กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 13-02-2025, 07:36
หยาดฝน's Avatar
หยาดฝน หยาดฝน is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 3,585
ได้ให้อนุโมทนา: 319
ได้รับอนุโมทนา 75,807 ครั้ง ใน 3,733 โพสต์
หยาดฝน is on a distinguished road
Default เทศน์วันมาฆบูชา วันพุธที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๘

เทศน์วันมาฆบูชา วันพุธที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๘


https://www.youtube.com/live/vGIvbAImS4Y เทศน์เริ่มนาทีที่ ๒๗.๐๐

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

สติมโต สทา ภทฺทํ ติฯ

ณ บัดนี้ อาตมภาพรับหน้าที่วิปัสสนาในสติกถา เพื่อเป็นเครื่องโสรจสรงองคศรัทธาบารมีของบรรดาธนิสราทานบดีทั้งหลาย ที่พร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันมาฆบูชา ณ วัดท่าขนุนแห่งนี้

ญาติโยมทั้งหลาย วันมาฆบูชานั้นจัดเป็นวันสำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนาของเราวันหนึ่ง เป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงประกาศอุดมการณ์ หลักการ และวิธีการในพระพุทธศาสนา ต่อพระสงฆ์สาวกของพระองค์ท่านว่า..

เมื่อถึงเวลาออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ว่ากล่าวไปในแนวทางเดียวกันดังนี้ ซึ่งภาษาบาลีนั้นท่านได้ใช้คำว่า..
"สพฺพปาปสฺส อกรณํ" คือ การละเว้นจากความชั่วทั้งปวง
"กุสลสฺสูปสมฺปทา" คือ การยังกุศลให้ถึงพร้อม
"สจิตฺตปริโยทปนํ" ขอให้ชำระจิตของตนให้สะอาด หมดจดจากกิเลสทั้งปวง
โดยที่ยืนยันว่า "เอตํ พุทฺธานสาสนํ" ในศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่สั่งสอนกันอย่างนี้


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2025 เมื่อ 08:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 13-02-2025, 07:39
หยาดฝน's Avatar
หยาดฝน หยาดฝน is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 3,585
ได้ให้อนุโมทนา: 319
ได้รับอนุโมทนา 75,807 ครั้ง ใน 3,733 โพสต์
หยาดฝน is on a distinguished road
Default

โดยที่..หลักการที่จะให้เข้าถึงทั้งหลายเหล่านี้นั้น ท่านกล่าวว่า..
"อนูปวาโท" คือ ไม่ว่าร้ายใคร
"อนูปฆาโต" ไม่ทำร้ายใคร
"ปาติโมกฺเข จ สํวโร" ให้สำรวมในศีลตามสภาพของตน
"มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ" คือ รับประทานอาหารแต่พอสมควรที่จะยังชีวิตอยู่ได้ ไม่ใช่กินล้น กินเกิน กินตามใจตัวเอง
"ปนฺตญฺจ สยนาสนํ" ให้อยู่อาศัยในที่อันสงัด เหมาะแก่การปฏิบัติสมาธิภาวนา
"อธิจิตฺเต จ อาโยโค" ให้ยังสภาพจิตของตนให้ตั้งมั่น ไม่ฟุ้งซ่านส่งส่ายไปตามอำนาจรัก โลภ โกรธ หลง


เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าเราทำได้ เราก็จะเป็นบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็น 'พุทธสาวก' อย่างแท้จริง

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 13-02-2025 เมื่อ 07:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 13-02-2025, 07:50
หยาดฝน's Avatar
หยาดฝน หยาดฝน is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 3,585
ได้ให้อนุโมทนา: 319
ได้รับอนุโมทนา 75,807 ครั้ง ใน 3,733 โพสต์
หยาดฝน is on a distinguished road
Default

โดยที่การประกาศศาสนานั้น พระองค์ท่านตรัสว่า..
"ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา"
"ขันติ" คือ ความอดทนอดกลั้นนั่นแหละ เป็น "ตบะ" หรือว่าแนวทางการปฏิบัติอย่างยิ่งของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาของเรา

"นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทธา"
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จักตรัสถึงที่สุดแห่งทุกข์ คือ "พระนิพพาน" ไว้เสมอ

"สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต"
"สมณะ" คือ ผู้มีบาปอันลอยแล้ว ย่อมไม่ใช่ผู้ที่เบียดเบียนคนอื่นด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ


ดังนั้น เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศอุดมการณ์ไปแล้วว่า เราทั้งหลายมีที่สุดแห่งทุกข์เป็นที่ไป โดยที่ต้องอดกลั้นอดทน ไม่ว่าร้ายใคร ไม่ทำร้ายใคร ต้องเป็นผู้ที่สำรวมตนอยู่ในศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ รู้จักบริโภคอาหารแต่พอดี และพยายามอยู่ในที่สงัด สร้างสมาธิจิตให้เกิด

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะเกิดไม่ได้เลย..ถ้าเราขาดสติ
ดังที่ยกบาลีขึ้นเป็นนิกเขปบทเมื่อครู่นี้ว่า "สติมโต สทา ภทฺทํ" ผู้มีสติย่อมเข้าถึงความเจริญได้ทุกเมื่อ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 13-02-2025 เมื่อ 07:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 13-02-2025, 08:18
หยาดฝน's Avatar
หยาดฝน หยาดฝน is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 3,585
ได้ให้อนุโมทนา: 319
ได้รับอนุโมทนา 75,807 ครั้ง ใน 3,733 โพสต์
หยาดฝน is on a distinguished road
Default

การที่เราท่านทั้งหลายจะมีสตินั้น..เราจะต้องมีสมาธิก่อน ถ้าสมาธิทรงตัว สติก็จะตั้งมั่น
แล้วสมาธิของเรามาจากไหน ? สมาธิของเรามาจากศีลเป็นเครื่องหนุนเสริม


ในขณะที่เราตั้งใจรักษาศีล ๕ หรือว่าศีล ๘ สำหรับอุบาสกอุบาสิกาก็ดี ศีล ๑๐ สำหรับสามเณรก็ดี หรือว่าศีล ๒๒๗ สำหรับพระก็ดี ความที่เราต้องระมัดระวังไม่ให้ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่เผลอยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล เท่ากับว่าเรากำลังสร้างสมาธิให้เกิด เพราะสภาพจิตที่จดจ่อระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา สมาธิย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย

ก็แปลว่า..เราท่านทั้งหลาย ถ้าจะปฏิบัติตามโอวาทปาฏิโมกข์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ต้องเริ่มจากศีลก่อน ถึงจะเป็น "สพฺพปาปสฺส อกรณํ" ได้ ก็คือ การละเว้นจากความชั่วทั้งปวง คือ..
การคิดชั่ว เราก็พยายามไม่คิด
การพูดชั่ว เป็นการละเมิดศีล เราก็พยายามไม่พูด
การทำชั่ว ที่เป็นการละเมิดศีล เราก็พยายามไม่ทำ

ถ้าหากว่าเราทำอย่างนี้ได้จึงได้ชื่อว่า 'ละเว้นจากความชั่วทั้งปวง' แต่เราจะละเว้นไม่ได้เลยถ้าหากว่า 'ขาดสติ' เพราะว่าบุคคลที่ไม่รู้ตัว..บางทีละเมิดศีลไปแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าตนเองทำผิด..! การที่เราจะหักห้ามใจตนเองไม่ให้ละเมิดศีลทั้งที่รู้ตัว ก็แปลว่า เราต้องมีกำลังสมาธิด้วย ถ้ากำลังสมาธิไม่เพียงพอก็เหมือนกับรถไม่มีเบรค ไม่สามารถที่จะหยุดรถให้ไหลลงที่ต่ำได้

ดังนั้น..เราท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นศีลก็ดี เป็นสมาธิก็ตาม จำเป็นอย่างยิ่งที่พุทธศาสนิกชนของเราจักต้องมีเอาไว้ ไม่เช่นนั้นแล้ว เราก็จะไหลตามกระแสโลกไปอย่างเดียว โดยไม่อาจจะที่ระงับยับยั้งตนเองเอาไว้ได้ เพราะว่าขาดสติ ขาดสมาธิ ดีไม่ดีก็ขาดปัญญาด้วย

