#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๗
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพเดินทางไปยังวัดหนองโพ ถนนเพชรเกษม หมู่ที่ ๙ ตำบลหนองโพ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เพื่อไปบรรยายธรรมให้กับบรรดาเจ้าพนักงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งได้รับการบรรจุใหม่ และต้องเข้ารับการอบรมก่อนที่จะแยกย้ายไปรับตำแหน่งกันทั่วประเทศ
ด้วยความที่ไปถึงช่วงเช้าเขาทำพิธีเปิดเสร็จพอดี ยังได้พบกับท่านชุติญา แก้วมณี รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ คนคุ้นเคยกันเข้ามาทักทาย ถามว่า "หลวงพ่อจำหนูได้ไหมคะ ?" ก็เลยต้องบอกว่า "รอง ผอ. ชุติญา" ทุกคนถึงจะเชื่อว่ากระผม/อาตมภาพไม่ได้จำได้แค่หน้า หากแต่จำชื่อได้ด้วย เรื่องพวกนี้บางทีท่านทั้งหลายก็อาจจะสงสัย โดยเฉพาะคนใกล้ชิด เนื่องเพราะว่าเห็นกระผม/อาตมภาพทักทายคนโน้นคนนี้ แล้วบางคนก็บอกว่า "ไม่ได้เจอหน้ากันมา ๓๐ กว่าปีแล้ว" กระผม/อาตมภาพจึงได้บอกชื่อบอกนามสกุลให้ไป แล้วสร้างความสงสัยให้กับผู้คนว่า "จำได้อย่างไรขนาดนั้น ?" กระผม/อาตมภาพก็บอกไม่ถูกว่าจำได้อย่างไร หากแต่ว่าพอเห็นหน้าก็จะมีข้อมูลให้ระลึกถึงทันที เหมือนกับว่าข้อมูลทั้งหลายเหล่านี้ได้รับการจัดเก็บอยู่ในสมอง เมื่อถึงเวลาต้องการรู้เรื่องใด เรื่องนั้นก็จะถูกส่งขึ้นมาให้เป็นการเฉพาะในทันที หลายท่านที่เป็นลูกศิษย์ เมื่อได้ยินกระผม/อาตมภาพบรรยายธรรม ตลอดจนกระทั่งสอนหนังสือในสารพัดเรื่อง ยังถามว่า "หลวงพ่อจำได้อย่างไรมากมายขนาดนั้น ?" กระผม/อาตมภาพตอบไปว่าไม่ได้จำ เนื่องเพราะว่าตอนอ่านจำได้แล้ว หลังจากที่จำได้แล้ว ก็ไม่ทราบว่าสมองจัดระบบอย่างไรในการเก็บข้อมูลเหล่านั้น รู้แต่ว่าถ้าต้องการเรื่องเหล่านั้นเมื่อไร ข้อมูลส่วนนั้นก็จะไหลมาเทมาเอง เมื่อไปถึงในช่วงเช้า ท่านอาจารย์พระมหาสมคิด อตฺถสิทฺโธ ป.ธ. ๗ รองเจ้าคณะอำเภอโพธาราม เจ้าอาวาสวัดหนองโพ เพื่อนร่วมรุ่นพระอุปัชฌาย์ ก็เลยฉวยโอกาสให้กระผม/อาตมภาพนำบรรดาผู้เข้ารับการอบรมปฏิบัติธรรมในช่วงเช้า ซึ่งกระผม/อาตมภาพนั้นอยากจะบอกว่า ถ้าทำอย่างนี้แล้ว วันนี้ท่านจะได้เป็นหุ่นยนต์ไปทั้งวัน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-09-2024 เมื่อ 03:31 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
คำว่า "ได้เป็นหุ่นยนต์ไปทั้งวัน" ก็คือ เมื่อบุคคลปฏิบัติธรรมจนจิตสงบแล้ว ก็ไม่อยากที่จะหลุดออกจากความสงบอันนั้น เนื่องเพราะว่าดื่มด่ำอยู่กับความสุขความเยือกเย็นใจในธรรมที่ตนเองปฏิบัติได้ ไม่อยากจะที่พูดหรือว่าทำอะไรให้จิตของตนเองหลุดจากสภาพนั้น ถ้าหากว่ามีความจำเป็นที่จะต้องทำ ก็ต้องขยับเขยื้อนไปทำแบบช้า ๆ เนื่องเพราะว่ายังขาดความชำนาญอยู่ จึงดูเหมือนกับหุ่นยนต์ก็ไม่ปาน..!
แต่ในเมื่อตารางเขากำหนดเอาไว้ดังนี้ กระผม/อาตมภาพก็ต้องคล้อยตามตารางเขาไป นำปฏิบัติธรรมไปจนถึง ๑๑ โมงกว่า แล้วก็พากันไปฉันเพล อิ่มแล้วความจริงจะเป็นการปฏิบัติธรรมต่อในช่วงบ่ายเป็นเวลา ๑ ชั่วโมงครึ่ง กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกว่า ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกำหนดตารางมา โดยที่ขาดความเข้าใจธรรมชาติของผู้ปฏิบัติธรรมยังไม่พอ ยังกำหนดเวลามามากเกินไปอีกด้วย สภาพจิตของบุคคลในปัจจุบันนี้ ถ้าสามารถรองรับการปฏิบัติธรรมได้ต่อเนื่องถึง ๑ ชั่วโมงก็ถือว่าสุดยอดมากแล้ว และการปฏิบัติธรรมในช่วงบ่ายนั้น หลังจากรับประทานอาหารกลางวันมา ก็มักจะพากัน "เมาอาหาร" หลับเสียเปล่า ๆ กระผม/อาตมภาพจึงขอปรับตาราง แลกเวลากับท่านอาจารย์พระมหาสมคิด ก็คือให้กระผม/อาตมภาพบรรยายก่อน หลังจากนั้นท่านอาจารย์พระมหาสมคิดค่อยนำปฏิบัติธรรม ทุกคนจะได้นอนหลับกันอย่างสบายในคืนนี้ เพราะว่าเมื่อปฏิบัติธรรมเสร็จก็ปล่อยเลิกพอดี เนื่องเพราะว่าหมดตารางในช่วงบ่ายแล้ว เมื่อตกลงกันแล้ว กระผม/อาตมภาพจึงขึ้นบรรยายก่อน โดยที่บอกกล่าวกับท่านทั้งหลายเหล่านั้นว่าความบังเอิญไม่มีในโลก คนเราจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังธรรมแล้วน้อมนำมาปฏิบัตินั้นเป็นของยากมาก ๆ ท่านทั้งหลายต้องสร้างบุญสร้างบารมีมาพอเพียง จึงจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์แบบนี้ และโดยเฉพาะท่านทั้งหลายที่ต้องมาเพื่อสนองงานพระพุทธศาสนา เมื่อสอบถามว่ามีผู้ใดที่ถือศาสนาอื่นบ้าง ปรากฏว่ามีคริสต์คาทอลิกมา ๑ ท่าน จึงได้บอกว่าในเรื่องของศาสนากับการทำงานนั้นเป็นคนละส่วนกัน เรามีความเคารพในพระศาสนาอย่างไร เราก็ปฏิบัติไปตามความเชื่อของเรา แต่ว่าหน้าที่การงานนั้น เราก็ปฏิบัติไปตามความรับผิดชอบของเรา ถ้าเป็นอย่างนี้ ถึงจะเรียกว่าเป็นบุคคลที่สามารถนำเอาหลักธรรมในศาสนามาใช้งานได้อย่างแท้จริง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-09-2024 เมื่อ 03:36 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
และโดยเฉพาะหลายท่านที่เกิดมา บางทีก็ยังไม่เข้าใจเสียด้วยซ้ำไปว่าพระพุทธศาสนาคืออะไร จึงต้องท้าวความตั้งแต่พระรัตนตรัย ซึ่งเกิดขึ้นแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสในอริยมรรคมีองค์ ๘ ที่สรุปลงมาเป็นศีล สมาธิ ปัญญา
ทั้ง ๆ อริยมรรคมีองค์ ๘ นั้น เริ่มจากปัญญา ศีล และสมาธิ แต่ว่าโบราณาจารย์ท่านกล่าวให้ฟังง่าย ๆ ตามลำดับความยากง่ายของการปฏิบัติ จึงกล่าวเป็นศีล สมาธิ และปัญญา เนื่องเพราะว่าศีลนั้นควบคุมกาย วาจาให้เรียบร้อย สมาธินั้นควบคุมทั้งกาย วาจา และความคิด คือใจของเรา ส่วนปัญญานั้น เมื่อควบคุมทุกอย่างอยู่ในความสงบแล้ว จะก่อให้เกิดความรู้แจ้ง ซึ่งยากลำบากขึ้นไปเป็นขั้น ๆ เขาจึงได้เรียกว่าศีล สมาธิ ปัญญา ส่วนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น ทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔ ก็คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์นั้นก็คือสิ่งยากลำบากที่เราต้องทนด้วยกาย ด้วยใจ สมุทัยคือสาเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้น นิโรธคือความทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้นได้ดับลง มรรคก็คือหนทางที่จะดับทุกข์ ถ้าท่านทั้งหลายฟังดูแล้วอาจจะเห็นว่า "ทำไมจัดเรียงลำดับได้สับสนมาก ?" ทำไมถึงไม่เป็นสมุทัย ก็คือเหตุทำให้ทุกข์เกิด แล้วก็ดำเนินไปตามมรรคเพื่อดับทุกข์ เมื่อดับทุกข์ได้ นิโรธก็จะบังเกิดขึ้น ? เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าการจัดเรียงลำดับของอริยสัจ ๔ นั้น จัดเรียงตามปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในใจของทุกคน ก็คือเมื่อความทุกข์เกิดขึ้น ทุกคนก็รู้แต่ทุกข์อย่างเดียว ดิ้นรนหาทางออกทุกวิถีทาง จึงได้พบว่าทุกข์เกิดจากสาเหตุอะไร ครั้นเมื่อเปะปะไป สามารถทำให้ความทุกข์นั้นสงบลงได้ ก็รู้สึกว่านี่คือนิโรธ แล้วนิโรธมาได้อย่างไร ? ถึงจะไปมองหา แล้วก็พบว่ามาจากมรรคนั่นเอง จึงได้เรียงว่าทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ตามอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับใจของเรา ถ้าเราไม่มีความชำนาญตรงนี้ ทั้ง ๆ ที่เป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เมื่อคนมาสอบถาม เราไม่สามารถที่จะตอบได้ก็ต้องบอกว่า "เสียภูมิ" ซึ่งคนในปัจจุบันนี้ใช้คำว่า "เสียฟอร์ม" คือหมดสภาพ หมดรูปร่างนั่นเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-09-2024 เมื่อ 03:38 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
ครั้นบรรยายเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ขอตัวเดินทางไปยังวัดมหาธาตุ วรวิหาร จังหวัดเพชรบุรี เพื่อขออนุญาตค้างที่นี่ เนื่องจากว่าเจ้าอาวาสก็คือเจ้าคุณพระวชิรวาที, ดร. (กล้า วีรรตโน) อดีตพระครูวาทีวรวัฒน์, ดร. เพื่อนร่วมรุ่นปริญญาเอก เพื่อนร่วมรุ่นพระอุปัชฌาย์ และเลขานุการรุ่นของกระผม/อาตมภาพนั่นเอง เหตุที่ต้องมาค้างที่นี่เพราะว่าพรุ่งนี้ต้องวิ่งไปทำการตรวจยกหมู่บ้านศีล ๕ ต้นแบบที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เท่ากับว่าเราเดินทางมาครึ่งทางแล้ว พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องวิ่งตาลีตาเหลือกมากมายนัก
แต่ว่าท่านเจ้าคุณใหม่ของเราก็มีงานทางด้านนอก โดยเฉพาะเป็นครูบาอาจารย์ของวิทยาลัยสงฆ์เพชรบุรี แล้วยังต้องรับแสดงพระธรรมเทศนา หรือว่าบรรยายธรรมตามสถานที่ต่าง ๆ ถ้าเราดูตามสมณศักดิ์เดิมของท่านก็คือพระครูวาทีวรวัฒน์ คือผู้ที่ทำความเจริญอย่างประเสริฐด้วยคำพูด ก็แปลว่าเป็นพระนักเทศน์นั่นเอง แต่ว่าถึงท่านจะไม่อยู่ ก็ยังสั่งให้บริษัทบริวารช่วยจัดสถานที่ในศาลานางสาวอัมพร บุญประคอง ให้เป็นที่พัก ซึ่งอาคารหลังใหญ่โตมหึมานั้น กระผม/อาตมภาพพักอยู่ในส่วนที่หลวงปู่แคล้ว - พระเทพสุวรรณโมลี (แคล้ว อุตฺตโม ป.ธ. ๗) อดีตเจ้าอาวาสท่านเคยพักมาก่อน ส่วนน้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) แยกย้ายไปพักอีกที่หนึ่งซึ่งเขานำไป ไม่ทราบเหมือนกันว่าใกล้ไกลขนาดไหน ? กระผม/อาตมภาพรีบทำการตรวจแก้บันทึกการประชุมคณะกรรมการสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๗ กำลังแก้ไขจวนจะเสร็จเรียบร้อยอยู่แล้ว ก็รู้สึกว่าเจ้าคุณน้องท่านมาอยู่หน้าประตูนี่เอง เมื่อเปิดโทรศัพท์ดู เห็นว่ากำลังส่งรูปเข้ามาว่า "มาถึงแล้ว" แต่ไม่กล้าเคาะประตู กระผม/อาตมภาพจึงเปิดประตูออกไปรับการกราบจากท่าน ซึ่งท่านเองก็เพิ่งจะเหนื่อยกลับมา คุยกันไม่นานก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน กระผม/อาตมภาพเองมาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนวันนี้ เสร็จแล้วก็จะต้องไปทำหนังสือเกี่ยวกับการประชุมคณะกรรมการสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๗ ต่อไป สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-09-2024 เมื่อ 03:41 |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|