#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ อากาศอยู่ที่ ๑ องศาเซลเซียส แต่ว่าต้องเตะผ้าห่มออกตั้งแต่ยังไม่ทันจะ ๔ ทุ่ม เพราะรู้สึกว่าร้อนมาก หลังจากเข้าห้องน้ำมาแล้วก็นอนภาวนาไปเรื่อย จนกระทั่งได้เวลาที่สมควร ก็ลุกขึ้นมาเพื่อที่จะส่งเรื่องราวเนื้อหาต่าง ๆ โดยเฉพาะคลิปวิดีโอในการท่องเที่ยวอินเดียในครั้งนี้ให้กับไอ้ตัวเล็ก เพราะว่าช่วงเช้ามืดเป็นช่วงที่คนอื่นเขานอนกันอยู่ ไม่มีใครมาแย่งใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ต ทำให้สามารถส่งทุกอย่างได้ง่ายขึ้น
เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฟ้าก็สว่าง จึงออกไปเดินทางข้างนอก อากาศ ๑ องศาเซลเซียสก็จริง แต่ว่าลมที่พัดมาแรงมาก ทำให้รู้สึกว่าหนาวกว่าปกติ กว่าที่จะถ่ายรูปเสร็จสรรพเรียบร้อยก็ทำเอานิ้วมือแข็งไปหมด จนต้องรีบกลับเข้ามาทางด้านใน รอจนกระทั่งใกล้เวลาอาหาร ทางด้านบริกรก็นำเอาชามัสล่าทีมาเสิร์ฟล่วงหน้าก่อน ลักษณะอย่างนี้เหมือนกับตั้งใจจะตัดกำลัง ไม่ให้ฉันอะไรได้อีก หลังจากนั้นสิ่งที่ตามมาก็คือโมโม่ หรือจะเรียกว่าเกี๊ยวทิเบตก็ได้ เพราะว่าเมื่อคืนหลายท่านที่กินข้าวเย็นก็ได้กินไปแล้ว คราวนี้ในเมื่อพระ ๒ รูปไม่ได้กินกับชาวบ้านเขา ทางด้านโรงครัวก็อุตส่าห์เตรียมเอาไว้ให้ และยกมาถวายในช่วงเช้านี้เอง ส่วนคุณนวลจันทร์ เพียรธรรม ที่พวกเราเรียกว่า Grand Mother Chef ก็นำเอาบรรดาปลาทอดจากกรุงเทพฯ ตามมาถึงที่นี่ เรียกว่าแต่ละมื้อรายการแทบจะไม่ซ้ำกันเลย ทั้ง ๆ ที่บอกแล้วบอกอีกว่าไม่ต้องขนมาให้เหนื่อย พวกเราทุกคนกินอาหารพื้นเมืองได้ ก็ไม่ค่อยจะฟัง หลังจากที่เข้าห้องน้ำและคืนห้องพักเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เดินทางออกจากโรงแรม The Grand Nubra ซึ่งเสียงนี้ถ้าหากว่าให้เจ้า Siri มันพิมพ์โดยการพูดเมื่อไร มันก็จะเปลี่ยนเป็น The Grand No Bra ทันที...! เวลาประมาณ ๐๗.๔๘ น. ของอินเดีย หลังจากที่ "ลุงเซอร์ริง โจลเดน" ปลุกพระเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ออกเดินทาง มุ่งกลับทางเดิม ไปทางเมือง Khalsar ก็แปลว่าย้อนรอยทางเดิมไปเป็นระยะทางค่อนข้างจะไกล ตลอดระยะทางก็คือเส้นทางที่เราวิ่งผ่านมานั่นเอง แล้วเมื่อมาถึงจุดหนึ่ง ก็เลี้ยวขวาแยกออกจากเส้นทางหลักนี้ มุ่งไปทางเลห์
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2023 เมื่อ 22:23 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ทางเส้นนี้รู้สึกว่ากำลังได้รับการปรับปรุง อาจจะเป็นงบประมาณใหม่หรือว่าอะไรก็ตาม จึงมีทั้งผู้คนและเครื่องมือเครื่องไม้จำนวนมากมายเต็มไปหมด ในการที่จะซ่อมจะสร้างถนนตลอดเส้นทาง พวกเราก็ต้องเขย่าโขยกเขยกไปตามเส้นทางเหล่านั้น เพราะว่าส่วนใหญ่ก็เพิ่งจะเกรดกันไม่นาน เมื่อเจอฝนบ้าง เจอหิมะบ้าง ก็กลายเป็นหลุมเป็นบ่อกระเด้งกระดอนดีนัก
จนกระทั่งประมาณ ๙ โมงครึ่งของทางอินเดีย พวกเราก็มาถึงหมู่บ้านชื่อ North Pullu หรือว่าหมู่บ้านพัลลูเหนือ ปรากฏว่าทางรถได้จอดพักรถแล้วให้พวกเราไปเข้าห้องน้ำห้องท่ากัน แต่ว่าห้องน้ำที่นี่นั้น แม้ว่าจะสะอาดพอสมควร แต่ก่อนที่จะราดน้ำได้ ต้องเอาถ้วยตักน้ำเคาะน้ำในถังเสียก่อน เนื่องเพราะว่าด้านหน้านั้นกลายเป็นน้ำแข็งหมดแล้ว เมื่อเคาะจนน้ำแข็งที่ถังแตกแล้ว ถึงจะตักราดส้วมได้ เป็นเครื่องยืนยันว่าอากาศที่นี่หนาวอย่างแท้จริง หลังจากขึ้นรถแล้ว ก็ต้องมีการมีตรวจวัดออกซิเจนในเลือดเสียก่อน เพราะว่าระยะช่วงนี้ขึ้นสูงไปเรื่อย ๆ จนถึงระดับประมาณ ๕,๐๐๐ เมตรแล้ว ถ้าเดินเร็ว ๆ แค่ก้าวสองก้าวก็ถึงขนาดหอบทีเดียว ปรากฏว่าเริ่มมีหิมะตกลงมาเล็กน้อย ในลักษณะที่เรียกว่า Light Snow แล้วก็หนักขึ้นไปเรื่อย...หนักขึ้นไปเรื่อย สองฟากทางก็เต็มไปด้วยหิมะทั้งยอดเขาสองฝั่ง จนกระทั่งมาถึงเวลา ๑๐ โมงครึ่งของประเทศอินเดีย เราก็มาถึงจุดสูงสุดของถนนสายนี้ ก็คือ Gardung La Pass ซึ่งอยู่ที่ความสูง ๕,๖๐๐ เมตร หิมะกำลังตกลงมาอย่างหนัก พวกเราต้องรีบขึ้นรีบลง เพื่อที่จะทำการถ่ายรูปให้เสร็จเรียบร้อย ในเมื่อเสร็จเรียบร้อย ขึ้นรถมา ก็ต้องให้ออกซิเจนกันต่อไป โดยเฉพาะกระผม/อาตมภาพนั้น พอออกซิเจนน้อยเมื่อไร ร่างกายก็จะเข้าสู่ภาวะจำศีลทันที จึงต้องคอยปรับระดับออกซิเจนเอาไว้ เมื่อขึ้นรถมาครบทุกคน โดยที่หลายคนกำเอาถุงร้อนติดมือมาด้วย ซึ่งเป็นผงเคมีอยู่ในถุงเล็ก ๆ ช่วยอุ่นมือให้ นับว่าเทคโนโลยีต่าง ๆ มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นพวกเราเดินทางต่อมาได้แค่ไม่ถึงกิโลเมตร ปรากฏว่ารถติดยาวเหยียด มาทราบความทีหลังว่าเกิดจากการที่หิมะตกหนัก ทำให้ถนนหนทางลื่นไถลไปหมด จึงมีผู้ที่สติสัมปชัญญะไม่ทราบวาสมบูรณ์ดีหรือเปล่า บอกว่าให้รถข้างล่างขึ้นมาก่อน เนื่องเพราะว่าเขากำลังขึ้นสู่ที่สูง ถ้าหากว่าคนขับขาดออกซิเจน หมดสติ อาจเกิดอุบัติเหตุถึงขนาดตกเหวเสียชีวิตทั้งคันได้..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2023 เมื่อ 22:27 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
แต่เขาลืมไปว่าพวกกระผม/อาตมภาพนั้นอยู่ที่ความสูง ๕,๐๐๐ กว่าเมตรและออกซิเจนกำลังหมดลงไปทุกที..ทุกที รอแล้วรอเล่าเป็นชั่วโมง ๆ จนกระทั่งทนไม่ไหว ต้องลงไปปัสสาวะที่ข้างทาง เมื่อปัสสาวะลงไป ก็กลายเป็นน้ำแข็งสีเหลืองในทันที รอแล้วรอเล่า จนพลขับของเราก็คือลุงโจลเดนต้องลงไปเป็นจราจร อำนวยความสะดวกให้รถขึ้นลง ส่วนตัวเองโดนเขาปาดหน้าไปกี่คัน ลุงโจลเดนไม่สนใจ แม้แต่คนที่ไม่มีโซ่พันล้อสำหรับวิ่งบนหิมะ ลุงก็ยังเอาของตัวเองยกให้เขาไปใช้ก่อน..!
หลังจากที่ทำหน้าที่จราจรอยู่เป็นชั่วโมง และโดนคนแซงไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร ลุงโจลเดนก็ออกประกาศิต บอกบรรดารถที่ขึ้นมาว่า ขอให้รถลงได้ลงกันบ้าง หลังจากนั้นลุงก็นำรถของพวกเราลงมา ท่ามกลางการถอนหายใจอย่างโล่งอก เนื่องเพราะว่าท่อออกซิเจนในรถคันของอาตมานั้นหมดเกลี้ยงไปแล้ว เมื่ออ้างว่าออกซิเจนหมด พวกเราจะอยู่ไม่ได้ แทนที่เขาจะรีบให้ลง กลับกลายเป็นว่าไปแบกออกซิเจนของอีกคันรถหนึ่งมาส่งให้ นับว่าเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีในสายตาของเขา แต่ห่วยแตกมากในสายตาของกระผม/อาตมภาพ..! เมื่อพวกเราลงมาได้ระยะหนึ่งก็มาติดรถที่กำลังขุดถนนอยู่ ต้องติดกันอยู่นานอีกครึ่งค่อนชั่วโมงทีเดียว กว่าที่จะผ่านไปได้ แล้วก็กลายเป็นหนังคนละม้วน เพราะว่าพอผ่านมาปุ๊บ ถนนก็กลายเป็นลาดยางอย่างดี มุ่งตรงเข้าไปสู่เมืองเลห์ พวกเราวิ่งมาไม่นาน รถหมายเลข ๒ ที่นำหน้าก็จอดเปลี่ยนยางที่แตก เราจึงนำหน้าลงไปยังตัวเมืองเลห์ก่อน ตรงไปยังภัตตาคารที่ชื่อ The Chopsticks Noodle Bar เข้าไปภายใน ปรากฏว่าร้านนี้บริการคล้าย ๆ โต๊ะจีน ก็คืออาหารจะมาทีละอย่าง ลักษณะของแบบนี้ก็ทำให้พวกกระผม/อาตมภาพที่เคยชินกับการทำอะไรด้วยการกวาดรวดเดียวจบ ต้องมารอแล้วรอเล่า จนกระทั่งส่งงานทุกอย่างเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว ข้าวปลาอาหารก็ยังได้มาไม่ครบ เมื่อกินอิ่มแล้ว กำลังนั่งรอคนอื่นอยู่ กะว่าจะลงไปที่รถ บริกรก็นำของหวานมาส่งให้ คือ Gulab Jamun ซึ่งของแท้ดั้งเดิมนั้นทำขึ้นมาจากนม โดยการต้มเคี่ยวนมจนกระทั่งกลายเป็นเนย ปั้นเนยเป็นก้อน แล้วนำไปชุบแป้งทอดในน้ำหวานมา ก็ปรากฏว่าคนจะทำแบบฝีมือดั้งเดิมนั้นหาได้น้อยลงไปทุกที เนื่องจากว่าเป็นของที่ทำยากมาก จึงมักเจอ Gulab Jamun ที่เป็นแป้งเสียมากกว่า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2023 เมื่อ 22:29 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
เมื่ออิ่มแล้ว พวกเราก็ขึ้นรถยนต์กัน ตรงไปยังวัด Thiksey Gompa ซึ่งเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเลย์แห่งนี้ เพื่อกราบพระศรีอริยเมตไตรยองค์ใหญ่ ซึ่งน่าจะสูงเกิน ๑๐ เมตร ตอนนี้พวกเราทุกคนทำตัวเป็นมหาเศรษฐี เนื่องจากว่าแบงค์ย่อยนั้นได้ทิปบรรดาบริกรต่าง ๆ ไปจนหมดแล้ว จึงทำบุญกันอย่างชนิดละ ๕๐๐ รูปี
