#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๗
|
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพต้องเดินทางไปยังกองพิสูจน์หลักฐาน กองกำกับการตำรวจภูธร จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อขอตรวจสอบประวัติอาชญากรรม ใช้ประกอบในการขอเลื่อนสมณศักดิ์ ตั้งแต่ต้นมาจนถึงบัดนี้ ไม่ว่าจะเป็นการขอพระราชทานตั้ง หรือว่าขอพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ กระผม/อาตมภาพยังไม่เคยใช้แบบประวัติอาชญากรรมประกอบในการขอเลยแม้แต่ครั้งเดียว..!
ในเมื่อครั้งนี้ทางคณะสงฆ์ระบุว่าต้องใช้ และมีเวลาให้แค่สองวันเท่านั้น ครั้นทำการตรวจสอบการขอตรวจประวัติทางออนไลน์แล้ว ต้องใช้เวลาประมาณ ๑ อาทิตย์ ซึ่งไม่มีทางทันแน่นอน จึงต้องใช้วิธีลัด ขอให้ท่านผู้กำกับมนตรี (พ.ต.อ. มนตรี แตงโต) จากสถานีตำรวจภูธรทองผาภูมิ ประสานตรงไปยังผู้กำกับกองพิสูจน์หลักฐาน กองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี ทำให้ได้รับการอำนวยความสะดวกเป็นอย่างดียิ่ง แม้จะไปถึงเป็นเวลาพักเที่ยง ทางเจ้าหน้าที่ก็ยังกระตืนรือร้นการทำงานให้ โดยใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าเท่านั้น ทางกองพิสูจน์หลักฐานกลาง กรุงเทพมหานคร ก็ส่งข้อมูลกลับมาให้แล้ว จะว่าไปแล้ว ในเรื่องของบ้านเราเมืองเรานั้น ยังอยู่ในระบบเส้นสาย หรือว่าระบบอุปถัมภ์อยู่มาก แต่ว่าถ้าเรามีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีเส้นสายมาก งานการทุกอย่างก็จะสะดวกและคล่องตัว ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางที่จะเสร็จทันตามกำหนดได้ โดยเฉพาะในกองพิสูจน์หลักฐาน จังหวัดกาญจนบุรี มีเจ้าหน้าที่เป็นนายดาบตำรวจหญิง มารายงานตัวว่าเป็น FC วัดท่าขนุน แล้วก็ช่วยจ่ายค่าธรรมเนียมในการขอตรวจประวัติอาชญากรรมให้กระผม/อาตมภาพอีกด้วย ต้องเจริญพรขอบคุณท่านผู้กำกับมนตรี ตลอดจนกระทั่งเจ้าหน้าที่ของทางกองพิสูจน์หลักฐาน กองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรีทุกท่านมา ณ ที่นี้ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง จนการงานเสร็จเรียบร้อยลงด้วยดี
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-05-2024 เมื่อ 02:01 |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่ตอนนี้เป็นปัญหา และอาจจะเป็นปัญหาระหว่างประเทศด้วย ก็คือเรื่องที่ทางประเทศลาว ขุดได้พระพุทธรูปองค์ใหญ่ แล้วมีนักโลหศาสตร์จากประเทศไทยปากไว ไปบอกว่า "เป็นของปลอม เพิ่งจะทำขึ้นมาไม่กี่เดือนนี้เอง..!"
