#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๘
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพเดินทางฝ่าฝนขึ้นภาคเหนือ เพื่อไปร่วมงานอายุวัฒนมงคล ๘๘ ปี ตุ๊พ่อสิงห์ (พระอธิการสิงห์ วิสุทฺโธ) เจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ซึ่งท่านเป็นรุ่นพี่ บวชที่วัดท่าซุง (จันทาราม) มาด้วยกัน
แต่ด้วยความที่ตุ๊พ่อสิงห์นั้น ได้รับบัญชาจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ให้ออกมาเป็นหลักแก่ญาติโยมทางภาคเหนือนี้ แล้วท่านก็ยึดถือคำสั่งนั้นด้วยชีวิต จะลำบากยากแค้นขนาดไหนไม่คำนึงถึง พัฒนาถ้ำป่าไผ่ซึ่งอดีตรกร้างว่างเปล่า จนกระทั่งกลายเป็นวัดวาอารามสวยงามอย่างทุกวันนี้ โดนทั้งอิทธิพลในท้องถิ่น ตลอดจนกระทั่งพระสังฆาธิการที่ไม่เห็นด้วย เพราะว่ามัวแต่ไปฟังคำชาวบ้านผู้ที่ต้องการจะยึดวัด เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ถึงขนาดโดนพักจากตำแหน่งพระสังฆาธิการ คือเจ้าอาวาสมาแล้ว..! ความจริงนั้นในฐานะที่ท่านเป็นรุ่นพี่ หรือเรียกว่ารุ่นพ่อก็ได้ แต่ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน มีอะไรท่านก็เรียกใช้ไหว้วาน โดยเฉพาะตอนที่เกิดปัญหาเรื่องสิทธิครอบครองที่ดินวัด ตลอดจนกระทั่งโดนพักจากตำแหน่งเจ้าอาวาส จนกระผม/อาตมภาพต้องทำหน้าที่เป็นหลักให้กับท่าน ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะที่ปรึกษา เพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตเหล่านั้นไปได้ก็ดี หรือว่าช่วยบอกบุญกับญาติโยม หาปัจจัยมาช่วยท่านในช่วงที่ขาดแคลนก็ตาม จนกระทั่งทุกวันนี้ จึงกลายเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ เพราะว่าช่วงวันเกิดของท่านทีไร ท่านจะให้กระผม/อาตมภาพเป็นผู้กำหนดวันเอง ว่าจะให้ท่านเกิดวันไหนในเดือนสิงหาคม เพื่อที่กระผม/อาตมภาพจะได้มาเป็นประธานในงานให้ ขอแจ้งให้ญาติโยมทั้งหลาย ตลอดจนพระภิกษุสามเณรของเราได้ทราบว่า ตัวกระผม/อาตมภาพเองนั้นยึดถือสถานการณ์ใหญ่ของพระพุทธศาสนาเป็นหลัก ดังนั้น..ไม่ว่าในช่วงที่เคยอยู่วัดท่าซุงแล้วจะต้องฟาดฟันกันมาขนาดไหนก็ตาม ถ้าทุกคนสังเกตจะเห็นว่า กระผม/อาตมภาพนั้นเป็นพระที่แรงในสายตาของพี่ของน้อง แต่ขอให้ทราบว่าถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวของทุกคน กระผม/อาตมภาพจะไม่ยุ่งด้วย เนื่องเพราะว่าเป็นเรื่องของ รัก โลภ โกรธ หลง ในใจของแต่ละคน แต่ถ้าสิ่งใดสร้างความเสียหายให้กับส่วนรวม กระผม/อาตมภาพจะเข้าไปขัดขวางสุดฤทธิ์ ถึงขนาดต้องสละชีวิตก็ยอม..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2025 เมื่อ 23:46 |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
ในส่วนนี้จึงทำให้บุคคลที่ไม่เข้าใจส่วนหนึ่ง เกลียดชังน้ำหน้ากระผม/อาตมภาพชนิดที่ "ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ" เสียด้วยซ้ำไป แต่กระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้ใส่ใจ ถือว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องธรรมดาของโลก จนกระทั่งออกจากวัดมาแล้ว เมื่อถึงเวลา บรรดาพระพี่พระน้องมาขอความช่วยเหลือ กระผม/อาตมภาพก็ให้การช่วยเหลือไปทุกคน ไม่ได้ดูว่าสมัยก่อนที่อยู่วัดเดียวกัน เคยทะเลาะเบาะแว้งกันมา เนื่องเพราะเข้าใจดีว่าในเรื่องของศีลนั้น ทุกท่านสมบูรณ์ แต่ว่าเรื่องของกิเลสในใจนั้น ขึ้นอยู่กับว่าใครวางได้ก่อนก็สบายก่อน..!
ดังนั้น..จึงขออนุญาตกล่าวถึงไว้ในที่นี้ ซึ่งหลายท่านอาจจะไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน แต่ก็ขอบอกกล่าวเพื่อความเข้าใจกัน ตั้งแต่สมัยที่ออกจากวัดมาใหม่ ๆ รายแรกเลยก็คือทิดน้อย (อดีตพระปลัดอภิชัย สุธมฺมธมฺโม) ซึ่งบวชพรรษาเดียวกัน รุ่นเดียวกัน ถ้าหากว่ากล่าวถึงตรงนี้ หลายคนที่ไม่ทันก็คงจำไม่ได้ เมื่อกระผม/อาตมภาพไปสร้างสำนักปฏิบัติธรรมเกาะพระฤๅษี ทิดน้อยตอนช่วงนั้นก็มาหา บอกว่า "ขอกูอยู่ด้วยคนได้ไหมวะ ?" กระผม/อาตมภาพชี้กุฏิที่เรียงรายอยู่ ๕ หลัง บอกว่า "มึงเลือกเอาได้เลย" แต่ว่าทิดน้อยค้างอยู่แค่คืนเดียว แล้วก็ตัดสินใจว่า "ถ้าไม่ใช่วัดท่าซุง กูไม่อยู่ที่อื่น ถ้าไม่ใช่พ่อ กูไม่ขอนับถือใคร" ว่าแล้วท่านก็กลับวัดไปและสึกหาลาเพศในที่สุด รายต่อมาก็คืออดีตหลวงพี่สามารถ ฐานิสฺสโร หรือทิดสามารถ สุขสาธุ มาขออยู่ด้วยเช่นกัน กระผม/อาตมภาพเองก็ต้อนรับขับสู้ตามปกติ แต่ว่าด้วยความที่เกาะพระฤๅษีนั้นเข้าถึงยากลำบาก เพราะว่าสมัยนั้นตั้งแต่ปากทางเข้าไปตลอดระยะ ๑๐ กิโลเมตร มีแต่หลุมแต่บ่อ ประมาณว่า "ปลักควาย" หรือว่า "โลกพระจันทร์" ท่านจึงขอกลับไปยังวัดท่าซุงตามเดิม แล้วในที่สุดก็สึกหาลาเพศไป รายต่อไปก็คือหลวงพี่อาจินต์ของพระวัดท่าซุงยุคนั้นทุกคน ปัจจุบันก็คือหลวงพ่ออาจินต์ (พระครูภาวนาธรรมนิเทศก์) ของหลาย ๆ คน เมื่อท่านมา กระผม/อาตมภาพจึงได้เรียนบอกหลวงพ่อณรงค์ - พระเดชพระคุณพระเทพเมธากร (ณรงค์ ปริสุทฺโธ ป.ธ.๔) ซึ่งตอนนั้นเป็นพระราชธรรรมโสภณ รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ในเมื่อบอกกล่าว ท่านก็ยกวัดเขาวงจินดารามที่อำเภอบ่อพลอย ซึ่งเป็นวัดประจำอำเภอ ใหญ่มาก ให้หลวงพี่อาจินต์ของกระผม/อาตมภาพไปเป็นเจ้าอาวาส พร้อมกับตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอบ่อพลอย เนื่องเพราะว่าท่านให้กระผม/อาตมภาพไปอยู่และเป็นเจ้าคณะอำเภอแล้ว กระผม/อาตมภาพไม่รับ ปรากฏว่าหลวงพี่อาจินต์ของกระผม/อาตมภาพเผ่นหนีทันทีที่ได้ยินว่ามีตำแหน่งรัดตัว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2025 เมื่อ 23:51 |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
รายต่อไปก็หลวงพ่อวิรัชของทุกคน ก็คือพระปลัดวิรัช โอภาโส พอท่านได้ยินว่าที่กระผม/อาตมภาพอยู่มีมาลาเรีย ท่านปฏิเสธสุดชีวิต ท้ายที่สุดก็ไปซื้อที่ดินและสร้างวัดธรรมยานที่นาเฉลียง จังหวัดเพชรบูรณ์ แถวบ้านเกิดของท่านเอง
