กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมิถุนายน ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 03-06-2024, 19:53
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 500
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 24,997 ครั้ง ใน 988 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๗


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 04-06-2024, 00:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,541 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ในนามของคณะสงฆ์วัดท่าขนุน และประชาชนในชุมชนคุณธรรมต้นแบบวัดท่าขนุน ขอถวายพระพร..ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

สำหรับวันนี้งานพิธีในการถวายพระพรเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ปรากฏว่ามีฝนมาเป็นอุปสรรค เมื่อถึงตอนที่จะใส่บาตรเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล จึงต้องจัดสถานที่ใส่บาตรกันในหอประชุมของที่ว่าการอำเภอทองผาภูมิ ยังดีที่ว่าสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พระชนมายุยังน้อย พระภิกษุสามเณรที่รับบาตรมากกว่าพระชนมายุ ๑ รูป คือ ๔๗ รูปเท่านั้น ถ้าเป็นของสมเด็จพระพันปีหลวง ยังไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเอาพระภิกษุสามเณร ๙๐ กว่ารูปไปรับบาตรภายในหอประชุมกันอย่างไร ?!

เรื่องของฝนของฟ้าแม้ว่าจะเป็นเรื่องธรรมชาติก็ตาม แต่ว่าบางทีก็เกิดอุปสรรค ทำให้ต้องแก้ไขหน้างานต่าง ๆ เป็นปกติ ตอนนี้พายุดีเปรสชั่นมาลิกซีก็เพิ่มความเร็วขึ้นเป็นพายุโซนร้อนแล้ว เพียงแต่ว่ามุ่งหน้าเข้าสู่ประเทศจีน พวกเราก็จะกระทบแค่ส่วนหาง ๆ ก็คือทำให้มีฝนตกหนักเป็นปกติ เพียงแต่ว่าทองผาภูมิของเราระมัดระวังเรื่องน้ำป่าไหลหลากเท่านั้น เรื่องน้ำท่วมไม่มี ถ้าน้ำท่วมทองผาภูมิเมื่อไร กรุงเทพฯ จะอยู่ใต้น้ำไป ๖๐๐ กว่าเมตร..! เนื่องเพราะว่าทองผาภูมิสูงกว่ากรุงเทพฯ ๖๐๐ กว่าเมตร

คราวนี้ส่วนใหญ่ที่น้ำหลากแล้วมีผลกระทบกับทองผาภูมิก็คือด้านอู่ล่องและวังเกียง สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังดูแลมูลนิธิพิทักษ์กาญจน์สาขาทองผาภูมิอยู่ เคยไปอพยพคนจากรีสอร์ตบ้านห้วยอู่ล่องมาแล้ว เพราะว่าน้ำป่าหลากมา ท่วมรีสอร์ตขนาดครึ่งค่อนหลังเลย แล้วในส่วนบริเวณบ้านวังเกียงก็มักจะมีน้ำป่าหลากข้ามถนน แต่เขาก็ไปลงข่าวว่าน้ำท่วมทองผาภูมิให้คนตกใจกัน..!

บ้านเราต้องบอกว่าเป็นพื้นที่สูง แล้วอยู่ติดอยู่กับริมแม่น้ำแควน้อย น้ำมาเท่าไรก็ลงแม่น้ำหมด โดยเฉพาะถ้ามาเหนือเขื่อนก็ยิ่งดี เพราะว่าเขื่อนต้องการเก็บกักน้ำให้ได้ปริมาณสูงสุด ไม่เช่นนั้นแล้วก็อาจจะไม่พอใช้งานทั้งปี