ถ้าท่านทั้งหลายติดตามเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนมาตั้งแต่ต้น ก็จะได้ยินกระผม/อาตมภาพรับรองว่า พระพุทธรูปชุดนั้นเป็นของแท้ เพียงแต่ว่าศิลปะต่าง ๆ นั้น ปะปนกันหลายยุค หลายสถานที่ วัดที่พังทลายจมลงไปใต้แม่น้ำโขงนั้น จึงน่าจะเป็นวัดสำคัญที่บรรดาญาติโยมต่าง ๆ ให้ความเคารพนับถือ มีการนำเอาพระพุทธรูปจากแหล่งต่าง ๆ ไปถวายไว้ จนกลายเป็นศูนย์รวมพระพุทธรูปยุคต่าง ๆ ของล้านนา คราวนี้ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า สมัยก่อนนั้นไม่มีประเทศ มีแต่แคว้นต่าง ๆ ที่มีผู้นำซึ่งได้รับการยอมรับ ใหญ่บ้างเล็กบ้าง จนกระทั่งเมื่อทางฝรั่งยุโรปเข้ามา มีการแสวงหาเมืองขึ้น แล้วทำการขีดเส้นแบ่งเขตประเทศ เอากฎเกณฑ์กติกามาจับเข้าไป จึงกลายเป็นว่าในปัจจุบันนี้ กฎหมายสากลระบุว่า ถ้าหากว่าวัตถุโบราณขุดได้ตั้งแต่กึ่งกลางแม่น้ำโขงไปถึงฝั่งซ้าย จะเป็นของประเทศลาว ถ้าหากว่าขุดได้ตั้งแต่กึ่งกลางแม่น้ำโขงมาถึงฝั่งขวา จะเป็นของประเทศไทย นี่เป็นแค่การระบุสิทธิครอบครองในปัจจุบันเท่านั้น ไม่ได้ระบุว่าวัตถุมงคลที่ขุดได้นั้น เป็นศิลปะของใคร ในเมื่อเป็นเช่นนั้น การศึกษาเรื่องของโบราณคดี จึงเป็นเรื่องที่เราควรจะศึกษาแบบไร้พรมแดน ไม่เอาอคติเข้าไปจับ ว่าศิลปะแบบนี้เป็นของไทย ไม่ใช่ของลาว ไม่เช่นนั้นแล้วก็ได้ทะเลาะเบาะแว้งกันไม่รู้จบ เนื่องเพราะว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป กฎเกณฑ์กติกาเปลี่ยนไป ที่กระผม/อาตมภาพยืนยันว่าพระพุทธรูปเป็นของแท้นั้น ไม่ได้ใช้ความเป็นทิพย์ หากแต่ว่าอันดับแรกเลย พระพุทธรูปโดนขุดพบอยู่ใต้ตะกอนทรายลึก ๓ - ๔ เมตร ถ้าจะเอาของใหม่ไปฝังเอาไว้ อันดับแรก คุณต้องหาพระพุทธรูปหลายยุคหลายสมัยมา โดยเฉพาะองค์ใหญ่ล่าสุด ไม่มีทางที่จะปิดบังได้เลย ถ้าต้องการจะขุดฝังลึกขนาดนั้น แม้กระทั่งการใช้เครื่องจักรที่ทันสมัยอย่างปัจจุบัน ยังยากที่จะทำแบบปิดบังซ่อนเร้นได้..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-05-2024 เมื่อ 02:03 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
ประการที่สอง โลหศาสตร์นั้น ปัจจุบันนี้การหล่อพระพุทธรูปโลหะ มักจะเป็นทองเหลืองล้วน แต่ว่าเนื้อหาของพระพุทธรูปชุดนั้น โดยเฉพาะองค์ใหญ่เป็นสัมฤทธิ์ สัมฤทธิ์คือโลหะผสม ซึ่งได้รับศรัทธาจากญาติโยมต่าง ๆ เสียสละโลหะที่ตนเองมีอยู่ บางอย่างก็เป็นข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน เป็นข้าวของที่บรรพบุรุษตนเองเคยใช้งานมา อยากจะได้บุญได้กุศลสำหรับตนเองและบรรพบุรุษ ก็เสียสละเพื่อนำไปหล่อพระ