มาระยะหลัง ๆ บรรดาพระสายวัดท่าซุงที่ต้องออกมา อย่างเช่นท่านติงลี่ (พระอธิการสมมาศ คุณาธิโก) เจ้าอาวาสวัดประตูด่านในปัจจุบันนี้ เมื่อท่านมาขออาศัยอยู่ กระผม/อาตมภาพก็เรียนบอกหลวงพ่อเจ้าคุณทอมสันต์ ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้เป็นเจ้าคุณพระโสภณกาญจนาภรณ์ รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีอย่างทุกวันนี้ แต่ตอนนั้นท่านคือพระครูกาญจนชัยสิทธิ์ เจ้าคณะอำเภอเมืองกาญจนบุรี ขอวัดประตูด่าน ซึ่งขาดเจ้าอาวาสให้กับท่านติงลี่ไปเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่นั่น ตลอดจนกระทั่งสายนอก ๆ ที่ได้รับความเดือดร้อนมา ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ของท่านเจ้าคุณหลวงตาวัชรชัย (พระราชภาวนาพัชรญาณ วิ.) วัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) จังหวัดสระบุรี ก็คือท่านเอก ซึ่งปัจจุบันนี้ไม่ทราบว่าเปลี่ยนชื่อเป็นอะไรแล้ว เรียกว่าธมฺมสรโณภิกขุก็แล้วกัน ท่านเอกพร้อมกับคณะ เมื่อโดนดีดออกมาจากวัดเขาแร่ในพระสังฆราชูปถัมภ์ อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย ก็มาขอเข้าสังกัดวัดท่าขนุน เนื่องเพราะว่าถ้าเป็นพระไม่มีสังกัด ก็ต้องสึกหาลาเพศตามมติมหาเถรสมาคม กระผม/อาตมภาพไม่ดูว่าท่านมีวีรกรรมวีรเวรอะไร หากแต่ว่าถ้าเดือดร้อนมา ก็ถือว่าเป็นลูกพ่อเดียวกัน ที่ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกันเอาไว้ก่อนเป็นต้น ต่อจากนั้นก็ยังมีครูบาวิทูรย์ ชินวโร ซึ่งท่านอาจารย์สมปอง (พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ สุธมฺมสนฺตจิตฺโต) ท่านได้ฝากฝังเอาไว้ แล้วกระผม/อาตมภาพก็มอบหมายให้ไปอยู่ที่พักสงฆ์ปรียนันท์ธรรมสถาน จังหวัดนครสวรรค์ เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือการงานและดูแลสถานที่แทนกระผม/อาตมภาพ เป็นต้น ดังนั้น..ในเรื่องของการช่วยเหลือเกื้อกูลต่อพระพี่พระน้องกัน กระผม/อาตมภาพไม่ได้ดูว่าใครดี ไม่ได้ดูว่าใครชั่ว หากแต่ดูว่าเขาเหล่านั้นเดือดร้อนอะไร และกระผม/อาตมภาพจะช่วยเหลืออะไรได้ ในเมื่อช่วยเหลือได้โดยที่ไม่ได้ยากลำบากเกินความสามารถก็ช่วยเสมอ จึงมีบรรดาสายนอกสายใน ทั้งจากวัดท่าซุงก็ดี บรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่เคารพนับถือในปฏิปทาของหลวงพ่อวัดท่าซุงก็ตาม มาขอความช่วยเหลือเมื่อไร กระผม/อาตมภาพก็ให้การช่วยเหลือไปทุกคน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2025 เมื่อ 23:54 |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
