กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 07-07-2024, 19:59
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,946
ได้ให้อนุโมทนา: 225,209
ได้รับอนุโมทนา 800,460 ครั้ง ใน 39,365 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๗


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 07-07-2024, 23:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เป็นวันสำคัญยิ่งอีกวันหนึ่งของกระผม/อาตมภาพ เพราะว่าต้องไปร่วมพิธีเสกน้ำศักดิ์สิทธิ์ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ ๗๒ พรรษา

เมื่อไปถึงปรากฏว่าเกือบจะเป็นพระเกจิอาจารย์รูปสุดท้ายในจำนวน ๙ รูปที่ได้รับนิมนต์มา เนื่องเพราะว่าท่านอื่น ๆ มากันหมดแล้ว ผู้ที่มาปิดท้ายก็คือ หลวงพ่อเสริฐ (พระครูสิทธิกิจจานุวัตร) รองเจ้าคณะอำเภอศรีสวัสดิ์ เจ้าอาวาสวัดทุ่งลาดหญ้า

เจ้าหน้าที่ได้มาตรวจสอบรายชื่อ ตลอดจนกระทั่งการจัดชุดเข้าปลุกเสก โดยที่เริ่มจากพระเถระทรงสมณศักดิ์เจริญพระพุทธมนต์ก่อน แล้วหลังจากนั้นจึงแบ่งปลุกเสกออกเป็น ๒ ชุด โดยมีหลวงปู่แอ่ม (พระครูนิโครธโยคาภิรักษ์) ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ เจ้าอาวาสวัดน้ำตก ลูกศิษย์หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี เป็นประธานยืนหลักอยู่ทั้ง ๒ ชุด พูดง่าย ๆ ก็คือหลวงปู่แอ่มห้ามลุกไปไหน..! แต่พวกกระผม/อาตมภาพนั้น ชุดที่ ๑ เสร็จแล้วสามารถที่จะลุกออกไปได้ แล้วให้ชุดที่ ๒ เข้ามาทำหน้าที่ต่อไป

การแบ่งชุดนั้นปรากฏว่าชุดที่ ๑ นอกจากหลวงปู่แอ่มที่เป็นหลักแล้ว ก็มีหลวงพ่อ ดร.สมบัติ (พระครูวิบูลกาญจโนภาส, ดร.) เจ้าคณะอำเภอท่ามะกา รองเจ้าอาวาสวัดพระแท่นดงรังวรวิหาร

หลวงพ่อเสริฐ (พระครูสิทธิกิจจานุวัตร) รองเจ้าคณะอำเภอศรีสวัสดิ์ เจ้าอาวาสวัดทุ่งลาดหญ้า

หลวงพ่อเล็ก (พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.) รองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ (๒) เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน

หลวงพ่อเต้ (พระครูประทีปกาญจนธรรม) เจ้าคณะจังหวัดทวาย ประเทศพม่า เจ้าอาวาสวัดพุน้ำร้อน ต้องบอกว่าท่านเป็นพระสังฆาธิการระดับอินเตอร์เนชั่นแนล เพราะว่าวัดอยู่ในประเทศไทย เป็นเจ้าอาวาสวัดไทย แต่ไปเป็นเจ้าคณะจังหวัดให้กับพม่า..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2024 เมื่อ 02:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 07-07-2024, 23:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนชุดที่ ๒ นั้นประกอบไปด้วยหลวงปู่ตั้ง (พระครูกาญจนประภัสสร) ที่ปรึกษาเจ้าคณะตำบลศรีมงคล เจ้าอาวาสวัดถ้ำมะเดื่อ

หลวงพ่อสนองชาติ (พระครูสุภัทรกาญจนกิจ) ที่ปรึกษาเจ้าคณะตำบลลาดหญ้า เจ้าอาวาสวัดเย็นสนิทธรรมาราม