กระผม/อาตมภาพเองเข้าไปในห้องไหน วิหารไหน ก็วิหารละ ๕๐๐ รูปี แต่ว่ามีอยู่วิหารหนึ่ง ซึ่งเป็นวิหารพระธรรมบาล ซึ่งจะมีรูปปั้นพระธรรมบาลแผลงฤทธิ์ แต่ว่าเอาผ้าปิดหน้าเอาไว้ ตั้งใจจะทำบุญ ๕๐๐ รูปี ไม่ทราบเหมือนกันว่าล้วงติดมือมาได้อย่างไร ๕๒๐ รูปี จึงทำบุญไปทั้ง ๕๒๐ รูปี แล้วก็ลงมาจากสถานที่นั้น เพื่อตรงไปยังวัดอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้คือพระราชวังเก่า ได้แก่ วัด Shey Palace พระราชวังเก่านั้นเมื่อย้ายไปลาดัก ทางด้านนี้ก็ร้างลงไป จนกระทั่งยกให้เป็นวัด ในที่นี้ก็มีพระศรีศากยมุนีองค์ใหญ่ กระผม/อาตมภาพก็ยังคงใช้วิธีเดิม ก็คือเข้าไปทำบุญในห้องไหน วิหารไหน ก็ ๕๐๐ รูปี แล้วแถมยังถวายให้แก่สามเณรที่นั่งเช็ดถ้วยสำหรับตามประทีปถวายพระศรีศากยมุนีอีก ๒๐๐ รูปี สามเณรปฏิเสธแล้วปฏิเสธอีก แต่กระผม/อาตมภาพไม่ฟัง ยัดให้แล้วเดินจากไปเลย เมื่อลงมาถึงข้างล่างก็ต้องตัดโปรแกรมอื่น ๆ หมด เพราะว่าเป็นเวลา ๖ โมงเย็นแล้ว สถานที่อื่นปิดหมด เหลืออยู่อย่างเดียวคือถนนคนเดินซึ่งเป็นสถานที่จำหน่ายสินค้า หลายคนยังมีแรงอยู่ อยากจะไปเดินช็อปปิ้ง..! ดังนั้น..เมื่อโชเฟอร์พาเรามาถึงโรงแรม Trikaya Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมเดิมที่เราเคยพักอยู่เมื่อวันก่อน กระผมเข้ามาในห้องพักแล้วก็ต้องตกใจ เพราะว่าเขาเปิดหน้าต่างเอาไว้ในขณะที่อากาศแค่ ๔ - ๕ องศาเซลเซียสเท่านั้น แถมยังไม่มีฮีตเตอร์ให้ด้วย จึงต้องรีบปิดหน้าต่างก่อนเป็นอันดับแรก แล้วก็ไปเปิดน้ำร้อน สรงน้ำเรียบร้อย ออกมาพอดีคุณนวลจันทร์กับทิดเฟิร์ส ให้บริกรนำเอาฮีตเตอร์มาส่ง แล้วถามว่า "ต้องการอะไรอีกไหมเจ้าคะ ?" กระผม/อาตมภาพจึงได้ส่งกระบอกน้ำให้ไป บอกว่า "ขอน้ำร้อนสักหนึ่งกระบอกเถอะ" หลังจากนั้นไม่นาน บริการเขาก็เอาน้ำร้อนมาส่ง กระผม/อาตมภาพหยิบชาซองหย่อนลงไป เมื่อกะว่าได้ที่แล้วก็เทออกมาซดฮวบเข้าไป แหม..ประทับใจมาก เพราะว่าเป็นน้ำเย็นแท้ ๆ..! จึงต้องเอามาเทใส่กาน้ำร้อนแล้วต้มเอง บทเรียนครั้งนี้สอนให้รู้ว่า "อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง..!" สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2023 เมื่อ 22:32 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|