สำหรับวันนี้ข่าวคราวทางคณะสงฆ์ที่ทำเอาพระอุปัชฌาย์อย่างกระผม/อาตมภาพต้องนั่งถอนใจ ก็คือข่าวที่พระลูกชายซึ่งเป็นเจ้าอาวาสพลัดพรากจากโยมแม่มา ๓๗ ปี พอโยมแม่มาเยี่ยมก็กราบงาม ๓ ที เห็นแล้วกูจะบ้า..! ไม่ทราบเหมือนกันว่าท่านขึ้นไปจนเป็นเจ้าอาวาสได้อย่างไร เพราะกระผม/อาตมภาพพูดมาหลายวาระแล้วเกี่ยวกับเรื่องที่พระกราบโยมว่า ท่านกำลังทำให้โยมตกนรก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-06-2024 เมื่อ 02:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 04-06-2024, 00:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,541 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สาเหตุที่พูดนั้นก็เพราะว่า ตอนนั้นพระชื่อดังซึ่งยังไม่สึกหาลาเพศ แถมยังไปร่วมขบวนประท้วงทางการเมืองอยู่ จะกราบแม่ทุกวันเกิด กระผม/อาตมภาพก็บอกว่า "ท่านกำลังส่งแม่ลงนรก" เนื่องเพราะว่าอันดับแรก พระเราเป็นอุดมเพศ ศีลมากกว่าหลายเท่า ไปกราบบุคคลที่มีแค่ศีล ๕ นอกจากจะสร้างโทษใหญ่ให้กับผู้ที่ถือแค่ศีล ๕ หรือศีล ๕ ไม่ครบแล้ว อันดับแรกเลย ตนเองก็ยังมีโทษ เนื่องเพราะว่าไม่เอื้อเฟื้อในพระวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บัญญัติเอาไว้ ซึ่งพระองค์ท่านระบุเอาไว้ชัดว่าพระภิกษุของเราไม่ควรกราบไหว้บุคคลใดบ้าง

แล้วอดีตพระชื่อดังรูปนั้นก็อ้างว่า "พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก" ทำไมจะกราบไม่ได้ ? ฟังดูเหมือนใช่ แต่ไม่ใช่ เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสว่าพ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก ท่านตรัสแค่ว่า "บิดามารดาเป็นพรหมของบุตร" ก็คือเป็นผู้ที่ให้ความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาต่อลูก ๆ เหมือนกับพรหม

คำว่า "พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก" มาจากพระพุทธศาสนามหายาน แล้วก็ไม่ใช่พระพุทธศาสนามหายานแท้ด้วย น่าจะมาจากลัทธิเต๋า เกิดจากการที่ชายหนุ่มผู้หนึ่งตั้งใจแสวงหาพระอรหันต์ เพื่อที่จะขอศึกษาความรู้ แล้วก็เลยทิ้งแม่คนเดียวไว้กับบ้าน เดินทางเสาะแสวงหาพระอรหันต์ ไปต่างบ้านต่างเมืองหลายต่อหลายเมืองด้วยกัน

จนกระทั่งวันหนึ่งได้พบบุคคลที่เขาเชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ บุคคลนั้นกล่าวว่า "เราไม่ใช่พระอรหันต์ แต่ว่าที่บ้านของท่านเองมีพระอรหันต์อยู่แล้ว" ชายหนุ่มก็สอบถามว่า "มีอะไรเป็นข้อสังเกตถึงพระอรหันต์รูปนั้นบ้าง ?" บุคคลที่เขาร่ำลือว่าเป็นพระอรหันต์ตอบว่า "บุคคลนั้นจะใส่รองเท้ากลับข้าง และใส่เสื้อกลับตะเข็บ"

ด้วยความดีใจว่าเดินทางไปหลายบ้านหลายเมือง เสียเวลาไปเนิ่นนานยังไม่ได้พบพระอรหันต์ แต่ที่หมู่บ้านตัวเองมีพระอรหันต์อยู่แล้ว เขาก็รีบเดินทางกลับบ้าน ปรากฏว่าเมื่อไปถึงบ้านเป็นเวลาค่ำคืนแล้ว ไปเคาะประตูเรียกแม่ แม่ที่เข้านอนแล้วก็รีบร้อนคว้าเสื้อมาใส่ คว้ารองเท้ามาใส่ เปิดประตูมาหาลูก พอลูกเห็นเข้าก็ตกใจ ก้มลงกราบเท้าแม่ เพราะว่าแม่ใส่เสื้อกลับตะเข็บและใส่รองเท้ากลับข้าง ด้วยความดีใจที่ลูกจะมา รีบร้อนออกมาหาลูก ไม่ทันสังเกตว่าตัวเองใส่เสื้อผิด ก็เลยทำให้คำว่า "พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก" นั้น กระจายมาถึงสังคมไทย แล้วก็ใช้กันผิด ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-06-2024 เมื่อ 02:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 04-06-2024, 00:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,541 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า หลายต่อหลายอย่างกลายเป็นสิ่งที่พวกเรานำเอาไปใส่พระโอษฐ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือกล่าวว่าพระองค์ท่านตรัสสอนไว้ อย่าลืมว่าอดีตพระชื่อดังรูปนั้นท่านก็ศึกษามาสารพัด แต่น่าจะอ่านพระไตรปิฎกไม่ครบ ก็เลยไปบอกว่า "พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก ทำไมจะกราบไม่ได้ ?"

ก็เพราะว่าอันดับแรก ตนเองอยู่ในอุดมเพศ ไปกราบบุคคลที่ศีลน้อยกว่าก่อให้เกิดโทษกับเขา ถ้าหากว่าผู้เป็นพ่อเป็นแม่คิดว่าพระลูกชายมากราบอยู่ทุกปี ทำไมปีนี้ไม่มากราบ ? แบบนี้ก็บรรลัยเลย กลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดเป็นชอบ มีโอกาสลงนรกสูงมาก กระผม/อาตมภาพจึงได้กล่าวเอาไว้ว่า "ท่านกำลังสนับสนุนพ่อแม่ให้ลงนรก..!"

แม้กระทั่งพระที่เป็นรุ่นน้องออกจากวัดท่าซุงมา ตอนนี้ก็สึกหาลาเพศไปแล้ว ก็คือทิดเผื่อน นั่นก็กลับบ้านเมื่อไรก็กราบแม่ กระผม/อาตมภาพเตือนแล้วเตือนอีกว่า "ท่านเผื่อน..ท่านทำอย่างนั้นจะพาแม่ลงนรก" แต่ท่านไม่สนใจ ด้วยความที่ดื้อรั้นไม่ฟังคำเตือน กระผม/อาตมภาพจึงต้องปล่อยวาง ส่งท่านไปเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองลานได้ไม่นานก็อยู่ไม่ได้ เพราะว่าไม่ฟังใคร ท้ายสุดก็ต้องสึกหาลาเพศไปอีก ถ้าเรายกตัวอย่างแค่สองรายว่า "บุคคลที่กราบแม่ต้องสึกทั้งคู่..!" ก็จะหาว่ากระผม/อาตมภาพกล่าวหากันเกินไปอีก

แต่สำหรับวันนี้ที่หนักใจก็เพราะว่าท่านเป็นเจ้าอาวาส แล้วถ้านานไปกลายเป็นเจ้าคณะตำบล กลายเป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วท่านไปทำแบบนั้น ก็จะกลายเป็นแบบอย่างที่ผิด ๆ ทำให้พระภิกษุสามเณรของเราประพฤติปฏิบัติผิดไปด้วย เพราะว่าทุกคนก็ต้องเข้าใจว่าครูบาอาจารย์บอก พระอุปัชฌาย์อาจารย์บอกต้องถูกต้อง

ที่กระผม/อาตมภาพหนักใจก็คือว่า พระอุปัชฌาย์อาจารย์ของท่านไม่เคยสั่งไม่เคยสอนอะไรเลยหรือ ? แล้วตัวท่านเองก็ไม่ได้ศึกษาความรู้อะไรเพิ่มเติมเลยหรือ ? เพราะตามที่นักข่าวเขาบอกในคลิปที่เพื่อนส่งมาให้ดู บอกว่าท่านเมื่อบวชแล้วก็เรียนจนจบปริญญาตรี ซึ่งก็น่าจะจบจากมหาวิทยาลัยสงฆ์ ถ้าหากว่าจบจากมหาวิทยาลัยสงฆ์แล้วยังพลาด ก็แปลว่าไม่ได้ศึกษาอะไรเพิ่มเติมเลย..!

บรรดาท่านทั้งหลายที่ศึกษาในมหาวิทยาลัยสงฆ์ มักจะเห็นรหัสวิชา อย่างเช่นว่ารหัสวิชาประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ๒-๐-๔ เลข ๒ นั่นก็คือเรียนในห้องเรียนครั้งละ ๒ ชั่วโมง เป็นวิชา ๒ หน่วยกิต ๐ ก็คือไม่มีชั่วโมงการดูงานนอกสถานที่ ๔ ก็คือต้องไปศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเองอย่างน้อยอาทิตย์ละ ๔ ชั่วโมง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-06-2024 เมื่อ 02:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 04-06-2024, 00:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,541 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กระผม/อาตมภาพเชื่อว่า ท่านทั้งหลายที่เรียนมา น้อยคนที่จะรู้ว่ารหัสวิชาเขาแปลว่าอะไร ? แต่ที่กระผม/อาตมภาพสอน จะบอกลูกศิษย์ทุกครั้งว่าความหมายของรหัสวิชานี้คืออะไร ก็แปลว่าท่านเรียนแต่ในห้องเรียน แล้วไม่ได้ศึกษาเพิ่มเติมตามที่หลักสูตรกำหนดเอาไว้ แล้วก็ไปทำผิดทำพลาดให้เสียหายมาถึงมหาวิทยาลัยอีกด้วย..!

แต่ยังเป็นเรื่องดีที่ว่าเสียงส่วนใหญ่ของบุคคลที่เข้าไปดูคลิป มักจะ "คอมเมนต์" ไปในทางที่ดี แล้วก็
"คอมเมนต์" แบบเข้าใจผิด ก็คือพ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก ลูกสามารถกราบได้ แม้ว่าจะไม่มี "คอมเมนต์" ไปในทางเสียหาย แต่กลายเป็นว่าบุคคลจะเข้าใจผิด แล้วต่อไปก็จะมีเหตุอย่างนี้เกิดขึ้นอีก

ท่านทั้งหลายโดยเฉพาะพระภิกษุสามเณร ต้องกำหนดจดจำให้มั่นคงเอาไว้ว่า ถ้าพ่อแม่มา เราก็ต้อนรับปฏิสันถารตามสมควร ถ้าหากว่ามีอะไรที่จะอนุเคราะห์สงเคราะห์ ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่าอาหารบิณฑบาตของเรานั้น สามารถที่จะให้พ่อแม่กินก่อนได้

เหตุเกิดจากลูกเศรษฐีมาบวช ไม่มีใครดูแลทรัพย์สมบัติ พ่อแม่โดนโกงจนกระทั่งกลายเป็นขอทาน แล้วลูกเศรษฐีท่านก็เลยนำพ่อแม่ไปอยู่ในป่า สร้างกระต๊อบให้ ตนเองบิณฑบาตได้อะไรมาก็เอาไปให้พ่อแม่กินก่อน เหลือเท่าไรค่อยฉัน ได้ผ้าผ่อนท่อนสไบมาก็เอาไปย้อมเอาไปเย็บเสียใหม่ ให้พ่อแม่นุ่งห่ม ตนเองก็เลยยากลำบากจนผอมโกรก..!

เมื่อคนเขาทราบเข้าก็ไปกล่าวกันไปต่าง ๆ นานา พระพุทธเจ้าต้องตัดสินว่าสิ่งที่ท่านทำไม่ผิด โดยมีบาลีกำกับว่า นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญูกตเวทิตา แล้วทรงตรัสอนุญาตไว้ว่า ให้พระภิกษุสามารถเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ได้ แต่ท่านใช้คำว่า
"สงเคราะห์ด้วยปัจจัย ๔ ตามสมควร"

ท่านทั้งหลายที่เป็นรุ่นเก่าก็จะเห็นว่า กระผม/อาตมภาพเองก็จ่ายเงินเดือนให้โยมแม่ โดยที่ขอความเห็นจากคณะสงฆ์ก่อนว่า สภาพเศรษฐกิจปัจจุบันนี้ ต้องใช้เงินประมาณเท่าไรโยมแม่ถึงจะอยู่ได้โดยไม่ลำบากมากนัก แล้วคณะสงฆ์ก็สรุปลงมาว่า ๖,๐๐๐ บาทต่อเดือน
แม้ว่าสงฆ์จะอนุญาต กระผม/อาตมภาพก็ยังใช้เงินส่วนตัวให้โยมแม่ แทนที่จะเป็นเงินสงฆ์

ดังนั้น..การสงเคราะห์ด้วยปัจจัย ๔ ตามสมควร ก็คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ถ้าต้องใช้ครบถ้วนทั้ง ๔ อย่าง ๖,๐๐๐ บาทต่อเดือนคาดว่าไม่พอ แต่ก็ได้แค่นั้น ไม่ใช่บางท่านที่ประเภทไปปลูกบ้านให้พ่อแม่หลังละ ๒๐ ล้าน ซื้อรถหรูให้คนละคัน อันนั้นเกินไป..!

ดังนั้น..คำว่าสงเคราะห์ด้วยปัจจัย ๔ ตามสมควร ก็คือพออยู่ได้ ไม่ใช่ร่ำรวยล้นฟ้าไปเลย แบบอดีตเจ้าคุณบางท่าน หรือผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นผู้ระลึกชาติได้ทำแบบนั้น เพราะฉะนั้น..
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าจะศึกษาให้ชัดเจน เราก็ต้องยึดเอาพระไตรปิฎกเป็นหลัก ไม่ใช่ยึดเอาความเห็นในสังคมเป็นหลัก ซึ่งบางทีก็พาออกนอกลู่นอกทางจนเกินไป

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุ สามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-06-2024 เมื่อ 02:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:12



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว