#1
|
|||
|
|||
พระองค์เจ้าหญิงวิภาวดีรังสิต
บุคคลตัวอย่างคือ พระองค์เจ้าหญิงวิภาวดีรังสิต ผมขอย้อนกลับมาหาเรื่องของท่านหญิงวิภาวดีรังสิตอีกครั้ง เพราะหากไม่ให้เขียนเรื่องเกี่ยวกับพระองค์ท่าน ผมคงจะไม่สบายใจไปตลอดชีวิตก็ได้ เรื่องเดิมมีผู้เขียนเรื่องนี้มาแล้ว ๓ ครั้ง คือ ๑. พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ในหนังสืออนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ นางเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา (ท่านอ๋อย) พร้อมทั้งลงจดหมายของท่านหญิงถึงท่านอ๋อย ๒ ฉบับ ลงวันที่ ๑๗ มิ.ย. ๒๕๑๙ และ ๔ ก.ค. ๒๕๑๙ ๒. หลวงพ่อท่านบันทึกเทปไว้ที่จังหวัดเชียงรายแล้ว คุณพรนุช คืนคงดี และคุณสมพร บุณยเกียรติ ช่วยกันถอดเทปลงในหนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ เพื่อเป็นอนุสรณ์ในโอกาสคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อในเดือนตุลาคม ๒๕๒๔ ๓. หลวงพ่อท่านพูดถึงบุคคลตัวอย่าง คือ ท่านหญิงวิภาวดีรังสิต ลงในหนังสือธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๑๐๘ เดือน ก.พ. ๓๓ หากท่านผู้ใดได้ติดตามอ่านเรื่องของ ท่านหญิงวิภาวดีรังสิตแล้วก็คงหมดสงสัยว่า เมื่อท่านสิ้นชีพตักษัย (ตาย) ไปแล้ว ขณะนี้ท่านอยู่ที่ใด สำหรับผมเองหมดสงสัยแล้ว ตั้งแต่ได้เห็นพระพักตร์ของท่านยิ้มอย่างมีความสุขที่สุด (ยิ้มอย่างกูผู้ชนะทุกอย่างในโลก) ในตอนที่ไปคอยรับพระศพ และตอนเคารพพระศพ ซึ่งคลุมด้วยธงชาติ ซึ่งยังติดตาและติดใจผมอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
|||
|
|||
ข้อเท็จจริง
๑. ผมกับท่านหญิงวิภาวดีรังสิต ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย (ในชาตินี้) จนกระทั่งหลวงพ่อท่านแนะนำให้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ ที่บ้านรับรองในจวนผู้ว่าการจังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อผมทำความเคารพท่านแล้ว ท่านรับสั่งว่า “ความรู้สึกของหญิง บอกหญิงว่า หญิงไม่ได้เพิ่งเคยรู้จักคุณหมอ หากแต่รู้จักกันมาไม่รู้กี่ชาติ ๆ แล้ว” ๒. ในวันนั้น ท่านหญิงรับสั่งให้ผมเข้าพบในตำหนัก หรือวังส่วนพระองค์ซึ่งปลูกอยู่ในบริเวณจวนผู้ว่า พร้อมทั้งรับสั่งเรื่องของพระองค์ให้ผมฟังอย่างสนิทสนม และไม่ถือองค์เลย ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเคารพและยำเกรงพระองค์ท่านมากขึ้น ต้องคอยระวังตัวพร้อม กาย วาจา ใจ ไม่ให้บกพร่องเป็นกรณีพิเศษ ๓. ดังนั้นตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมจึงเสมือนคนสนิทของท่าน และเป็นที่สนทนากึ่งธรรมปฏิบัติของท่าน (ทั้ง ๆ ที่การปฏิบัติของผมในขณะนั้น ยังไม่มีอะไรเลยที่จะไปเปรียบกับท่านได้)เมื่อตื่นบรรทมแต่เช้า ก่อนหลวงพ่อฉันอาหารเช้า พระองค์จะรับสั่งกับผมทุกเช้า ถึงการปฏิบัติของท่านในตอนกลางคืน ๔. ผมสังเกตว่า ธรรมของพระองค์ท่านเปลี่ยนแปลงไปทุก ๆ วัน ไม่มีซ้ำกัน เช่น เมื่อเจริญอานาปานุสติ (กำหนดรู้ลมหายใจเข้าและออก) แล้วก็เข้าสู่ปีติ ปีติทั้ง ๕ อย่างพระองค์ได้หมด ที่เขียนเช่นนี้ เพราะหลังจากท่านรับสั่งกับผมแล้ว ก็จะถามหลวงพ่อตรงอีกครั้งเพื่อความถูกต้อง หลังจากนั้นแล้วก็ไม่เกิดปีติอีก พอเริ่มปฏิบัติ จิตจะรวมตัวเป็นหนึ่ง แล้วเข้าสู่การพิจารณาขันธ์ ๕ เลย (วิปัสสนา) และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ใช้วิปัสสนาหรือด้านการพิจารณาทางปัญญาตลอดมา (ผมเขียนตามสัญญา หรือความจำที่ผมฟังการสนทนาระหว่างท่านกับหลวงพ่อ) ๕. ทุกครั้งที่ออกหน่วยโดย ฮ. หากผมไปด้วย พระองค์จะประทับติดกับผมเสมอ และเรื่องที่รับสั่งล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับธรรมะเกือบทั้งสิ้น แม้ระหว่างเดินเยี่ยมตามฐานของตำรวจและทหาร หากมีเวลาส่วนองค์ จะรับสั่งเรื่องการปฏิบัติธรรมในตอนกลางคืนให้ผมฟังเสมอ เรื่องที่ท่านรับสั่งเป็นปกติคือทุกข์ เพราะทุกข์ทั้งหลายล้วนมาห้อมล้อมใจของพระองค์ ทั้งเรื่องภารกิจของชาติและประชาชน ทางเรื่องครอบครัว และเรื่องส่วนองค์อื่น ๆ พระองค์ไม่เคยปิดบังอะไรเลย เล่าให้ฟังหมด จนพระองค์เองก็แปลกใจ ต้องไปถามหลวงพ่อ (เมื่ออยู่กันเฉพาะแค่ ๓ คือ หลวงพ่อท่าน ท่านหญิง และผม) ว่า หญิงกับหมอนี่เคยเป็นอะไรกันนะ หญิงมีความลับอะไรต้องบอกคุณหมอหมดเลย ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยบอกความลับเช่นนี้กับผู้อื่นมาก่อน แม้พระองค์จะทุกข์แค่ไหนและอย่างไร ท่านก็ไม่เคยยอมแพ้ กลับเอาทุกข์นั้นมาพิจารณาด้วยปัญญาให้เข้าสู่อริยสัจหมด ท่านรับสั่งกับผมว่า “แม้หญิงจะทุกข์ขนาดไหน หญิงก็ไม่ยอมแพ้ ไม่ย่อมหวั่นไหว หญิงเอาทุกข์เหล่านั้นมาพิจารณาเป็นอริยสัจหมด” คือ เห็นทุกข์ทั้งหลายที่มากระทบใจนี้เป็นของธรรมดา ที่ท่านรับสั่งกับผมแบบนี้ ไม่ใช่ครั้งเดียว แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-10-2012 เมื่อ 10:33 |
สมาชิก 140 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
|||
|
|||
๖. หลังจากเยี่ยมตำรวจทหารภาคใต้แล้ว ก็เสด็จไปเยี่ยมตำรวจทหารทางภาคเหนือกับคณะของหลวงพ่อท่าน พระองค์ก็ยังทรงเมตตาให้ความสนิทสนมกับผมตลอดมา มีอยู่ครั้งหนึ่งซึ่งผมหวาดเสียวแทนท่าน เพราะท่านบินไปเยี่ยมฐานทหารที่มองเห็นฐานข้าศึกอยู่ข้างหน้าอย่างแจ้งชัด ขณะที่ไปถึง ผมยังมองเห็นเครื่องบินของฝ่ายตรงข้ามบินมาทิ้งของให้กับพวกเขากับตา ผมยังต่อว่าพวกทหารว่า ทำไมถึงให้ท่านเสี่ยงขนาดนี้ ผ่ายทหารตอบผมว่า “ผมได้พยายามทัดทานท่านแล้ว แต่ท่านไม่ยอม..จะเสด็จมาเยี่ยมให้ได้”
ในตอนนั้น ผมยังจำได้ดีว่า ฮ. ลงจอดไม่ได้ ต้องค่อย ๆ ชะลอลงใกล้พื้นดิน แล้วพวกเราต้องกระโดดลง พอลงหมด ฮ. ก็ดึงตัวขึ้นไปทันที เพราะหากลงจอด ฝ่ายตรงข้ามอาจยิงปืน ค. มา ที่ผมกล้าไปนั้นไม่ใช่อะไรหรอกครับ เพราะผมมีหลวงพ่อท่านไปด้วย และหลวงพ่อท่านก็ต้องโดดลงเหมือนกับพวกเรา ๗. ผมได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการ ร.พ.ตำรวจ เมื่อ ๒๙ ต.ค. ๒๕๑๙ และได้รับยศว่าที่นายพลตำรวจตรีในวันเดียวกัน ซึ่งผมเองไม่รู้เรื่องเลย เพราะกำลังอยู่ในป่า ออกเยี่ยมตำรวจทหารกับหลวงพ่อและท่านหญิง เมื่อกลับมาจึงทราบ (เขาแต่งตั้งให้แล้วประมาณ ๒ วัน) หลวงพ่อท่านเลยเรียกผมว่า “นายพลป่า” เพราะเขาตั้งให้ขณะอยู่ในป่า ทุกข์ก็เพิ่มขึ้น การจะออกไปเยี่ยมตำรวจ ทหาร กับหลวงพ่อและท่านหญิงก็ต้องชะลอไว้ หลวงพ่อและท่านหญิงทราบดี ผมจึงห่างจากการติดตามไปจนถึง ๓ เดือนกว่า ๆ ก็ได้รับทั้งวิทยุและโทรศัพท์ทางไกลจาก จ.สุราษฎร์ธานี โดย พ.ต.ท.สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา (ยศในขณะนั้น ปัจจุบันมียศ พล.ต.ต. ตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจตะเวนชายแดน) แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-10-2012 เมื่อ 14:12 |
สมาชิก 103 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
|||
|
|||
๘. ตอนท่านหญิงเสด็จไปยุโรป ได้ทรงมีลายพระหัตถ์ถึงผมหนี่งฉบับ ดังนี้
23 Walpole Street London S.W.3 วันที่ ๘ ก.ค. ๑๙ เรียน คุณหมอสมศักดิ์ทราบ ฉันได้ออกเดินทางมาจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ ๑๕ เดือนก่อน ท่องเที่ยวมาได้ ๔ ประเทศทั้งอังกฤษนี้ แต่อาการไม่สู้ดีเลย อยากจะกลับไปวิปัสสนาที่วัดท่าซุงมากกว่าอย่างอื่น เพื่อนฉันที่นี่ล้วนแต่หรูหราและน่ารัก อยู่ปราสาทบ้าง บ้านสวยที่สุดบ้าง เป็นดัชเชสก็มี เลดี้ต่าง ๆ ก็มี เมื่อก่อนฉันก็เคยคบ ชอบพอกันดี ตอนนี้ได้แต่ปลง มีข่าวประหลาดจะเล่าให้คุณหมอฟัง วงการจักษุแพทย์จะต้องงงไปหมด อยู่ ๆ ต้อกระจกของฉันซึ่งเป็นมา ๔ ปีกว่า ๆ จนตาขวามืดไปเห็นแต่เพียงเงา ๆ หมออุทัยว่าจะต้องผ่าตัดจึงจะหายนั้น บัดนี้หลวงปู่รักษา (ฉันท่องคาถาที่หลวงปู่ให้ทุกวัน) หายได้ภายใน ๒๗ วัน เริ่มรักษาเมื่อวันที่ ๓ เดือนที่แล้ว หลวงปู่ว่า ๒๘ วันจะหาย พอถึงวันที่ ๒๗ ก็สว่างโร่ขึ้นมาจนตกใจไปหมด ท่านชายเมื่อแรกก็ไม่เชื่อ จนฉันใช้ตาข้างเสียอ่านหนังสือพิมพ์ให้ฟัง (ปิดข้างดีเสีย) จึงต้องเชื่อ แต่งงไปหมด กลับไปกรุงเทพฯ คุณหมอช่วยนัดจักษุแพทย์ที่ รพ.คุณหมอ ให้ใช้กล้องส่องดูตาฉันซิว่าต้อยังอยู่ไหม หมอที่ลอนดอนที่ Harley Street การใหญ่ นัดพบทีเป็นอาทิตย์ ๆ แล้วก็แพงมาก เสียเวลาด้วย ฉันเลยไม่อยากไปยุ่งด้วย กลาง ๆ เดือนนี้ก็จะกลับแล้ว จะติดต่อกับคุณหมอเพื่อนัดพบหมอตาที่ รพ.ตำรวจก็ยังได้ จะได้พิสูจน์กันหลาย ๆ คน เรื่องตาของฉันนี้ ถ้าคนอื่นเล่าให้ฟังก็แทบจะไม่เชื่อ นี่เกิดขึ้นกับตัวเองและฉันก็ถือศีล ๕ คงจะไม่หลอกคนทั้งเมืองเป็นแน่ กลับมาก็จะเอาตาไปให้จักษุแพทย์พิสูจน์ด้วย คงจะต้องงงกันบ้างเป็นแน่ เวลานี้ตอนว่าง ๆ ฉันนั่ง edit เรื่องของหลวงพ่อที่จะพิมพ์ใหม่ ชื่อเรื่องกรรมฐาน ๔๐ คุณหมอเตรียมซื้อเถิด เยี่ยมมาก เมื่อกลับไปบ้านฉันเตรียมจะไปอยู่กับหลวงปู่ เพื่อเขียนชีวประวัติของท่าน คิดถึงมาก
วิภาวดี แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 17-10-2012 เมื่อ 11:12 |
สมาชิก 101 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
|||
|
|||
๙. หลังเสด็จกลับเมืองไทย ท่านหญิงก็เสด็จเยี่ยมตำรวจและทหาร พร้อมกับหลวงพ่อและคณะทางภาคเหนือหลายหน ผมได้สังเกตเห็นว่า ในตอนเย็น ท่านเกือบไม่ได้เสวยอะไรเลย หากจะเสวยก็เสวยแบบเสียไม่ได้ เพราะผู้จัดหาอาหารมาชักชวนหนัก ๆ เข้า พร้อมทั้งพวกพระสหายต่างก็จัดของเสวยให้ ท่านจึงเสวยแบบเอาใจคน กลัวเขาจะเสียกำลังใจ พอมีโอกาสว่าง ท่านหญิงก็รับสั่งกับผมว่า ความจริงไม่รู้สึกหิวเลย ปกติแล้วจะไม่เสวย เพราะหากเสวยเข้าไปแล้วมันจะออก (อาเจียน) จิตมันอยากจะถืออุโบสถศีลอยู่เรื่อย เพราะอะไรก็ไม่ทราบ ผมสังเกตทั้งที่เชียงใหม่และเชียงราย ส่วนใหญ่จะเสวยแค่ผลไม้ ๒ - ๓ ชิ้น
๑๐. ตอนปลายปี ๑๙ หรือต้นปี เดือน ม.ค. ๒๕๒๐ จำไม่ได้แน่ ท่านหญิงมีรับสั่งให้ผมเข้าเฝ้าที่วังวิทยุเป็นการส่วนพระองค์ ท่านหญิงทรงเมตตาต่อผมมาก ที่ให้ชมสมบัติอันล้ำค่าทั้งหมด พร้อมทั้งทรงอธิบายว่าได้มันมาจากที่ไหนบ้าง มีสมบัติหลายชิ้นที่ซื้อมาจากต่างประเทศ ซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต นอกนั้นก็มีพระพุทธรูปในสมัยโบราณสวยงามมากอีกจำนวนหนึ่ง แล้วในที่สุดท่านก็สรุปว่า “สมบัติเหล่านี้ มันไม่มีความหมายสำหรับท่าน วังวิทยุนี้ก็ไม่มีความหมายสำหรับท่าน” หากผมจำไม่ผิด หลังจากนั้นมาอีก ๑ - ๒ อาทิตย์ ผมก็ได้ข่าวว่า ท่านหญิงได้ยกสมบัติอันมีค่าเหล่านี้ให้แก่ทางพิพิธภัณฑ์ไปส่วนหนึ่ง และให้กับผู้อื่นที่ควรแก่การให้อีกส่วนหนึ่งจนหมด คำตรัสอีกประการหนึ่งที่ชอบตรัสเสมอ ๆ ก็คือ “ชีวิตนี้ไม่มีความหมาย สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย” รู้สึกว่า พวกเราที่เป็นศิษย์ของหลวงพ่ออีกหลาย ๆ คน ที่ได้ยินจนชินหูในช่วงระยะ ๓ เดือนก่อนที่ท่านจะสิ้นชีพตักษัย แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-10-2012 เมื่อ 11:18 |
สมาชิก 95 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
|||
|
|||
๑๑. พระศพได้ถูกนำเสด็จมาทางเครื่องบินในวันนั้น (๑๖ ก.พ. ๒๕๒๐) เดิมจะให้ทาง ร.พ.ตำรวจเป็นผู้จัดสถานที่รับพระศพ แต่ต่อมาได้ขอเปลี่ยนเป็นที่ ร.พ.จุฬาฯ แทน ผมจึงได้พบกับบุคคลสำคัญ ๓ คนคือ
ก) พ.ต.ท.สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา (ยศในสมัยนั้น ปัจจุบันมียศ พล.ต.ต.) นายตำรวจท่านนี้มีความใกล้ชิดกับท่านหญิงมาก จะติดตามเสด็จทุกครั้งที่ท่านหญิงเสด็จไป จ. นครศรีธรรมราช และสุราษฏร์ธานี ท่านได้เล่าให้ผมฟังว่า ท่านหญิงได้ประทานพระสมเด็จที่ทรงแขวนประจำองค์อยู่ให้กับตนในการเสด็จภาคใต้ครั้งสุดท้ายนี้ ไม่นึกเลยว่า ท่านหญิงจะจากไปอย่างคาดไม่ถึง ถ้าผมรู้ก่อน ผมจะไม่ยอมรับพระสมเด็จที่ประทานให้ และเล่ารายละเอียดทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนเช้าให้ผมฟัง ข) คุณทิพา ซึ่งเป็นข้าหลวงของท่านหญิง ติดตามและรับใช้ท่านหญิงมาตลอด ผมจึงมีความคุ้นเคยกับคุณทิพาดี ผมได้ถามคุณทิพาว่า เมื่อเช้านี้ท่านหญิงรับสั่งกับทิพาว่าอย่างไร ทิพาบอกว่า ท่านตื่นบรรทมแต่เช้าเหมือนปกติ แล้วเรียกทิพาไปพบแล้วรับสั่งว่า “ถ้าฉันตาย เธออย่าร้องไห้นะ” ทิพาเลยปล่อยโฮใหญ่ และพูดว่า ทำไมท่านหญิงรับสั่งอย่างนั้นล่ะเพคะ ท่านหญิงทรงเงียบ ไม่ตอบ แต่รับสั่งเรื่องราวกับทิพาว่า ทิพา บ่าวชื่อนี้เธอจ่ายเงินจำนวนนี้ให้เขา บ่าวชื่อนี้จ่ายเงินให้เท่านี้ ทิพาก็รับคำสั่งโดยไม่ได้จด ท่านหญิงก็รับสั่งว่า “ทิพาครานี้เธอต้องจดนะ” จากนั้นก็ให้ทิพาออกไปและรับสั่งให้มาลีมาพบ ค) คุณมาลี ซึ่งเป็นพยาบาลประจำหน่วยของท่านหญิง ผมจึงรู้จักเธอดี และได้ถามคุณมาลีว่า มาลีเมื่อเช้าท่านหญิงรับสั่งกับมาลีว่าอย่างไร คุณมาลีตอบว่า ท่านหญิงรับสั่งว่า “มาลี คนอย่างฉันหากจะตาย ฉันไม่ขอตายในบ้าน เพราะมันไม่มีเกียรติ สำหรับฉัน ฉันจะต้องตายนอกบ้าน และศพของฉันจะต้องคลุมด้วยธงชาติ” ท่านหญิงรับสั่งกับมาลีเพียงเท่านี้ แล้วก็ไล่มาลีให้ออกมา แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-10-2012 เมื่อ 12:01 |
สมาชิก 94 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
|||
|
|||
๑๒. เมื่อผมได้คุยกับท่านทั้งสามแล้ว ผมก็อุทานว่า “งั้นท่านหญิงก็ทรงทราบล่วงหน้าก่อนแล้วซิ ว่าจะต้องจากไป คุณทิพาจึงให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในคืนสุดท้ายนี้ ท่านหญิงก็ถวายสังฆทานกับหลวงปู่ครูบาธรรมชัย เหมือนกับท่านจะรู้ก่อนจริง ๆ ด้วย
๑๓. รับสั่งสุดท้ายกับหลวงพ่อและหลวงปู่ ก) โลกนี้เป็นทุกข์ ร่างกายก็เป็นทุกข์ หญิงไม่ต้องการมีร่างกายอีก ขอลาหลวงพ่อไปพระนิพพาน ข) หลวงพ่อ หลวงปู่ กรุณากราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและทูลท่านชายด้วยว่า หญิงขอลาไปพระนิพพาน ค) หลวงพ่อ ..หญิงอยากไปพระนิพพาน ช่วยนำหญิงไปพระนิพพานด้วย (ประโยคนี้ผมจำไม่ได้แน่ว่า ท่านอ๋อยเล่าให้ผมฟัง หรือ พ.ต.ท.สุดินทร์) แสดงว่าในขณะนั้น ท่านหญิงทรงมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ไม่แสดงอาการว่าเจ็บปวดแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่ควรจะปวดมาก ง) ท่านเงียบไปสักครู่ แล้วจึงเปล่งเสียงออกมาดัง ๆ ฟังชัดเจนว่า โอ... สว่างแล้ว ๆ ถึงพระนิพพานแล้ว ๆ สวยจัง เมื่อท่านหญิงทรงตรัสเองเช่นนั้นแล้ว ก็เงียบสงบ มีพระพักตร์ยิ้มน้อย ๆ อย่างมีความสุขที่สุด ซึ่งผมได้เห็นอย่างใกล้ชิดตอนรับพระศพ และเคารพพระศพที่คลุมด้วยธงชาติตามที่ท่านได้รับรับสั่งไว้กับคุณมาลีในตอนเช้าวันนั้นทุกประการ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-10-2012 เมื่อ 12:53 |
สมาชิก 93 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
|||
|
|||
ข้อพิจารณา
ในฐานะที่ผมเป็นหมอตำรวจ ย่อมได้พบและเห็นคนที่ถูกยิงแล้วเสียชีวิตบ่อย ๆ จึงขอเล่ารายละเอียด เกี่ยวกับพระศพของท่านหญิงที่ท่านได้ทรงแสดงธรรมให้ผมเห็น ตามรายงานของแพทย์ และคำบอกเล่าของ พ.ต.ท.สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา (ยศในขณะนั้น) สรุปโดยย่อได้ว่า กระสุนปืนที่ยิงถูกเฮลิคอปเตอร์นั้นหลายนัด แต่มีเพียงนัดเดียวที่ทะลุลำตัวเฮลิคอปเตอร์ เข้าด้านหน้าเฮลิคอปเตอร์เฉียดเท้าของนักบินแล้วจึงมาโดนท่านหญิง (โดยเฉพาะ) เข้าหน้าท้องกระสุนผ่านตับ ทะลุปอดข้างขวา แล้วออกด้านหลัง บาดแผลด้านหน้า รูกระสุนเข้าเล็ก แต่ทางออกของกระสุนปืนใหญ่มาก จนมองเห็นเลือดและเนื้อของปอดออกมาจุกอยู่ที่ปากแผลชัดเจน ในลักษณะบาดแผลเช่นนี้ บุคคลธรรมดาแล้วควรจะเสียชีวิตทันที เพราะช็อก (shock) เนื่องจากการเสียเลือดมากอย่างกระทันหัน โดยมีการตกเลือดมากในช่องท้อง ในช่องปอด และที่สำคัญที่สุดก็คือ ความกดดันภายในช่องปอดถูกทำลายทันที จนปอดข้างขวาทั้งหมดแฟบลงอย่างรวดเร็ว คนไข้จะช็อกเพราะขาดทั้งลมหายใจและเลือดไปเลี้ยงสมองอย่างกะทันหัน แต่เป็นที่อัศจรรย์อย่างยิ่ง ท่านหญิงยังทรงมีสติสัมปชัญญะดีตลอดเวลา ยังชะลอขันธ์ ๕ กลับมาได้ และรับสั่งกับหลวงพ่อ หลวงปู่ได้อย่างมีสติดีตามข้อ ๑๓ โดยธรรมชาติที่ท่านแสดงให้ผมเห็นนี้ ผมจึงเข้าใจเอาเองว่า ท่านเป็นผู้ทรงฌานสมาบัติชั้นยอด สามารถใช้ฌานสมาบัติของท่านได้ทันทีเป็นอัตโนมัติ เพื่อบรรเทาทุกขเวทนาทางกาย และใช้วิปัสสนาญาณขั้นสูงพร้อมกันไปด้วย จึงทำให้จิตเป็นสุขตลอดเวลา สมจริงตามที่ท่านได้ตรัสไว้เสมอ ๆ ใน ๓ เดือนก่อนที่ท่านจะดับขันธ์ว่า “ชีวิตไม่มีความหมาย สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย” (ผมขออนุญาตขยายความว่า ความตายไม่มีความหมาย เพราะคนเราเกิดแล้วต้องตายทุกคน ร่างกายนี้มันหาใช่เรา ใช่ของเราไม่ เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เราเป็นเพียงผู้ที่อาศัยร่างกายนี้อยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น โลกนี้ไม่เที่ยง ไม่มีใครสามารถจะเอาสมบัติของโลกนี้ติดตัวไปได้เลย ไม่มีใครเป็นใหญ่ได้ในโลก เพราะต้องมีความตายเป็นที่สุด และโลกนี้มีความพร่องอยู่เป็นปกติ เนื่องจากตกเป็นทาสของตัณหา ขอสรุปว่า ท่านไม่ได้ติดวัตถุธาตุใด ๆ ในโลกนี้แล้ว รวมทั้งร่างกายที่ท่านอาศัยอยู่ หรือจะกล่าวว่า ท่านไม่ได้ติดสมบัติใด ๆ ในโลกแล้วก็คงไม่ผิด) แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 19-10-2012 เมื่อ 11:33 |
สมาชิก 91 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
|||
|
|||
นอกจากนั้น ท่านหญิงไม่เคยแสดงอารมณ์ใด ๆ ที่ไม่พอใจต่อผู้ก่อการร้ายเลยแม้แต่น้อย ทรงให้อภัยทานอยู่เป็นปกติ ด้วยบารมี ๑๐ ครบถ้วนบริบูรณ์ จากทานบารมี-ศีล-เนกขัมมะ-ปัญญา-วิริยะ-ขันติ-สัจจะ-อธิษฐาน-เมตตา และอุเบกขาบารมี ขอให้ท่านผู้อ่านลองพิจารณาตาม (ธัมมวิจยะ) บารมี ๑๐ ดูแล้วจะเข้าใจเอง ดีกว่าให้ผู้อื่นมาเป็นผู้บอกให้ฟังพันเท่า หรือหมื่นเท่าทีเดียว
เมื่อเข้าใจด้วยตนเองแล้ว จึงจะเข้าใจในอารมณ์ช่างมัน หรืออารมณ์อุเบกขา หรืออารมณ์สังขารุเบกขาญาณได้ว่ามันเป็นอารมณ์เดียวกัน แต่มันมีได้ตั้งแต่หยาบ ๆ มาหาชั้นกลาง และละเอียดตามลำดับ และยังเห็นได้ชัดว่า บางคน บางวันก็มีอารมณ์ช่างมัน แต่บางวันกลายเป็นอารมณ์ช่างเผือกไปก็มีอยู่ไม่น้อย ทั้งนี้เพราะอารมณ์นี้ขึ้นอยู่กับศีลเป็นสำคัญ หากศีลยังไม่เป็นศีล เต็มบ้าง ไม่เต็มบ้าง (ศีล น้ำขึ้นน้ำลง หรือโลกียศีล) อารมณ์ยังขึ้น ๆ ลง ๆ ตามศีล แต่หากศีลของผู้ใดเป็นอัตโนมัติแล้ว หรือมีสีลานุสติอยู่กับใจตลอดเวลา หรือโลกุตรศีล หรือศีลของพระอริยเบื้องต้น หรือศีลของพระโสดาบันนั่นเอง ซึ่งเป็นอธิศีลจะไม่มีคำว่าเผลอ ไม่มีคำว่าขาดอีกต่อไป บุคคลเหล่านี้แหละ จึงจะมีอารมณ์ช่างมันจริง แม้จะมีอะไรมากระทบก็ทรงอยู่ได้ แต่หากกระทบแรง ๆ ย่อมมีความหวั่นไหวในตอนแรกเป็นธรรมดา แต่ท่านก็สามารถปรับอารมณ์ของตนเองได้ หรือช่วยตัวเองได้ เอาตัวเองรอดได้ในเวลาไม่นาน (ตามบารมีที่ท่านอยู่ในขณะนั้น) ผู้ที่หมดความหวั่นไหวเมื่อถูกกระทบคือ พระอรหันต์เท่านั้น สิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดความหวั่นไหว ก็คือศีลอีกนั่นแหละ แม้ศีลจะเป็นอธิศีลก็ตาม แต่ยังไม่ละเอียดพอ พระพุทธองค์จึงให้ใช้กรรมบถ ๑๐ คุมอารมณ์จิตต่อไป จากกรรมบถ ๑๐ พระองค์ทรงให้ใช้เทวธรรมและพรหมวิหาร ๔ คุมอารมณ์จิต ไม่ให้เกิดอารมณ์พอใจ หรืออารมณ์ยินดีด้วยในกามฉันทะและปฏิฆะ โดยใช้สังโยชน์ ๑๐ เป็นแนวทางในการปฏิบัติ |
สมาชิก 75 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
|||
|
|||
ดังนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ศีลคือแม่ของพระธรรม หรือศีลเป็นมารดาของพุทธศาสนา (ผมขอให้ท่านผู้อ่านจงพิจารณาเอาเอง จะได้รู้ได้เห็นด้วยตนเอง เพราะธรรมของพระองค์จะรู้ได้ เห็นได้จริงตามความเป็นจริง ด้วยการปฏิบัติตามวิธีของพระองค์เท่านั้น และรู้ได้เห็นได้เฉพาะตนด้วย หากผู้ใดปฏิบัติยังไม่ถึง หรือยังไม่เข้าใจธรรมะของพระองค์ ทำอย่างไรก็ไม่มีทางรู้ทางเห็นได้ เพราะตัวเข้าใจคือตัวปัญญา หรือสัมมาทิฏฐิเกิด ผู้ที่ไม่เข้าใจธรรมะ ปัญญายังไม่เกิด หรือยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่) หากจะใช้สังโยชน์เป็นเครื่องวัดความดีของท่านหญิง ย่อมเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผม คือ
๑. สักกายทิฏฐิ ข้อแรกนี้ชัดเจนในคำอุทานที่ว่า “ชีวิตนี้ไม่มีความหมาย สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย” ผมขอผ่านไป ๒. วิจิกิจฉาข้อสองนี้ก็เช่นกัน ท่านเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยการปฏิบัติตาม ๑๐๐ % คือปฏิบัติตามอริยมรรค ๘ ซึ่งย่อแล้วเหลือ ๓ ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือปฏิบัติบูชาด้วยทาน ศีล ภาวนา ท่านปฏิบัติตลอดเวลาชนิดเป็นอกาลิโก (คือ ทำตลอดเวลา ในทุกโอกาส ทุกสถานที่ และทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน) ๓. ศีล เป็นอธิศีล หรือเป็นสีลานุสติอยู่ในจิต โดยไม่ต้องระวัง หรือกลัว หรือสงสัยว่า จะผิดศีลหรือไม่จนกระทั่งแม้กรรมบถ ๑๐ เท่าที่ใกล้ชิดกับพระองค์ท่าน และได้สนทนาธรรมกับท่านเสมอ ๆ พรหมวิหาร ๔ ท่านเต็ม ๑๐๐% จากการเสียสละความสุขส่วนองค์ ทำทุกอย่างเพื่อประชาชนที่เดือดร้อน เพื่อตำรวจทหารที่อยู่แนวหน้า สละแม้แต่ชีวิตและทรัพย์สินที่รักและหวงแหน โดยไม่ได้หวังผลตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งเท่ากับตัดโลภะ (ราคะ) นั้นเอง ส่วนปฏิฆะนั้น เมื่อพรหมวิหาร ๔ เต็ม อารมณ์ไม่พอใจย่อมไม่เกิด หรือเกิดก็ดับไปทันที เรื่องกามฉันทะกับปฏิฆะนั้น ผมเพียงแค่คาดคะเนหรือเดาหรือเพียงแค่สงสัยเท่านั้น เพราะผมปฏิบัติไปไม่ถึง เมื่อยังไม่ถึงก็ต้องมีความสงสัยอยู่เป็นธรรมดา แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-10-2012 เมื่อ 15:41 |
สมาชิก 67 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
|||
|
|||
อนึ่ง จะเห็นได้จากลายพระหัตถ์ที่มีถึงท่านอ๋อย (๑๗ มิ.ย. ๒๕๑๙) และถึงผม (๘ ก.ค. ๒๕๑๙) ท่านรับว่า ท่านทรงศีล ๕ เป็นปกติ.. แต่ใจมันอยากอยู่ในอุโบสถศีลเป็นปกติ และผมก็ขอยืนยันตามเหตุผลในข้อ ๙ ตามตำราศีล ๘ คือ ศีลของพระอนาคามี เป็นคุณธรรมข้อหนึ่งของท่าน เมื่อมีคุณธรรมถึงอนาคามี ศีล ๘ จะปรากฏเอง ไม่ใช่แกล้งทำ หรือต้องบังคับให้เป็นศีล ๘ เหมือนกับผมซึ่งพยายามรักษาศีล ๘ ไว้เกิน ๑๐ ปีแล้ว แต่มันก็ยังไม่มีคุณธรรมของพระอนาคามีปรากฏให้เห็นแม้แต่น้อย ผู้ที่ถือศีล ๘ ได้ในขณะนี้มีเป็นแสน ๆ คน แต่ผู้ที่มีคุณธรรมครบหายากจริง ๆ แม้แต่พระสมมุติสงฆ์และสามเณรกว่า ๓ แสนรูปก็เช่นกัน (ยังไม่รวมพวกชีอีกไม่รู้เท่าใด ผมเคยสนทนาด้วยกับชีบางคน พบว่า ยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าศีล ๘ มีอะไรบ้าง น่าเศร้าจริง ๆ)
ดังนั้น การถือศีล ๘ จึงไม่ใช่ผู้วิเศษอะไร หากผู้ใดถือศีล ๘ แล้วไปเที่ยวอวดผู้อื่น หวังประโยชน์จากการถือศีล ๘ ในทางโลก (โลกธรรม) เพื่อตนก็น่าเศร้าเช่นกัน ผู้ถือศีล ๘ โดยขาดปัญญา จึงเป็นการเบียดเบียนตนเอง ทรมานตนเองโดยเปล่าประโยชน์ และยังทำให้จิตใจเศร้าหมอง (จิตเป็นกิเลส หรือเกิดกิเลส) เนื่องจากความฟุ้งซ่านของจิต ความสงสัยที่เกิดกับจิตว่า สิ่งที่ตนทำไปนั้น ที่ตนกินไปนั้น ที่เวลาเกินเที่ยงไปนั้น มันจะผิดศีลหรือเปล่า จิตเต็มไปด้วยความสงสัย ความระแวง จิตจึงเกิดกิเลส เมื่อกิเลสเกิดอารมณ์พอใจหรือไม่พอใจ ย่อมเกิด (ตัณหา) เมื่อตัณหาเกิด อุปาทานก็เกิด ผลคือจิตก็ปรุงแต่งไป และสร้างอกุศลกรรมต่อทางใจไปสู่ทางวาจา และออกทางกายในที่สุด และมีบางคนถือศีล ๕ ยังไม่ครบเลย เห็นเขาถือศีล ๘ ก็ถือกับเขาบ้าง โอกาสใกล้นรกจึงมีมากขึ้น ผู้ใดมีปัญญาให้ใช้วิธีของหลวงพ่อท่าน คือถือเฉพาะเวลา เช่น ตอนเจริญกรรมฐาน เจตนาคือตัวบุญ ขอให้บริสุทธิ์จริง ๆ ในช่วงเวลาสั้น ๆ จิตก็จะไม่เศร้าหมอง |
สมาชิก 66 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
|||
|
|||
สำหรับท่านหญิงนั้น ศีล ๘ ได้ปรากฏขึ้นกับจิตของท่านเอง เมื่อประมาณ ๖-๗ เดือนก่อนจะทิ้งขันธ์ ๕ ตามตำรากล่าวว่า เมื่อฆราวาสจบกิจพระศาสนา จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน ๑ วัน หรือ ๒๔ ช.ม. สำหรับส่วนตัว ผมมั่นใจว่าท่านหญิงทรงทราบอยู่แล้วว่าจบกิจ จึงได้บอกกับคุณทิพาและคุณมาลีให้รับทราบตามตรง (โปรดย้อนดูข้อเท็จจริงที่ ๑๑) แต่ทั้งสองคนไม่เข้าใจ นอกจากนั้น หลวงพ่อท่านก็รู้ตามที่พระมาบอกท่านว่า ท่านหญิงจบกิจเมื่อเวลาสองนาฬิกา แต่ขณะนั้น หลวงพ่อท่านพักอยู่ที่ ต.ช.ด. เขต ๘ ทุ่งสง ส่วนท่านหญิงอยู่ที่บ้านรับรองของโรงปูน ส่วนรายละเอียดผมจะไม่ขอเขียนอีก เพราะหลวงพ่อท่านเล่าไว้ละเอียดแล้ว
ปัญหามีอยู่มากในขณะนั้น (เรื่องของทางโลกธรรม) เพราะคนส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจ เรื่องฆราวาสจบกิจในพุทธศาสนาจะต้องตายภายใน ๒๔ ช.ม. (ท่านเจ้ากรม พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ ท่านเขียนไว้ชัด ในหนังสืออนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพภรรยาของท่าน) ผมก็ของดกล่าว เพราะในหนังสือเล่มนั้นมีของดี ๆ น่าอ่าน น่าศึกษาอยู่มาก ต่อมาเมื่อเวลาได้ล่วงเลยมากว่า ๑๐ ปีแล้ว จนถึงในปัจจุบันปัญหานี้ก็หมดไป เพราะมีผู้มาปฏิบัติธรรมและฝึกมโนมยิทธิกันเป็นจำนวนมากกว่าแสนคน ซึ่งสามารถจะพิสูจน์ความจริงในพระศาสนาได้ด้วยตนเอง หลังจากท่านหญิงท่านสิ้นชีพตักษัยเพื่อประเทศชาติไปแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าสถาปนาขึ้นเป็น พระองค์เจ้าหญิงวิภาวดีรังสิต เพื่อตอบแทนคุณความดีของพระองค์ท่าน |
สมาชิก 63 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
|||
|
|||
อ้างอิง:
|
สมาชิก 54 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
|||
|
|||
บทสรุปส่งท้าย
๑. หลวงพ่อท่านยกเอาท่านหญิงเป็นบุคคลตัวอย่างในการปฏิบัติชอบ หรือสุปฏิปันโน ผมจึงแนะนำให้ท่านผู้อ่านย้อนกลับไปดูธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๑๐๘ เดือน ก.พ. ๒๕๓๓ อีกครั้ง เพราะการเห็นพระ (อริยะ) จัดเป็นอุดมมงคล (ในมงคลสูตร) ๒. ขอให้ผู้อ่านพยายามศึกษาปฏิปทา หรือการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของท่านหญิง (ตามอิทธิบาท ๔ และอริยมรรค ๘) อย่างละเอียด เพราะท่านเป็นศิษย์ของหลวงพ่อที่ใช้เวลาปฏิบัติเพียง ๘ เดือน เรียนวิธีปฏิบัติกรรมฐานกับหลวงพ่อ แค่ประมาณ ๗ วัน ท่านก็สามารถจบกิจพระศาสนาได้ ๓. การปฏิบัติของท่าน ยึดการปฏิบัติที่ใจเป็นหลัก (ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด สำเร็จที่ใจ) ท่านมิได้หยุดงานประจำ ไม่ได้ปลงผมและนุ่งขาวห่มขาว ไม่ได้มานั่งเกาะหลวงพ่อตลอดเวลา ไม่ได้ยึดวัดหรือยึดสถานที่เป็นหลัก ไม่ต้องเลือกเวลา ตั้งเวลาว่าต้องเวลานั้นเวลานี้ แต่ปฏิบัติอยู่ที่ใจตลอดเวลา ในทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน (ทั้งงานด้านทางโลก และงานทางด้านธรรมะ ถ้าเข้าใจแล้วก็สามารถปฏิบัติจิตไปพร้อม ๆ กันได้) |
สมาชิก 61 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
|||
|
|||
๔. ท่านยึดสังโยชน์ ๑๐ เป็นแนวทางปฏิบัติ ท่านเข้าใจดีว่า ศีลเป็นแม่ของพระธรรม เป็นมารดาของพระพุทธศาสนา สังโยชน์ ๓ ข้อแรก จึงมีความสำคัญอยู่ที่ข้อ ๓ ท่านจึงทรงมีอธิศีลในศีล ๕ ต่อไปก็ทรงกรรมบถ ๑๐ ครบ
(ในระยะ ๗ - ๘ เดือนที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับท่าน ได้สนทนากับท่าน ไม่เคยได้ยินท่านตำหนิใคร ไม่เคยยกตนข่มผู้อื่น ไม่เคยยกตนเองว่าดี และไม่เคยยุ่งเรื่องของชาวบ้านในเรื่องส่วนตัว ..นอกหน้าที่ท่าน หมายถึงไม่เอาจิตเข้าไปผูกพันให้เกิดทุกข์ ยามช่วยราษฎร์ก็ช่วยอย่างสุดกำลัง หรือทำดีที่สุดเท่าที่จะพึงช่วยได้ พึงทำได้ แต่เมื่อหมดเวลาแล้วจะไม่เป็นทุกข์ เพราะเอาจิตไปผูกพัน ทรงแยกได้ว่าอย่างไหนโลก (หน้าที่) อย่างไหนธรรม (ทางที่จะพ้นโลก) เมื่อศีลบริสุทธิ์เป็นอธิศีล ย่อมทำให้จิตบริสุทธิ์ตาม (อธิจิต) ส่งผลทำให้เกิดมีความคิดเห็นถูกหรือสัมมาทิฏฐิ หรือเกิดปัญญาในทางธรรม หรือเข้าใจในธรรม ทำให้หมดสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ผู้หมดสงสัยย่อมปฏิบัติตามคำสอนอย่างเคร่งครัด สัมมาทิฏฐิคือ ตัวเข้าใจหรือตัวปัญญา ซึ่งเป็นอริยมรรคองค์แรกอันมีองค์ ๘ เมื่อบุคคลใดเข้าใจ มีปัญญา ย่อมหมดความสงสัย และย่อมเลือกเดินทางได้ถูกต้อง คือไม่มีวันเดินทางผิด (ไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ) พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า ไม่มีโทษอันใดที่จะร้ายแรงเท่ากับมิจฉาทิฏฐิ เพราะหากเราเริ่มต้นผิด การกระทำของเราก็จะผิดตลอด และด้านตรงข้าม.. หากเราเริ่มต้นถูก มันก็จะถูกตลอด พระองค์ทรงเห็นแล้วด้วยญาณทัศนะอันบริสุทธิ์ จึงได้จัดให้สัมมาทิฏฐิเป็นองค์แรกในอริยมรรค ๘ ผมจำได้ว่า เรื่องนี้หลวงพ่อท่านเปรียบสัมมาทิฏฐิเหมือนหัวรถจักร (หัวรถไฟ) หากเรายึดหัวรถจักรได้ และตั้งทิศทางที่จะไปได้ถูกต้อง (มรรค แปลว่าทาง) รถย่อมพาเราไปถึงที่หมายได้ถูกต้องและแน่นอน ในทางปฏิบัติองค์ ๗ ที่เหลือก็จะเกิดขึ้นมาเอง และถูกจูงไปทางเดียวกันหมด ทำนองเดียวกันกับพวกมิจฉาทิฏฐิ จับหัวรถไฟได้เหมือนกัน แต่เลือกทางวิ่งทางผิด (เพราะเป็นมิจฉามรรค) มิจฉาอีก ๗ ตัวก็จะเกิดตามมาเป็นขบวนเช่นกัน ให้จำง่าย ๆ ว่าอริยมรรคอันมีองค์ ๘ ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญานั่นเอง พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า ตราบใดที่ยังมีบุคคลปฏิบัติตามอริยมรรค ๘ ของตถาคตแล้ว ตราบนั้น โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอริยเจ้า" |
สมาชิก 55 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
|||
|
|||
๕. ท่านหญิงท่านก็ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ และก็พ้นทุกข์ได้จริงตามที่พระองค์ตรัสไว้ มิได้ไปอาศัยการเข้าทรง ให้องค์นั้นองค์นี้มาประทับมาสอนให้วุ่นวายไปหมด ท่านมีปัญญาอันเกิดจากอธิศีลและอธิจิต ทำให้เกิดปัญญาอันเป็นสัมมาทิฏฐิ หมดสงสัยในธรรมที่หลวงพ่อท่านสอนว่าเป็นสัมมามรรค เป็นสัมมาปฏิปทา จนพ้นทุกข์ได้จริงภายในเวลา ๘ เดือนเท่านั้น ท่านใช้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ไม่ได้พึ่งสิ่งอื่นนอกตัว หรืออำนาจของผู้อื่นมาบันดาลให้เกิดผล
๖. ผู้ใดที่อ่านบุคคลตัวอย่าง (ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต) ของหลวงพ่อท่านแล้ว หากกลับไปทบทวนดูใจ ดูอารมณ์ของตนเองอย่างเป็นธรรม ย่อมต้องเห็นความชั่ว ความเลวของจิตของตนเองอีกมากมาย เหมือนกับที่ผมเห็นอารมณ์ชั่ว อารมณ์เลวของผมอยู่เกือบตลอดเวลา และพยายามแก้ไขต่อสู้กับมันอยู่เกือบตลอดเวลาเช่นกัน (อัตตนา โจทนัตตานัง) คอยเพ่งดูจิตตนเอง คอยจับผิดที่ใจตนเอง และคอยแก้ไขความผิดที่ใจตนเองไว้เสมอ เป็นอกาลิโก แต่ก็ยังพบความชั่วความเลวอยู่ทุก ๆ วัน จึงขอยืนยันว่า หากผู้ใดที่ยังไม่เห็นความชั่ว ความเลวที่ใจตนได้ ผู้นั้นจะไม่มีทางละความชั่วได้ (เพราะมิจฉาทิฏฐิเป็นเหตุ) แต่หากผู้ใดเข้าใจแล้ว กลับตัวกลับใจได้ (มาเป็นสัมมาทิฏฐิ) ก็ไม่มีอะไรที่สายเกินแก้ในพระพุทธศาสนา (ส่วนดีของบทความนี้ ขออุทิศถวายแด่ พระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต ส่วนเลวผมขอรับไว้แต่เพียงผู้เดียว) |
สมาชิก 62 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|