#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๘
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมายุ ๗๓ พรรษา ย่าง ๗๔ พรรษาแล้ว ทางคณะสงฆ์ตลอดจนกระทั่งหน่วยราชการ ก็ได้กระทำสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล เพื่ออุทิศถวายแก่พระองค์ท่าน ขอให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน และเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร แก่พสกนิกรชาวไทยสืบไปชั่วกาลนาน
ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าในขณะที่ชายแดนของเรามีปัญหาเรื่องดินแดน ปะทะกันจนกระทั่งเสียชีวิตไปฝ่ายละหลาย ๆ ศพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอยู่ร่วมกับทหารหาญ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาประเทศชาติและป้องกันประชาชน พระองค์ท่านจึงให้งดงานเฉลิมพระชนมพรรษาทั้ง ๒ วัน ก็คือวันนี้และพรุ่งนี้ ให้เหลือแค่การลงนามถวายพระพรเท่านั้น ส่วนทางวัดท่าขนุนของเรามีการบรรพชาหมู่เฉลิมพระเกียรติ ๗๔ รูป ถ้าหากว่าเดือนหน้า ก็คือวันแม่ ๑๒ สิงหาคม มีการบรรพชาหมู่ถวายพระราชกุศลอีกก็จะดีมาก แต่ว่าจะต้องใช้นักเรียนถึง ๙๐ กว่าคน ก็ฝากเป็นการบ้านให้ทางท่าน ผอ.เจิด (นายศิลป์พิสุทธิ์ พันชะวะนัด) ผู้อำนวยการโรงเรียนทองผาภูมิวิทยาว่า จะจัดโครงการเฉลิมพระเกียรติอีกรอบหรือใหม่ ? ส่วนอื่นทางวัดท่าขนุนพร้อมที่จะรับผิดชอบอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าสามเณรทั้งหลายหาสติสมาธิไม่ค่อยจะได้ แค่เขาเรียกชื่อยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร..! ไอ้โง่ ๆ แบบนี้ถ้าปล่อยไปอยู่ชายแดนก็เป็นปุ๋ยหมด..! เพราะฉะนั้น..การบ้านที่จะฝากไปก็คือ เมื่อสึกหาลาเพศไปแล้ว ให้นั่งสมาธิดูลมหายใจเข้าออกของตัวเองสักครั้งละ ๑๕ นาที อย่างน้อยก็เช้าครั้ง เย็นครั้ง เพื่อสร้างสมาธิให้มั่นคง เนื่องเพราะว่าเด็กที่สมาธิมั่นคง จะเรียนหนังสือเก่งทุกคน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-07-2025 เมื่อ 00:48 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
ตัวหลวงพ่อเอง สมัยเรียนหนังสืออยู่ สมัยนั้นถ้าใครสอบได้ไม่ถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ก็คือตกซ้ำชั้น หลวงพ่อเข้าเรียนชั้นประถมปีที่ ๑ ตอน ๗ ขวบ มีเพื่อนร่วมชั้นเรียนอายุ ๑๗ - ๑๘ ปี เกือบครึ่งห้อง..! เพราะว่าสอบตกแล้วตกอีก แต่ตัวหลวงพ่อเองสอบทีไรไม่เคยลุ้นว่าจะได้หรือเปล่า หากแต่ลุ้นว่าจะได้ที่ ๑ หรือเปล่า ?!
เพราะว่าโยมพ่อจับสวดมนต์ไหว้พระตั้งแต่ยังไม่ถึง ๒ ขวบ การสวดมนต์ไหว้พระคือการสร้างสมาธิอย่างหนึ่ง แล้วเป็นสมาธิใช้งานด้วย ดังนั้น..ในเรื่องการเรียนจึงไม่เคยหนักใจ เพราะว่าสอบได้ที่ ๑ ของโรงเรียนมาโดยตลอด ไปพลาดอยู่ครั้งเดียวตอนสอบเข้าเรียนชั้นประถมปีที่ ๕ ไม่ได้ที่ ๑ เพราะว่าข้อสอบที่ออกมานั้นไม่เคยเจอมาก่อนเลย แต่ก็เสียท่าให้ครั้งนั้นครั้งเดียวเท่านั้น ส่วนที่เหลือพอไปเล่าให้คนอื่นเขาฟังว่า "สอบได้คะแนนเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เป็นประจำ" ไม่มีใครเชื่อ..! จนกระทั่งมาเป็นเจ้าคณะตำบลชะแลเขต ๒ ก็คือตอนแก่แล้ว เขาส่งไปเรียนเพิ่มความรู้ เรียกว่าประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ หลวงพ่อทำคะแนนเต็มทุกวิชา กะว่าจะเรียนแค่นั้น แต่เพื่อนฝูงเสียดาย ก็เลยไปแอบสมัครเรียนต่อปริญญาตรีให้ โดยต่อรองกับทางมหาวิทยาลัยว่า "ให้ส่งหลักฐานทีหลัง" ซึ่งทางมหาวิทยาลัยก็อยากได้นักเรียนเก่ง จึงยอมให้สมัครโดยไม่ได้ใช้หลักฐานอะไรเลย ปรากฏว่าตอนจบปริญญาตรี ได้เกียรตินิยมอันดับ ๑ และเป็นที่ ๑ ของประเทศไทยในปีนั้น ถ้าถามว่าได้ขนาดไหน ? มีวิชาที่เรียนแล้วต้องการเกรด หรือว่าตัดเกรดให้ ๗๕ วิชา หลวงพ่อทำเกรด A ได้ ๖๘ วิชา เหลือกี่วิชาที่ไม่ได้ ? เหตุที่วิชาเหล่านั้นไม่ได้ เพราะอาจารย์บอกว่า "เธอได้เยอะแล้ว ไม่ต้องเอา A หรอก..!" อาจารย์บางท่านก็พูดให้เจ็บใจเล่น บอกว่า "จะให้คะแนนพระครูเล็กท่านเต็ม ๑๐๐ ก็ได้ แต่ผมเห็นท่านได้เยอะแล้ว ก็เลยตัดเสีย ๒ คะแนน..!" จึงได้เรียนต่อปริญญาโทและปริญญาเอกไปด้วย ปกติปริญญาตรีใช้เวลาเรียน ๔ ปี หลวงพ่อเรียน ๒ ปีครึ่ง ปริญญาโทใช้เวลาเรียน ๒ ปี หลวงพ่อเรียน ๑ ปีกับ ๑ เดือน ถ้าไม่ติดน้ำท่วม อาจจะจบก่อน ๑ ปีก็ได้..! ปริญญาเอกให้เวลาเรียน ๓ ปี ไปขอจบตั้งแต่ปีที่ ๒ แต่อาจารย์ไม่ให้ บอกว่าต้องเรียนครบ ๓ ปีถึงจะมีคุณภาพ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-07-2025 เมื่อ 00:51 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
พอขึ้นปีที่ ๓ เทอมแรก อาจารย์มาถามว่า "ถ้าผมให้จบเทอมนี้ คิดว่าทำวิทยานิพนธ์ทันหรือเปล่า ?" หลวงพ่อถามว่า "ตอนแรกอาจารย์บอกว่าต้องใช้เวลา ๓ ปี แล้วทำไมถึงจะให้จบตอนนี้ ?" ท่านอาจารย์บอกว่า "รุ่นพี่ของท่านไม่มีใครจบเลย..!"
เพราะว่าเขาเปิดในปริญญาเอกปีแรก แล้วหลวงพ่อมาเริ่มเรียนปี ๒ ก็คือเป็นรุ่นที่ ๒ ก็เลยต้องตาลีตาลานทำวิทยานิพนธ์ ทั้ง ๆ ที่เหลือเวลาแค่ ๒ เดือนเท่านั้น ปรากฏว่าสามารถที่จะเรียนจบได้ โดยการสอบวิทยานิพนธ์ใช้เวลาแค่ ๒๒ นาที ขณะที่เพื่อน ๆ โดนกันคนละ ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมง เพราะฉะนั้น..ใครที่บอกว่าเรียนเก่ง สมาธิดี หลวงพ่อท้าชนได้ทุกราย..! เพราะว่าคงไม่มีใครสอบวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกจบภายใน ๒๒ นาที ตอนเรียนปริญญาโทก็สอบจบภายใน ๑๕ นาที..! ครูบาอาจารย์บอกให้รุ่นน้องไปขอดูวิทยานิพนธ์ตัวอย่าง รุ่นน้องถือแฟล็ชไดรฟ์กันมาเป็นแถว ขอตัวอย่างวิทยานิพนธ์ หลวงพ่อบอกว่า "ไม่มีประโยชน์ พวกคุณได้ไปก็ใช้ไม่ได้หรอก เพราะว่าก่อนที่จะเป็นวิทยานิพนธ์ตัวอย่าง ผมไปหาอาจารย์ โดนแก้ยับแก้เยินมา ๑๘ ครั้งแล้ว..! พวกท่านเคยหาอาจารย์กันบ้างไหม ?" พอมาปริญญาเอก หลวงพ่อนัดอาจารย์อาทิตย์ละครั้ง มีใครกล้าสู้ครูแบบนี้บ้าง !? ท่านอาจารย์ ดร.สุรชัย พรหมพันธ์ เป็นอาจารย์จากข้างนอก ก็คือมาจากสภาผู้แทนราษฎร ตอนสอบวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก ท่านถามแค่ ๔ คำถามแล้วปิดเล่ม บอกว่า "ผมให้ผ่านโดยไม่มีข้อแม้" ประธานในการสอบถามว่า "ขอเหตุผลด้วยครับ" ท่านอาจารย์ ดร.สุรชัยบอกว่า "วิทยานิพนธ์ ๔๐๐ กว่าหน้า ผมถามตรงไหน ท่านสามารถบอกผมได้ว่าข้อมูลอยู่หน้าไหน..! ผมยอมเลยครับ" ส่วนอาจารย์ที่ปกติแล้วถามมากที่สุด ก็คือ รศ.ดร.สุรพล สุยะพรหมนั่งเงียบ ประธานกรรมการสอบถามว่า "ท่านอาจารย์สุรพล..มีอะไรถามไหมครับ ?" ท่านอาจารย์สุรพลบอกว่า "ไม่มีครับ..ผมถามมาทุกอาทิตย์แล้ว..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-07-2025 เมื่อ 00:55 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
นี่คือสิ่งที่อยากจะบอกกับสามเณรทั้งหลายว่า เป็นผลพวงจากการฝึกสมาธิล้วน ๆ หลวงพ่ออ่านหนังสือมาตั้งแต่ ป. ๑ ยันปริญญาเอก ยังไม่ลืมอะไรเลย ใครถามเนื้อหาตรงไหนสามารถอธิบายได้หมด บางทีไม่มีอะไรจะทำ ก็นั่งท่องตำราให้คนอื่นฟังเป็นวัน ๆ จนเขาสงสัยว่า "คนเราจำได้ขนาดนี้เลยหรือ ?"
สามเณรต้องเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนว่า "ผู้มีจิตตั้งมั่น (ก็คือมีสมาธิ) สามารถระลึกถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วได้นาน" คำว่านานในที่นี้ไม่ใช่แค่เรียนยันปริญญาเอก แต่ว่าระลึกชาติได้เป็นแสนเป็นล้านชาติ..! นั่นคือสิ่งที่พระสงฆ์สมัยพุทธกาลท่านทำได้ ส่วนที่หลวงพ่อทำได้เป็นแค่เศษเสี้ยวเดียวเท่านั้นเอง แต่ไม่อยากให้สามเณรทั้งหลายเสียประโยชน์ ไหน ๆ ก็มาบวชวัดท่าขนุนแล้ว ไปบอกเขาว่า "เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเล็ก" แต่ถ้าเรียนไม่เอาไหนก็เสียชื่อครูบาอาจารย์หมด..! เพราะฉะนั้น..การบ้านที่จะให้ไปก็คือ ใครคิดว่าจะเรียนต่อให้เก่ง อย่างน้อย ๆ ไปภาวนา เอาแค่ "พุทโธ..พุทโธ" ก็ได้ หรือใครมีคาถาอะไรก็ว่าไป ให้ได้ต่อเนื่องอย่างน้อย ๑๕ นาทีโดยไม่คิดเรื่องอื่นเลย สักเช้าครั้ง เย็นครั้ง แล้วลองดูว่าผลการเรียนจะดีขึ้นหรือไม่ ? ส่วนในเรื่องอื่น ๆ นั้น สามเณรอาจจะคิดว่าบวชที่วัดท่าขนุนแล้วเจอพี่เลี้ยงเข้มงวด ขอให้เข้าใจว่า สามเณรคือเชื้อสายของสมณะ เท่ากับเป็น "ว่าที่พระ" คนอื่นเขาต้องกราบไหว้บูชา ถึงเวลาจะกิน เขาต้องประเคนภัตตาหารให้ ถ้าความดีของเราไม่พอ จะเกิดโทษมากกว่าประโยชน์ จึงเป็นเรื่องที่เราต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง ก่อนบวชเราไหว้พ่อแม่ ไหว้ครูบาอาจารย์ แต่พอบวชแล้ว ครูบาอาจารย์หรือพ่อแม่ต้องไหว้เรา เราเอาความดีอะไรไปให้ท่านไหว้ ? ก็นอกจากศีลาจารวัตรที่มากกว่าเท่านั้น..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-07-2025 เมื่อ 00:59 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
![]()
ดังนั้น..ถ้าหากว่าบวชที่อื่น ฉันเช้าแล้วเอน ฉันเพลแล้วนอน ตอนบ่ายพักผ่อน ตอนค่ำจำวัด พวกนั้นกำลังหาเรื่องตกนรก..! หลวงพ่อกล้ายืนยันว่านรกสวรรค์มีจริง เพราะว่าด้วยความที่ฝึกสมาธิมาตั้งแต่เด็ก ก็เลยเห็นนรกสวรรค์มาตั้งแต่ก่อนอายุครบ ๒๐ แล้วก็เห็นด้วยว่าแต่ละขุมพระเณรลงกันไปชนิดแน่นไปหมด เพราะสักแต่ว่าบวชเท่านั้น..! ไม่ใช่หลวงพ่อทำได้แล้วเป็นผู้วิเศษ ทุกคนก็ทำได้
สภาพจิตของเราเหมือนกับน้ำ ถ้าน้ำกระเพื่อมอยู่ด้วย รัก โลภ โกรธ หลง เราจะมองอะไรไม่เห็น แต่ถ้าน้ำนิ่งจะเหมือนกระจกใส สะท้อนเงาทุกอย่างลงไปชัดเจนมาก สภาพจิตของเราที่นิ่งด้วยอำนาจสมาธิ ถึงเวลาจะเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง แต่ถ้าควบคุมไม่เป็นจะเสียมากกว่าดี อย่างเช่นว่าไปบอกใบ้ให้หวย เหล่านี้เป็นต้น ดังนั้น..สามเณรอยากจะเก่ง อยากจะดี อย่าทิ้งสมาธิเป็นอันขาด..! ท้ายสุดนี้ก็ขออนุโมทนาในบุญกุศลที่ทุกท่านอุตส่าห์อดทนบวชมา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอให้ผลบุญนี้ จงเป็นปฏิพรย้อนสนองกลับไป ให้สามเณรทั้งหลาย เมื่อสึกหาลาเพศไปแล้ว จะทำสิ่งหนึ่งประการใด ถ้าเป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมแล้วไซร้ ก็ขอให้ประสบความสำเร็จจงทุกประการ สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-07-2025 เมื่อ 01:00 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|