แม้กระทั่งท่านเจ้าคุณหลวงตาวัชรชัย ในสมัยที่ออกมาแล้วยังไม่ได้เป็นพระครูภาวนาพิลาศ พอการก่อสร้างติดขัด มีการหยิบยืมเงินทองเมื่อไร กระผม/อาตมภาพก็รีบหามาให้ท่าน เพื่อที่งานสงฆ์จะได้ไม่หยุดชะงัก เหล่านี้เป็นต้น
ดังนั้น..ในเรื่องพวกนี้ ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า ถ้าเรามองงานใหญ่ มองภาพรวม เราก็จะสามารถทำตัวใจใหญ่ ใจกว้างได้ แต่ถ้าหากว่ามองแค่ตัวเอง ท่านทั้งหลายก็จะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ ตำหนิผู้อื่นว่าไม่ดีพอที่เราจะช่วยเหลือบ้าง ตำหนิผู้อื่นว่าต้องมาอาศัยตนเองบ้าง เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งเรื่องพวกนี้ไม่ควรจะมีอยู่ในจิตในใจของพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เพราะว่านอกจากจะทำให้ตนเองขาดความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมแล้ว ก็ยังทำให้เกิดการแตกความสามัคคีขึ้นอีกด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กระผม/อาตมภาพจึงสรุปลงมาตรงที่ว่า ใครมีบุญคุณเราต้องทดแทน ใครสร้างความแค้นเราไม่จดจำ ใครวางก่อนก็สบายก่อน แล้วก็ถือปฏิบัติอย่างนี้ตลอดมา สิ่งใดที่ล่วงเกินต่อผู้ใดก็ขอขมาในท่ามกลางที่สาธารณะ ถือว่าเราได้กระทำในสิ่งที่สมควรแล้ว เพราะว่ารักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม เมื่อขอขมาแล้ว ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะให้อภัย หรือไม่ให้อภัย ก็แล้วแต่กิเลสในใจของท่าน กระผม/อาตมภาพถือว่าตนเองได้กระทำถูกต้องตามพระธรรมวินัยแล้ว สิ่งอื่นก็ไม่ได้คำนึงถึง..! ดังนั้น..การที่ตนเองต้องเหนื่อยยากในการตรวจงานยกหมู่บ้านศีล ๕ ต้นแบบ จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน แล้วยังต้องเดินทางไกลหลายชั่วโมงขึ้นมา ก็เพื่อทำหน้าที่ของตนในฐานะศากยบุตรพุทธชิโนรส ที่ต้องเอื้อเฟื้อต่อเพื่อนพระสหธรรมิกด้วยกัน ไม่ว่าท่านนั้นจะอยู่ในระดับครูบาอาจารย์ก็ดี อยู่ในระดับเพื่อนฝูงรุ่นราวคราวเดียวก็ดี เป็นรุ่นน้อง รุ่นลูก รุ่นหลานก็ตาม ถ้าเราสามารถวางกำลังใจลักษณะแบบนี้ได้ ถึงเวลาช่วยกันประคับประคองให้เดินหน้าไปด้วยกัน พระพุทธศาสนาของเราก็จะได้เจริญมั่นคง ถ้าท่านใดยังเลือกที่รักมักที่ชังอยู่ นั่นก็แล้วแต่กำลังใจของเขา เพราะกระผม/อาตมภาพไม่เคยสนใจเรื่องกำลังใจคนอื่น นอกจากพยายามรักษากำลังใจของตนให้อยู่ในด้านดีให้มากที่สุดเท่านั้นเอง สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2025 เมื่อ 23:57 |
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|