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2025 เมื่อ 09:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 13-02-2025, 08:55
หยาดฝน's Avatar
หยาดฝน หยาดฝน is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 3,585
ได้ให้อนุโมทนา: 319
ได้รับอนุโมทนา 75,807 ครั้ง ใน 3,733 โพสต์
หยาดฝน is on a distinguished road
Default

เมื่อถึงเวลา..เว้นจากความชั่วทั้งปวงแล้ว เราจะต้องทำความดีให้ถึงพร้อมด้วย ก็คือ ทำดีด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้เป็น กายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓ รวมแล้ว ๑๐ ประการด้วยกัน ถ้าหากว่าสามารถละเว้นได้ทั้งหมด ก็ถือว่า 'เราทำความดีให้ถึงพร้อม'

ละเว้นจากกายกรรม ๓ คืออะไร ? ก็คือ การไม่ฆ่าสัตว์, ไม่ลักทรัพย์, ไม่ประพฤติผิดในกาม

วจีกรรม ๔ คืออะไร ? ก็คือ ไม่โกหก ๑, ไม่พูดคำหยาบ ๑, ไม่พูดส่อเสียดให้คนแตกร้าวกัน ๑ และไม่พูดวาจาเหลวไหลไร้ประโยชน์ ๑

มโนกรรม ๓ คืออะไร ? คือ..
ไม่โลภ อยากได้ของคนอื่นจนเกินพอดี อยากได้อะไรให้หามาโดยถูกต้องตามศีลตามธรรม
ไม่อาฆาตพยาบาทผู้อื่น จนเป็นการเอาไฟมาเผาใจตนเอง โกรธได้..แต่ว่าโกรธแล้วให้ลืม อย่าไปผูกโกรธเอาไว้
และท้ายที่สุด..มีสภาพจิตที่ "รู้ดี รู้ชั่ว" เรียกว่า มี "สัมมาทิฏฐิ" ก็คือ สิ่งไหนที่พระพุทธเจ้าสอนมานั่นเป็นสิ่งดี เราพร้อมที่จะปฏิบัติตาม

ถ้าท่านทั้งหลายสามารถที่จะรักษาความดีอย่างนี้เอาไว้ได้ ถึงจะได้ชื่อว่า ท่านยังกุศลให้ถึงพร้อม แล้วท้ายที่สุดก็เหลือการชำระจิตของตนให้สะอาดปราศจากกิเลส ซึ่งโอกาสที่จะเป็นไปได้นั้นน้อยมาก แต่ไม่ใช่ไม่มีเลย

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 13-02-2025 เมื่อ 09:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 13-02-2025, 09:14
หยาดฝน's Avatar
หยาดฝน หยาดฝน is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 3,585
ได้ให้อนุโมทนา: 319
ได้รับอนุโมทนา 75,807 ครั้ง ใน 3,733 โพสต์
หยาดฝน is on a distinguished road
Default

เนื่องเพราะว่า..การชำระจิตของเราก็มีทั้งเบื้องต้น เบื้องกลาง และเบื้องปลาย..

เบื้องต้นของเรานั้นชำระด้วยศีล หักห้ามตัวเอง ไม่ให้กิเลสไหลไปกระทบผู้อื่น โกรธ..แต่ว่าไม่ทำร้ายใคร โลภ ไม่ลักขโมยของใคร ถ้าหากว่าโกรธก็ไม่ด่าว่าใคร..ถ้าอยู่ในลักษณะนี้ของเรา เราก็อยู่ในลักษณะของบุคคลที่เพียรพยายามหักห้ามตนเอง ซึ่งการหักห้ามนั้นจะได้ผลก็ต่อเมื่อสมาธิของเราทรงตัว

การที่จะมีสมาธิทรงตัวได้..ศีลทุกข้อของเรานอกจากบริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว ยังต้องหาเวลาในการภาวนาอย่างเป็นทางการเอาไว้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นเช้า ๆ เย็น ๆ สักครั้งละ ๕ นาที ๑๐ นาที หรือถ้าใครทำได้สัก ๓๐ นาทีหรือ ๑ ชั่วโมงก็ยิ่งดี..!

โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจตกสะเก็ด หรือว่าสภาวะสงครามต่าง ๆ เกิดขึ้น ภัยธรรมชาติเกิดขึ้น เราจะภาวนาก็ขอให้เกิดผลพิเศษด้วย..ก็ภาวนาพระคาถาเงินล้านไปเลย ถ้าอย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านบอกเมื่อล่าสุดมา..ก็พยายามว่าให้ได้สักวันละ ๑๐๘ จบ ก็คือ ใช้ภาวนาเป็นกรรมฐาน ไม่ใช่สักแต่ท่องให้ได้ครบทั้ง ๑๐๘ จบ

ถ้าทำอยู่ในลักษณะอย่างนี้ นอกจากเราทรงสมาธิแล้ว ยังมีผลพิเศษให้เกิดความคล่องตัว สามารถผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากไปได้


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 13-02-2025 เมื่อ 22:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 13-02-2025, 09:18
หยาดฝน's Avatar
หยาดฝน หยาดฝน is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 3,585
ได้ให้อนุโมทนา: 319
ได้รับอนุโมทนา 75,807 ครั้ง ใน 3,733 โพสต์
หยาดฝน is on a distinguished road
Default

ในเบื้องต้นของเรา..เราใช้ศีลเป็นเครื่องป้องกันตนเอง ไม่ให้ตกไปอยู่ในที่ชั่ว เบื้องกลาง..ใช้สมาธิในการยับยั้งชั่งใจตน ไม่ให้คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว แล้วท้ายที่สุด..ยังต้องใช้ปัญญาในการพิจารณาให้เห็นว่า การเกิดมาแต่ละชาติของเรานั้นมีแต่ความทุกข์..

ในปัจจุบันของเรานี้ สภาวะสงครามทำให้เดือดร้อนไปทั้งโลก ดีไม่ดีผลกระทบก็จะมาถึงเรา อยู่กับบ้านเฉย ๆ ก็มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาหลอกเราจนหมดเนื้อหมดตัว ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนแบบนี้ เราไม่พึงปรารถนาอีก เราก็ตั้งกำลังใจไว้ว่า ถ้าตายจากชาตินี้เมื่อไร เราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว

ถ้าท่านทั้งหลายสามารถวางกำลังใจแบบนี้ ประพฤติปฏิบัติแบบนี้ได้ทุกวัน ถึงจะได้ชื่อว่าท่านทั้งหลายละเว้นจากอกุศลทั้งปวง กระทำกุศลให้ถึงพร้อม และพยายามชำระจิตของตนให้ผ่องใสจากกิเลส จึงจะสมกับพุทโธวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ตรัสไว้เป็นโอวาทปาฏิโมกข์ให้แก่พวกเรา และในส่วนสำคัญก็คือ ต้องมีสติ ต้องมีสมาธิ ต้องมีปัญญา เราถึงจะสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในโลกที่วุ่นวายเร่าร้อนนี้ไปได้อย่างไม่ทุกข์ยากมากนัก

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 13-02-2025 เมื่อ 09:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 13-02-2025, 09:26
หยาดฝน's Avatar
หยาดฝน หยาดฝน is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 3,585
ได้ให้อนุโมทนา: 319
ได้รับอนุโมทนา 75,807 ครั้ง ใน 3,733 โพสต์
หยาดฝน is on a distinguished road
Default

ท้ายสุดแห่งพระธรรมเทศนา อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ เป็นประธาน มีบารมีของอดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนทั้งหลาย มีหลวงปู่สาย อคฺควํโส เป็นที่สุด

ขอได้โปรดดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายอยู่รอดปลอดภัยในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ แม้ว่าประสงค์จำนงหมายสิ่งหนึ่งประการใด ที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมแล้ว ขอให้ความปรารถนาของท่านทั้งหลายจงสำเร็จสัมฤทธิ์ผล สมดังมโนรสทุกประการ

รับหน้าที่วิสัชนามาในสติกถา เนื่องในวันมาฆบูชาก็พอสมควรแก่เวลา จึงขอสมมติยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์วันมาฆบูชา ณ วัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 13-02-2025 เมื่อ 09:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 11:14



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว