#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๘
|
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพเดินทางไปถึงวัดจันทรังษี หมู่ที่ ๙ บ้านไผ่ ตำบลหัวไผ่ อำเภอเมือง จังหวัดอ่างทอง เพื่อทำการตรวจยกชุมชนบ้านไผ่ขึ้นเป็นหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ต้นแบบประจำปี ๒๕๖๘
เมื่อไปถึงก็เจอหลวงพ่อวัชรินทร์ (พระครูพิทักษ์จันทรังษี) เจ้าอาวาสวัดจันทรังษี เจ้าคณะตำบลหัวไผ่มาต้อนรับ พร้อมกับนำไปกราบรูปหล่อหลวงพ่อสด - พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) วัดปากน้ำภาษีเจริญ ซึ่งหล่อด้วยโลหะใหญ่ที่สุดในโลก น้ำหนักประมาณ ๔๐ ตัน..! หลังจากนั้นไม่นาน บรรดาคณะกรรมการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ก็ทยอยกันเดินทางมาถึง ทางวัดจันทรังษีจึงได้นิมนต์ให้ฉันภัตตาหารเช้าด้วยกัน เมื่ออิ่มแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ออกมาที่บริเวณเต็นท์นิทรรศการ ซึ่งทางโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลหัวไผ่ ได้จัดให้มีการแช่เท้าด้วยน้ำสมุนไพร ซึ่งบอกว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายมาก กระผม/อาตมภาพเมื่อเป็นคณะกรรมการในการตรวจประเมินด้านนิทรรศการ ก็ต้องมา "ลองของ" แต่ว่านิมนต์คณะกรรมการท่านใดท่านหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีใครยอมลองสักคนเดียว จึงต้องกลายเป็นคณะกรรมการตัวอย่าง หรือจะเรียกว่าเป็น "หนูลองยา" ก็ได้..! เมื่อแช่เท้าและรับการทาครีมนวดเท้าซึ่งทำด้วยสมุนไพรต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อย ก็เข้าไปในบริเวณตรวจประเมิน ได้พบกับหลวงพ่อเจ้าคุณประเวช - พระสุวรรณวชิราทร (ประเวช สุทฺธิญาโณ) เจ้าคณะจังหวัดอ่างทอง เจ้าอาวาสวัดอ่างทอง วรวิหาร ท่านเจ้าคุณประเวศยกมือไหว้แล้วบอกว่า "เราเป็นญาติกันนะครับ..!" กระผม/อาตมภาพก็งง ท่านบอกว่า "ผมเป็นคนบางลี่ครับ ที่บ้านแซ่ฉั่วด้วย" พอได้ยินดังนั้น กระผม/อาตมภาพก็มั่นใจเลยว่าเป็นญาติกันอย่างแท้จริง เพราะว่าตระกูลของคุณยายก็คือแซ่ฉั่ว แล้วก็อยู่บางลี่กันมาจนกระทั่งแตกลูกแตกหลานเต็มไปหมด ท่านเจ้าคุณประเวชบอกว่า "ตอนท่านผู้ว่าฯ พิริยะ ฉันทดิลก อยู่ที่อ่างทอง ท่านมาบอกว่าเป็นญาติกับอาจารย์พระครู ผมก็ยังงงอยู่ จนกระทั่งท่านบอกว่าอาจารย์พระครูมีรกรากข้างยายข้างแม่อยู่ที่บางลี่ ถึงได้มั่นใจว่าเราเป็นญาติกัน" ตรงจุดนี้กระผม/อาตมภาพดูแล้ว หลวงพ่อเจ้าคุณประเวชท่านน่าจะมีดีเอ็นเอเดียวกัน เพราะว่าผอมกะหร่อง เอวบางร่างน้อยพอกัน ก็เลยหัวเราะกันทั้งคู่..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-08-2025 เมื่อ 01:53 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
จากนั้นทางด้านคณะกรรมการวัด ซึ่งมีทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ได้นำรถรางที่ยืมมาจากบรรดา อบต. บ้าง เทศบาลบ้าง ไม่ทราบเหมือนกันว่ารถรางเทียมนี้ เป็นที่นิยมของทางด้านนี้เป็นอย่างยิ่ง เนื่องเพราะว่าทุก อบต. หรือว่าทุกเทศบาล ต่างก็มีอย่างน้อยแห่งละคันสองคัน มานำเอาบรรดาคณะกรรมการ อนุกรรมการ ตลอดจนกระทั่งบรรดาพลขับ ขึ้นรถข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งวัด
ลืมแจ้งทุกท่านไปว่า สถานที่ตรวจประเมินนั้นก็คือศาลาโดมเอนกประสงค์ ข้างมหาวิหารหลวงพ่อสด ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับฝั่งวัด มีถนนและคันคลองคั่นอยู่ หลังจากที่เราข้ามคลองส่งน้ำไปทางฝั่งโบสถ์แล้ว ก็ได้เข้าไปกราบพระประธาน ซึ่งดูทั้งลักษณะของอุโบสถ ตลอดจนกระทั่งพระประธานแล้ว รับประกันได้เลยว่าสร้างก่อนปี ๒๕๐๐ อย่างแน่นอน เนื่องเพราะว่าทรงเหมือนอย่างกับถอดจากอุโบสถวัดท่าขนุนไป โดยฝีมือช่างเดียวกันเลย โดยเฉพาะเมื่อดูที่ฐานพระประธานแล้ว การประดับกระจกก็เป็นฝีมือช่างเดียวกันอีกต่างหาก..! เมื่อพวกเราเจริญพระพุทธมนต์ถวายหลวงพ่อพระประธานและถ่ายรูปหมู่ร่วมกันแล้ว ทางวัดก็พาไปกราบ "หลวงพ่อโยก" หลวงพ่อโยกก็คือพระพุทธรูปเก่าแก่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา คาดว่าเป็นทองคำ แล้วก็มีการพอกปูนซ่อนเอาไว้ เพื่อให้รอดพ้นจากเงื้อมมือทหารพม่า ปรากฏว่าก่อนหน้านี้ท่านหันไปด้านตะวันออกตรง แต่พอสร้างวิหารครอบ ไม่ทราบเหมือนกันว่าหลวงพ่อท่านหันหลบพวกนั่งร้านหรืออย่างไร ? ก็เลยกลายเป็นหันหน้าไปทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แต่เมื่อจับหมุนกลับมาทิศเดิม ท่านก็หันกลับไปทิศตะวันออกเฉียงเหนืออีก แต่ว่าวิหารได้ออกแบบให้หันทิศตะวันออกตรงไปแล้ว จึงกลายเป็นว่าหลวงพ่อต้องนั่งเอียงข้าง ไม่ตรงกับทางเข้าวิหาร ส่วนที่สำคัญก็คือว่าข้าราชการท่านใดก็ตาม ถ้าหากว่าต้องการจะโยกย้ายไปจังหวัดไหน หรือว่ากลับถิ่นฐานบ้านช่องของตัวเอง ก็มักจะมากราบขอพรหลวงพ่อโยก แล้วส่วนใหญ่ก็สำเร็จเสียด้วย..! กระผม/อาตมภาพเข้าไปถวายดอกบัวหลวงพ่อโยกแล้ว กราบเรียนหลวงพ่อบอกว่า "ไม่โยกย้ายนะขอรับ" แล้วก็ได้แต่หัวเราะในใจ เนื่องเพราะท่านบอกว่า "อย่างของคุณนั้นนอกเหตุเหนือผล ต่อให้ขอ ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะโยกย้ายได้" เสียงที่ว่ามานั้น เป็นเทวดาที่รักษาหลวงพ่อทองคำอยู่ภายในองค์หลวงพ่อโยก..! หลวงพ่อทองคำนั้นน่าจะเป็นทองเนื้อเจ็ด หน้าตักประมาณ ๓๐ นิ้วเศษ สีสันสดใสสวยงาม ตามที่มองเห็นภายใน แต่ไม่แน่ใจว่าสภาพภายนอกจะเป็นอย่างไร ถือว่าเป็นศิลปะอยุธยาที่มีเศียรเป็นหนามขนุน ซึ่งรูปแบบพวกนี้เราจะมีความเข้าใจ ก็ต่อเมื่อศึกษาลักษณะของพระพุทธรูปยุคสมัยต่าง ๆ มา ถึงพอที่จะรู้กัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-08-2025 เมื่อ 01:57 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
เมื่อกราบหลวงพ่อโยก ขอพรกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็นั่งรถรางเทียมกลับไปที่มหาวิหารหลวงพ่อสด ได้เข้าไปกราบสักการะแล้วถ่ายรูปหมู่ร่วมกันที่นี่
จากนั้นก็ชมนิทรรศการต่าง ๆ แต่ปรากฏว่าสถานที่เมื่อจัดนิทรรศการ โดยเฉพาะเกี่ยวกับศีล ๕ แล้วทางด้านจังหวัดอ่างทอง ได้ระดมเอาบรรดานักเรียนโรงเรียนต่าง ๆ ที่มีโครงการต่าง ๆ เกี่ยวกับศีล ๕ มาแสดง จึงทำให้ล่าช้า เพราะว่าสถานที่คับแคบ กลับตัวก็ยาก เพียงแต่ว่าเด็กทุกคนมีความสามารถมาก อธิบายขยายความเนื้อหาที่ตนเองรับผิดชอบได้เป็นอย่างดี จึงได้รับรางวัลจากหลวงพ่อโพไซดอน - พระเดชพระคุณพระเทพสมุทรวัชราจารย์ (จรัล สิริธมฺโม) เจ้าคณะจังหวัดสมุทรปราการ รักษาการประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ หนกลาง เรียกว่าแจกกันจน "มือเป็นระวิง"..! เมื่อชมนิทรรศการครบแล้ว โดยเฉพาะบรรดาคนขับรถต้องหอบเอาข้าวของต่าง ๆ ที่หลวงปู่หลวงพ่อของตนเองช่วยกันซื้อหา ขึ้นรถกันไปเป็นหอบ ๆ แม้กระทั่งน้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) ก็ยังซื้อเอามะม่วงดองที่มีชื่อเสียงของจังหวัดอ่างทองไปหลายกล่องเลยทีเดียว..! ครั้นเข้าไปในศาลาโดมเอนกประสงค์เพื่อทำการตรวจประเมินแล้ว พวกเราก็มองด้วยความชื่นใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าผู้ว่าราชการจังหวัดก็ดี รองผู้ว่าราชการจังหวัดก็ดี นายอำเภอทุกอำเภอ ตลอดจนกระทั่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และหัวหน้าส่วนราชการมากันครบถ้วน แล้วไม่ได้ครบถ้วนเฉย ๆ เพราะว่าอยู่จนกระทั่งตรวจประเมินเสร็จ ทั้ง ๆ ที่อากาศร้อนสุด ๆ เพราะว่าหลังคาโดมเอนกประสงค์ก็คือเมทัลชีทที่เรียกตามภาษาชาวบ้านง่าย ๆ ว่าสังกะสีนั่นเอง..! กลายเป็นบรรยากาศตัดกันสุดขั้วกับเมื่อวานนี้ เมื่อวานนี้การตรวจประเมินที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เราอยู่ในศาลาปฏิบัติธรรมที่ติดเครื่องปรับอากาศเย็นยะเยือก เหมือนกับฤดูหนาว แต่ว่าที่นี่กลายเป็นฤดูร้อนจัดเป็นอย่างมาก ทำเอาบรรดา "มเหสักโข" ทั้งฝ่ายราชการและคณะกรรมการนั่งเหงื่อตกไปตาม ๆ กัน เนื่องเพราะว่าพัดลมไอน้ำก็ดี พัดลมตั้งพื้นก็ตาม ส่งลมมาติดอยู่แค่ภายนอก ทำเอากระผม/อาตมภาพต้องนั่งกระซิบกระซาบกับเพื่อนคณะกรรมการว่า "ดูเอาก็แล้วกัน บรรดาปลาซิวปลาสร้อยเขาทำบุญไว้ดี มีพัดลมให้เย็นสบาย แต่ว่าบรรดาปลาวาฬ ปลาฉลาม ตลอดจนกระทั่งปลาอินทรีย์ครีบสีน้ำเงิน ต้องมานั่งเหงื่อตกไปตาม ๆ กัน..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-08-2025 เมื่อ 02:00 |
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