หลวงพ่อพระมหาสุชาติ (พระมหาสุชาติ สิริปญฺโญ ป.ธ.๙) เจ้าคณะอำเภอสังขละบุรี

และหลวงพ่อต๋อง (พระครูสุทธิสารโสภิต) รองเจ้าคณะอำเภอไทรโยค (๑) เจ้าอาวาสวัดพุตะเคียน

เมื่อเจ้าหน้าที่แจ้งการจัดชุดให้เรียบร้อย และรอจนกระทั่งพระเถระทรงสมณศักดิ์เจริญพระพุทธมนต์เรียบร้อยแล้ว ก็นำชุดแรก ๕ รูป ซึ่งประกอบไปด้วยหลวงปู่แอ่ม หลวงพ่อดร.สมบัติ หลวงพ่อเสริฐ กระผม/อาตมภาพและหลวงพ่อเต้ เข้าสู่มณฑลพิธีพระอุโบสถวัดไชยชุมพลชนะสงคราม (พระอารามหลวง) ซึ่งมีร้อยโททศพล ไชยโกมินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เป็นประธาน โดยมีพระมหานาคจากวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เป็นผู้สวดมหานาคทั้ง ๒ รอบ


กระผม/อาตมภาพเมื่อนั่งลงก็กราบขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบ ๆ กันมา มีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ตลอดจนกระทั่งครูบาอาจารย์สายกาญจนบุรีทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นที่สุด

ขอท่านทั้งหลายได้โปรดเมตตาอนุเคราะห์สงเคราะห์ ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรง ปราศจากสรรพโรคาพาธ ปลอดจากอุปัทวันตรายใด ๆ ทั้งปวง สามารถปฏิบัติพระราชภารกิจต่าง ๆ เพื่อความอยู่สุขของพสกนิกรชาวไทยไปชั่วกาลนาน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2024 เมื่อ 02:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 07-07-2024, 23:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อตั้งใจอธิษฐานจิตเสร็จเรียบร้อยก็ต้องตกใจ เพราะว่ากระแสที่คลุมลงมานั้นหนาแน่นและแรงมาก..! เป็นกระแสแก้วใส มีลวดลายทองปนอยู่ จนกระทั่งทำให้นึกถึงภาษาโบราณที่กล่าวว่า "แก้วแกมกาญจน์" นั่นเอง เพียงแต่ว่าไม่สามารถจะอธิบายได้ถูกว่าสวยงามขนาดไหน

แล้วกระผม/อาตมภาพก็กลายเป็นที่ประทับของหลวงปู่สมเด็จองค์ปฐม ซึ่งท่านแผ่เมตตาคลุมลงมาในบริเวณพิธี เสียดายที่ว่าไม่มีใครถ่ายรูปช่วงนี้เอาไว้เลย นอกจากโทรทัศน์ที่ตั้งถ่ายทำนิ่ง ๆ เฉย ๆ อยู่ ไม่เช่นนั้น
กระผม/อาตมภาพก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า จะมีอะไรที่เป็นพิเศษให้เห็นหรือไม่ ?

แต่ว่าตั้งแต่ก่อนที่จะเข้าพิธีแล้ว ทางลูกศิษย์ก็ได้แจ้งมาว่าพระอาทิตย์ทรงกลด ซึ่งหลวงปู่ฤๅษีฯ วัดท่าซุงของทุกท่าน หรือว่าหลวงพ่อฤๅษีฯ ของกระผม/อาตมภาพนั้น ท่านกล่าวไว้ว่า ถ้าเป็นเรื่องของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การจัดงานสำคัญใด ๆ ก็มักจะมีสัญลักษณ์ คือพระอาทิตย์ทรงกลดเป็นปกติ

กระผม/อาตมภาพตั้งใจที่จะฟังพระมหานาคสวด แต่เนื่องจากว่าเข้าสมาธิลึกเกินไปจึงได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง เริ่มจากการนอบน้อมต่อพระรัตนตรัย ก็คือนะโมฯ ๓ จบ แล้วตามด้วย พุทธัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง ฯลฯ ทุติยัมปิฯ ตะติยัมปิฯ ต่อด้วยศีล ๑๐ ปัพพชิตอภิณหปัจจเวกขณะ ๑๐
อาการ ๓๒ จันทิมะปาฐะ สุริยะปาฐะ ธชัคคสูตร ตลอดจนกระทั่งสามภาณ ซึ่งกล่าวถึงอาการป่วยไข้ของพระมหากัสสปะ พระมหาโมคคัลลานะและพระมหาจุนทะ

ตรงจุดนี้ต้องสังเกตว่าทั้ง ๓ รูปที่ป่วยไข้แล้วได้ฟังโพชฌงค์ ๗ จนกระทั่งหายดีนั้น ขึ้นต้นด้วยคำว่า "มหา" ทั้งหมด เพียงแต่เราจะไม่เคยชินกับพระจุนทะเถระว่ามีคำว่า "มหา" นำหน้า ก็แปลว่าพระมหาจุนทะเถระของเรานั้นต้องมีอาวุโสมากกว่า แล้วมีพระเถระนามว่าจุนทะบวชเข้ามาอีก เมื่อชื่อซ้ำกันจึงต้องแยกกันว่ารูปไหนเป็นพระมหาจุนทะ รูปไหนเป็นพระจุลจุนทะ เป็นต้น

จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ก็คือ คุณโกวิท เพชรงาม หัวหน้ากลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน มาสะกิดบอกว่าเสร็จพิธีแล้ว ให้เปลี่ยนเป็นชุดที่ ๒ จึงได้ส่งกล้องให้ท่านช่วยถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก ก่อนที่จะเดินออกมาทางด้านนอก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2024 เมื่อ 02:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 07-07-2024, 23:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

บอกกล่าวกับบรรดาพระเถรานุเถระที่อยู่ด้านนอกว่า กระผม/อาตมภาพจะต้องขอตัวออกมาก่อน เพราะว่าถ้าช้ารถจะติดสาหัส เนื่องจากบรรดาส่วนราชการต่าง ๆ ในจังหวัดกาญจนบุรีนั้น ต่ำสุดก็คือหัวหน้าส่วนราชการที่ต้องมาทั้งหมด ก็แปลว่ามาคนหนึ่งก็รถยนต์คันหนึ่ง แล้วหลายต่อหลายท่านก็มีรถนำมาอีกต่างหาก ทำให้รถแน่นไปหมดทั้งวัดไชยชุมพลชนะสงคราม (พระอารามหลวง)

ส่วนหนึ่งที่กระผม/อาตมภาพเคยสงสัยก็คือว่า การที่หลวงปู่พระมหากัสสปเถระก็ดี พระมหาโมคคัลลานะเถระก็ดี พระมหาจุนทะเถระก็ดี ฟังโพชฌังคปริตรแล้ว ทำไมถึงได้หายจากอาการป่วย ? นั่นก็เพราะว่าท่านทั้ง ๓ ได้เข้าถึงอาการสองอย่างพร้อมกัน อย่างแรกก็คือเมื่อตั้งใจฟัง จิตทรงสมาธิ เมื่อจิตเป็นฌาน สภาพจิตกับกายก็แยกออกเป็นคนละส่วน ไม่ได้เกี่ยวเนื่องถึงกัน อาการป่วยมากก็เหมือนกับป่วยน้อย อาการป่วยน้อยก็เหมือนกับหายไปเลย

อีกส่วนหนึ่งก็คือการพิจารณาวิปัสสนาญาณ จนกระทั่งเห็นชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นเพียงเปลือกที่เราอาศัยอยู่เท่านั้น ดังนั้น..สภาพของอาการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นกินที่ร่างกาย ไม่ได้กินที่จิตใจ

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สภาพจิตกับกายที่แยกออกจากกันชัดเจน ก็ทำให้เห็นว่าสภาพของอาการเจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนกับไม้กาฝากที่อาศัยเกาะเปลือกไม้เอาไว้ เพื่ออาศัยกินน้ำเลี้ยงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนร่างกายของเราคือต้นไม้หลัก ไม่ว่าจะเป็นกระพี้ จะเป็นแก่นนั้น ไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรเลย เมื่อสามารถแยกจิตแยกกายออกได้อย่างชัดเจนแบบนี้ อาการป่วยก็เหมือนกับหายไป โดยไม่มีอะไรมากระทบกระเทือนอีกเลย

อีกส่วนหนึ่งก็คือความที่สภาพจิตดำเนินไปในความเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแท้จริง ด้วยอานุภาพของพระรัตนตรัยที่ยึดเกาะไว้แทนที่จะสนใจเวทนาทางร่างกาย จึงทำให้อาการป่วยได้หายไปในลักษณะที่เรียกกันว่า "ธรรมโอสถ"

เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าท่านผู้ที่ฟังอยู่สามารถกระทำได้ ก็สามารถใช้ธรรมโอสถนี้รักษาอาการป่วยไข้ต่าง ๆ ได้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า บรรดาผู้ที่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัตินั้น ก็มักจะต้องยอมรับกฎของกรรม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2024 เมื่อ 02:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 07-07-2024, 23:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อสภาพจิตของท่านยอมรับกฎของกรรม ก็คืออยากจะป่วยก็เชิญป่วยไปเถิด เพราะว่าเราเคยสร้างกรรมตรงส่วนนี้เอาไว้ เมื่อท่านอยากจะป่วยก็ป่วยไป เราก็รักษาไปตามอาการ ถ้าหากว่าหายก็หาย ถ้าไม่หายจะตายก็ช่างเถิด..!

ในเมื่ออยู่ในลักษณะอย่างนี้ บรรดาครูบาอาจารย์ที่เจ็บไข้ได้ป่วยส่วนหนึ่ง ถ้าหากว่าเกรงใจลูกศิษย์ ก็ไปหาหมอหายารักษากันตามสภาพ ถ้าหากว่าท่านใดไม่เกรงใจลูกศิษย์ ก็ปล่อยให้อาการเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นไปตามแรงกรรมที่ท่านได้ทำมา โดยถือว่าชดใช้ให้กับเขาไป

กระผม/อาตมภาพเจอครูบาอาจารย์หลายรายที่สั่งเอาไว้ว่า ถ้าต้องเข้าโรงพยาบาลแล้วต้องเจาะคอ ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ต้องมีสายเลือดสายน้ำเกลือพะรุงพะรัง ก็อย่าได้นำท่านไปเลย ท่านอยากที่จะตายแบบงดงามตามประสาของพระปฏิบัติมากกว่า ก็คือเผชิญกับมรณภัยโดยไม่มีความหวั่นไหวอย่างแท้จริง ถ้าเป็นไปในลักษณะนั้น ลูกศิษย์ทั้งหลายก็ต้องทำใจว่าเป็นความต้องการของครูบาอาจารย์ ไม่ใช่ว่าท่านทั้งหลายขาดความกตัญญู ไม่ดูแลอะไรเลย

หากแต่ว่าครูบาอาจารย์นั้นท่านแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า สังขารนี้เป็นรังของโรค ต้องมีอาการเจ็บป่วย และท้ายที่สุดก็เสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา เป็นการแสดงธรรมด้วยชีวิตของท่านเองเป็นรอบสุดท้าย หรืออาจจะรอบใกล้สุดท้ายให้ทุกคนได้รู้ได้เห็นอย่างชัดเจน ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละท่านว่าสามารถที่จะเก็บเอาไปใช้งานได้มากน้อยเท่าไร

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2024 เมื่อ 02:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:39



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว