เลยรับไม่ได้ จึงแตกจนกระทั่งรั่วให้เห็นอย่างชัดเจน..! ต้องบอกว่าในระยะที่พวกเราจะต้องรับวาระกรรมต่าง ๆ นั้น บางทีต่อให้เป็นรถที่ยืมคนอื่นเขามา ก็พังเอาดื้อ ๆ แบบนี้เหมือนกัน..! ท่านเจ้าคุณกล้าบอกว่า เกิดจากมูเล่ย์หัวสายพานไปหลุดตอนที่เข้าวังไปประกาศรัตนปริตร ดีดออกมาเสียงดังสนั่นมาก จนบรรดาราชองครักษ์ต่าง ๆ ถึงขนาดต้องมาล้อมรถเอาไว้ เพราะคิดว่ามีการวางระเบิด..! คราวนี้ส่วนที่เสียหายซึ่งมองเห็นชัดเจนก็ได้ทำการแก้ไขไปแล้ว แต่คาดว่าท่อน้ำมันน่าจะโดนกระทบเพียงเล็กน้อย ตอนแรกจึงไม่มีปัญหา แต่พอแรงดันน้ำมันมาก ๆ เข้าก็รับไม่ไหว เกิดการแตกร้าวขึ้นมา พูดง่าย ๆ ว่ามีเรื่องให้เสียเงินจนได้..+ ที่บางคนเขาใช้คำว่า "เคราะห์ซ้ำกรรมซัด" หรือว่า "ผีซ้ำด้ำพลอย" ซึ่งเด็กสมัยหลังก็ไม่รู้แล้วว่า "ด้ำ" คืออะไร จึงมักจะกลายเป็น "ด้าม" ก็คือไม่รู้อะไรก็ใส่สิ่งที่ตนเองรู้เข้าไป แทนที่ด้ำก็คือผีป่า ก็เลยกลายเป็นด้ามมีดด้ามขวานไปเลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-09-2025 เมื่อ 02:22 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
ในช่วงที่วาระกรรมต่าง ๆ เข้ามา วิธีที่ดีที่สุดก็คือตั้งสติเผชิญกับเหตุการณ์นั้นอย่างสงบ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าออกมาให้ดีที่สุด โดยเฉพาะวันนี้ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน เพราะว่าประการแรก ไม่ได้ใช้รถไปไหนไกล ประการที่สองก็คือมีเวลาให้แก้ไขนานมาก ไม่ใช่เหตุการณ์ฉุกเฉินอย่างที่เคยเผชิญมาหลายต่อหลายครั้ง
อย่างเช่นว่ามีอยู่เที่ยวหนึ่ง รถไปหมุนเป็นลูกข่างบนเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ เหตุก็เพราะว่าตอนนั้นที่ไปเอารถกระบะตอนเดียวไป มีกระผม/อาตมภาพนั่งข้างหน้าคู่กับคนขับ คณะอีก ๔ คนนั่งที่กระบะท้าย แล้วก็เจอฝนตกกลางทาง คนขับก็เลยเหยียบกระจาย เพื่อให้ความเร็วรถช่วยให้ฝนปลิวเลยรถไป จะได้ไม่เปียกคนที่อยู่ข้างหลัง แต่ด้วยความที่ว่าฝนตก ถนนลื่น พอเข้าโค้งผิดจังหวะจึงหมุนเป็นลูกข่าง อาตมภาพเองมองรถที่อยู่เฉียดริมเหวแล้วก็รอจังหวะ "ถ้าเอ็งลงเมื่อไร แล้วข้าจะแก้ไขอย่างไร ?" ถ้าเหตุการณ์ฉุกเฉินแบบนี้เกิดขึ้น หลายต่อหลายท่านจะรู้สึกเหมือนกับเห็นภาพช้า ก็คือทุกอย่างเหมือนอย่างกับภาพหนังที่เขาดึงอยู่ใน "โหมดสโลว์โมชั่น" ช้าจนกระทั่งเรามีเวลาคิดอะไรต่อมิอะไรได้เยอะแยะมากมาย เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าสภาพจิตของเราเร็วกว่า เนื่องเพราะว่าถ้าสภาพจิตที่ฝึกฝนดีแล้ว แม้ว่าการฝึกของเราจะไม่เข้มงวดกวดขัน แต่การสะสมวันละเล็กวันละน้อย ถึงเวลารวมตัวกันเข้า ก็จะแสดงผลให้เห็นว่าต้นทุนของเรามีเท่าไร ? ดังนั้น..เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นจึงไม่ได้ตกใจ เพราะประการแรกก็คือ เห็นว่าทุกอย่างช้าจนเราสามารถแก้ไขเหตุการณ์ได้ ประการที่สองก็คือพอจิตเป็นสมาธิ รัก โลภ โกรธ หลง อะไรไม่มี ความกลัวก็เลยพลอยไม่มีไปด้วย..! เมื่อสามารถเบรกรถอยู่โดยที่ห่างจากขอบเหวไม่ถึงคืบ พ่อเจ้าประคุณ ๔ ตัวที่นั่งกระบะท้ายจึงตะโกนบอกว่า "เอาอีก..เอาอีก" ส่วนคนขับรถบอกว่า "ทำได้ครั้งเดียวโว้ย..!" ถ้าคนอื่นเห็นเขาคงคิดว่าไอ้พวกนี้บ้า..เอาชีวิตมาล้อเล่น..! แต่ก็อย่างที่บอกว่าไม่มีอะไรที่เร็วไปกว่าสภาพจิต เนื่องเพราะว่ากิเลสเกิดเร็วจนสติของเรายังตามไม่ทัน ถ้าหากว่าสภาพจิตของเราไม่เร็วพอ ก็ไม่สามารถจะสกัดกั้นกิเลสได้ เรื่องพวกนี้ท่านทั้งหลายต้องมีประสบการณ์ด้วยตนเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-09-2025 เมื่อ 02:26 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
ช่วงที่ยังอยูที่วัดท่าซุง พวกเราผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่เวรยามทุกวัน เหมือนอย่างกับวัดท่าขนุนของเราในปัจจุบันนี้ เพียงแต่ว่ากระผม/อาตมภาพรับหน้าที่อยู่ในแม่น้ำ คนอื่นเขากลัวจระเข้กัน ถามว่ามีจระเข้ด้วยหรือ ? ขอยืนยันว่ามี จระเข้ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ใน "บึงทับแต้" ที่อยู่ทางด้านต้น "คลองยาง" พอถึงเวลาน้ำหลากก็มักจะตามน้ำออกมาหากิน จนกระทั่งมาถึง "แม่น้ำสะแกกรัง" ช่วงหน้าวัดท่าซุง
กระผม/อาตมภาพเคยเจอมาด้วยตนเอง ก็คือพายเรือแล้วก็ไปจ๊ะเอ๋กับเจ้าขอนดำ ๆ ลอยใกล้เข้ามา..ใกล้เข้ามา ก็เลยเอาพายกระทุ้งไปเสียก่อน ไอ้เจ้านั่นตกใจ แว้งตัวหนี..เล่นเอาเรือเกือบล่ม..! ในเมื่อคนอื่นเขากลัวจระเข้ ก็เลยไม่มีใครลงน้ำ จึงปล่อยให้กระผม/อาตมภาพรับผิดชอบไปคนเดียว แล้วช่วงนั้นผู้มีจิตศรัทธาจะส่งของอาถรรพ์มาถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงทุกวันอังคารและวันเสาร์ พวกนี้ศรัทธาแรงกล้ามาก ถวายตรงเวลาทุกวัน..! พอถึงเวลาประมาณทุ่มครึ่ง ได้ยินเสียงหมาหอน ไปยืนรออยู่ข้างโบสถ์วัดท่าซุงได้เลย วัตถุอาถรรพ์ที่โดนทำมาส่วนใหญ่เป็นพวกตะปูตอกโลงผี เมื่อเข้ามาอยู่ในเขต เทวดาซึ่งเป็นลูกน้องท้าวมหาราชท่านทำลายอาถรรพ์นั้นทิ้ง จากที่เขาเสกจนเล็กเหมือนกับฝุ่น ก็กลับไปอยู่ในสภาพเดิม พวกกระผม/อาตมภาพเก็บสะสมจนแทบจะชั่งกิโลขายได้ รวม ๆ กันแล้วเป็นหอบเลย..! คราวนี้ที่มาเล่าตรงนี้ก็เพราะด้วยความสงสัยที่ว่า เทวดาท่านทำลายอาถรรพ์พวกนี้ได้อย่างไร ? สองคนกับพี่สามารถ ปัจจุบันก็คือทิดสามารถ สุขสาธุ จึงแอบดู ไปแอบอยู่ทางด้านริมน้ำที่ตนเองต้องรับผิดชอบนั่นแหละ แล้วเทวดาท่านก็ยืนอยู่ด้านนั้น พอถึงเวลาหมาเริ่มหอน พวกวัตถุอาถรรพ์ก็พุ่งมาเร็วมาก เร็วชนิดสายฟ้าแลบ..! แต่เทวดาท่านเร็วกว่า ท่านเอาพระขรรค์เคาะ เหมือนอย่างกับเราตีแบดมินตัน อันไหนที่เคาะโดนก็หล่นลงมา กลายเป็นของที่หมดสภาพแล้ว ถึงได้รู้ว่าถ้าหากว่าของที่เราเห็นเร็วขนาดไหน แต่ในสภาพความเป็นทิพย์ พรหม เทวดา สภาพจิตท่านเร็วกว่า การต่อต้านแก้ไขของท่านจึงกลายเป็นของง่าย ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 11-09-2025 เมื่อ 01:12 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
กล่าวย้อนกลับมาถึงพวกเราที่ว่า ถ้าสภาพจิตที่ได้รับการฝึกดีแล้วก็จะเร็วมาก ทันทีที่รู้สึกว่าราคะจะเกิด ทันทีที่รู้สึกว่าโทสะจะเกิด ถ้าเราฝึกดีแล้ว ส่งใจไปกราบพระบนพระนิพพานเลย ต้องไปให้ทันด้วยนะ ถ้าไม่ทันก็เจ๊งเลย..! ถ้าสภาพจิตของเราเกาะพระนิพพาน ซึ่งปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง พวก ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ก็จะกินใจเราไม่ได้
การฝึกมโนมยิทธิของหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านต้องการจุดสำคัญตรงนี้ ก็คือรู้จักพระนิพพานได้ ไปพระนิพพานตรง เห็นชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เนื่องเพราะว่าเป็นเพียงเปลือกที่ให้ "กายใน" อาศัยเท่านั้น แค่นั้นยังไม่พอ ยังสามารถที่จะยกจิตหนีกิเลสได้ทันอีกต่างหาก ไม่ใช่ไปดูว่าในอดีตคนนั้นเป็นผัวกู คนนี้เป็นเมียกู แล้วก็ไปฟื้นสัมพันธ์กันใหม่อย่างที่ส่วนใหญ่เขาทำกันในปัจจุบัน..! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าเราทำจนกระทั่งเคยชิน กิเลสกินใจไม่ได้ นาน ๆ ไปก็หมดสภาพเอง เราก็จะสามารถบรรลุมรรคผลในลักษณะของ "เจโตวิมุตติ" ก็คือใช้กำลังใจข่มไว้ จนกิเลสเกิดไม่ได้ แล้วหมดสภาพไปเอง ถ้าถามว่าเป็นเรื่องยากหรือเปล่า ? ถ้าขาดการฝึกฝนก็ยาก แต่ถ้าซักซ้อมอยู่ตลอดเวลาก็ไม่ได้ยาก ดังนั้น..จากการที่เกิดอุบัติเหตุฉุกเฉิน ที่เราเห็นทุกอย่างว่าช้าลง เพราะสภาพจิตของเราเร็วขึ้นจากกำลังทั้งหมดที่มารวมตัวกัน ใครเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อย ๆ จะรู้ว่าตัวเองมีต้นทุนเท่าไร ? เพียงพอต่อการมุ่งพระนิพพานหรือไม่ ? สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-09-2025 เมื่อ 02:32 |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|