ด้วยความที่ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง ให้ใจกับงานโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ เป็นอย่างมาก เพราะว่าเป็นไปตามโครงการยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ซึ่งมีการเซ็นเอ็มโอยูกัน ระหว่างคณะสงฆ์กับกระทรวงมหาดไทย แปลว่าเราจะต้องเจอหน้ากันลักษณะแบบนี้อีกหลายปี ท่านจึงให้ใจแบบสุด ๆ ไม่ว่าจะเป็นคณะสงฆ์ก็ดี ทางส่วนราชการก็ตาม มากันครบถ้วนสมบูรณ์ ต้องชมว่าหลวงพ่อเจ้าคุณประเวช เจ้าคณะจังหวัดอ่างทองนั้น แม้ว่าตัวเล็กแต่ว่าทำงานเก่งมาก ประสานงานให้ทุกฝ่ายมาให้ความร่วมมือกันอย่างชนิดที่สมบูรณ์แบบ ทุกคนอยู่จนกระทั่ง ๑๑ โมงกว่า ถึงได้ทำการปิดประเมิน ถ่ายรูปหมู่ร่วมกัน
กระผม/อาตมภาพไม่ได้อยู่ร่วมฉันเพล เนื่องเพราะว่าไข้เริ่มจับอีกแล้ว จากหนาวสุดมาเจอร้อนสุดเข้า ร่างกายรู้สึกว่ารับไม่ไหว จึงได้ให้น้องเล็กพาวิ่งกลับยังที่พักวัดอุทยาน พร้อมกับฉันข้าวของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มีติดรถอยู่ รวมทั้งมะม่วงดองด้วย เป็นอาหารมื้อเพล ไปถึงทางวัดอุทยานได้ก็เข้าที่พักสลบไสลไปเลย กว่าจะฟื้นตื่นขึ้นมาได้ ก็เล่นเอาบ่ายโขทีเดียว ต้องบอกว่าสภาพร่างกายชักจะเสื่อมโทรมไปตามสังขารที่อายุกาลผ่านวัยขึ้นทุกที สมัยบวชใหม่ ๆ เฝ้าอยู่หน้าห้องที่ทำงานของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็คือตึกริมน้ำ สถานที่ตรงนั้นเรียกว่า "หน้าตึก" เพราะว่าเป็นห้องที่ต่อออกมาโดยที่ใช้มุ้งลวดล้อมรอบ ลมเข้าได้ทุกทิศทุกทาง แม้เป็นหน้าหนาวที่หนาวจนกระทั่งน้ำมันชาตรีแข็งตัวหมดทั้งขวด..! กระผม/อาตมภาพก็ยังใส่อังสะตัวเดียวอยู่ได้สบาย ขนาดพระเดชพระคุณหลวงพ่อถามว่า "แกไม่มีเครื่องกันหนาวหรือ ?" ยังกราบเรียนท่านไปว่า "ยังไม่หนาวครับ" แต่พอหลังอายุ ๓๐ มาแล้ว ไม่ต้องให้หลวงพ่อท่านถาม แต่ว่าวิ่งไปหาเครื่องกันหนาวมาใส่เอง..! พอถึงอายุ ๔๐ ปีขึ้นมา จากที่ทำงานกันข้ามวันข้ามคืนเท่าไรก็ไม่เหนื่อย บางทีเดินจงกรมทั้งวันทั้งคืน จนกระทั่งตี ๒ ตี ๓ ถึงจะได้พักนอนสัก ๒ ชั่วโมง แล้วลุกขึ้นมาเดินจงกรมต่อ พอหลังอายุ ๔๐ มาเริ่มรู้สึกว่าเหนื่อยเหมือนกัน แต่พอหลังอายุ ๕๐ นี้ เริ่มรู้สึกแล้วว่า จากที่ขึ้นเขาลงห้วยเท่าไรก็เหมือนกับเครื่องจักรเครื่องยนต์ ตอนนี้กลับรู้สึกว่าขึ้นบันไดแล้วเมื่อย..! พอหลังอายุ ๖๐ ตอนนี้กำลังไม่พอที่จะรักษาตัวแล้ว ถึงเวลาถ้าไม่รีบพัก ไม่ไข้จับก็คอพับหมดสภาพไปเลย..! จึงได้แต่ปฏิบัติหน้าที่ของตนเองไปแต่ละงาน หรือว่าแต่ละวัน พูดง่าย ๆ ว่าทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ไปได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-08-2025 เมื่อ 02:02 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|