ในเมื่อโลหะหลาย ๆ อย่างมารวมกัน ถ้าครบถ้วนตามสูตรก็เป็นนวโลหะบ้าง สัตตโลหะบ้าง ปัญจโลหะบ้าง แต่ถ้าหากว่าไม่ครบตามนั้น เรียกรวม ๆ กันว่าสัมฤทธิ์ หรือว่าสามฤทธิ์ คืออย่างน้อยต้องเป็นโลหะสามชนิดรวมกัน แล้วถ้าถามว่าทำไมพระองค์นั้นถึงไม่ขึ้นสนิม ? กระผม/อาตมภาพคาดว่า น่าจะมีส่วนผสมหลักคือทองคำและเงินจำนวนมาก เนื่องเพราะว่าโลหะทั้งสองชนิดนี้ ทนทานต่อการสึกกร่อนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะทองคำ ในเมื่อมีส่วนผสมเหล่านี้มาก โอกาสที่สนิมจะขึ้นองค์พระก็มีน้อย ดังนั้น..ถ้าหากว่าจะให้ใช้คำพูดที่ถูกต้อง ก็คือเนื้อสัมฤทธิ์แก่ทองคำ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ สามารถที่จะพิสูจน์ได้ แล้วหลายท่านอาจจะว่า ทำไมพระพักตร์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระพุทธรูปองค์ใหญ่นั้น ถึงได้คมชัดขนาดนั้น ? คาดว่าผู้ที่ทำการหล่อ น่าจะเป็นช่างฝีมือระดับช่างหลวงเลย..! แล้วโดยเฉพาะองค์พระนั้น มีรอยต่อที่เห็นอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นเทคนิคการหล่อโลหะของพระพุทธรูปองค์ใหญ่สมัยเก่า ไม่เหมือนกับสมัยนี้ที่มีเทคนิคในการสำรอกขี้ผึ้ง สามารถที่จะหล่อพร้อมกันทั้งองค์ได้ ไม่ต้องนำไปต่อกันทีหลัง เนื่องจากว่าปัจจุบันนี้เครื่องทุ่นแรงมีมาก พระพุทธรูปหนักหลาย ๆ ตันก็สามารถที่จะยกได้ สมัยก่อนเทคนิคการหล่อก็สู้ไม่ได้ เครื่องมือในการยกก็มีน้อย ถึงจะมีรอก ส่วนใหญ่ก็จะใช้ไม้เป็นเสารอก ก็ทำให้รับน้ำหนักได้น้อยไปด้วย จึงต้องหล่อพระพุทธรูปแบบแยกชิ้นส่วน แล้วนำไปเชื่อมต่อกันภายหลัง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-05-2024 เมื่อ 02:05 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
เรื่องนี้ความจริงไม่ควรที่จะเป็นประเด็นขึ้นมา เพียงแต่ว่ามีผู้ที่ศึกษาโลหศาสตร์แล้วกล่าวว่า ถ้าหากว่าโลหะสมัยนี้จมน้ำนานขนาด ๕๐๐ - ๖๐๐ ปี ก็ต้องผุกร่อนหมดแล้ว โดยที่ลืมไปว่าตนเองคำนวณจากโลหะชนิดเดียว อย่างเช่นทองเหลือง เป็นต้น แต่โบราณนั้นหล่อด้วยสัมฤทธิ์เป็นอย่างน้อย
ในเรื่องของการศึกษาเหล่านี้จึงควรเป็นเรื่องเปิดกว้าง ไร้พรมแดน ไม่ควรมีอคติเข้าไปรวมอยู่ด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะเกิดปัญหาอย่างที่ "ดราม่า" กันอยู่ในปัจจุบัน ยังดีที่ว่าหลังจากท่านอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์เดินทางไปถึง ท่านบอกว่า "เก่าไม่เก่า ผมไม่รู้ ผมรู้แต่ว่าสวยมาก" แล้วก็มอบเงิน ๖ ล้านกีบให้กับทางประเทศลาว เพื่อใช้เป็นทุนในการขุดค้นต่อไป เราจะเห็นว่าบุคคลที่เป็นศิลปินแห่งชาติ ท่านมีการกระทำที่ต่างจากบุคคลทั่วไป เพราะรู้ว่าคำพูดและความคิดของตนมีอิทธิพลกับสังคม ดังนั้น..จึงใช้คำพูดที่ไม่กระทบกระเทือนทั้งสองฝ่าย แล้วการกระทำก็ยังอยู่ในการสนับสนุนอีกประเทศหนึ่งด้วย จึงเป็นเรื่องที่ตรงกับหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ว่าอัตตัญญุตา รู้จักตน ปริสัญญุตา รู้จักบริษัท คือกลุ่มคน และโดยเฉพาะปุคคลปโรปรัญญุตา คือ รู้จักตัวคน เราไม่จำเป็นที่จะต้องรู้จักครบ ๗ ประการ ก็สามารถที่จะอยู่เป็นในสังคมปัจจุบันนี้ได้แล้ว สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุ สามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-05-2024 เมื่อ 02:08 |
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|